ตรงว่ายังผูกพัน
ท่านอาจารย์ เวลาทำอะไรให้ใคร ทำด้วยความรักได้ไหม
ผู้ฟัง ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์ แล้วจะกล่าวว่ากุศลได้ไหม
ผู้ฟัง แต่เราไม่ได้หวังว่า ต้องกลับมาทำอะไรให้เรา
ท่านอาจารย์ คนละขณะใช่ไหมคะ แต่ทำด้วยความรัก หรือเหมือนทุกคน ด้วยความหวังดี เป็นมิตร ที่จะเกื้อกูลเสมอกันหมด ไม่ว่าใคร เมตตาไม่ได้จำกัดบุคคลเลย แต่ทำด้วยเมตตา หรือทำด้วยความรัก ถ้าไม่ได้ฟังธรรมเลย ทุกคนมีโลภะกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง ในครอบครัว วงศาคณาญาติ มารดา บุตร ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เมื่อศึกษาธรรมแล้ว พอจะรู้ความต่างว่า ขณะไหนเป็นความดีซึ่งเป็นเมตตา หวังดี หรือขณะไหนเป็นความติดข้อง ต้อยแยกกัน ถ้าลูกไม่รักพ่อแม่ ทั้งๆ ที่พ่อแม่ก็ทำให้ลูกทุกอย่าง พ่อแม่เสียใจไหม
ผู้ฟัง เสียใจ
ท่านอาจารย์ แล้วเป็นกุศลหรือเปล่า ที่จะนำมาซึ่งความเสียใจ
ผู้ฟัง เป็นอกุศล
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นสิ่งที่เราจะรู้โดยที่เราตัดสินเอง แต่ธรรมเป็นธรรม สิ่งที่มีจริงมีปัจจัยเกิดขึ้นชั่วขณะ แล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย ยากที่จะคิดเอง เข้าใจเอง แต่ต้องเป็นผู้ฟังพระธรรม แล้วไตร่ตรองว่า ทุกข์ทั้งหลายมาจากความติดข้อง ลูกใครตาย ก็ไม่เห็นใครร้องไห้ ภาคใต้ ภาคเหนือ หรือที่ไหนก็แล้วแต่ ได้ยินข่าว เสียใจด้วย แต่ถึงกับร้องไห้ไหม
ผู้ฟัง ไม่
ท่านอาจารย์ แต่ถ้าเป็นคนที่เรารู้จัก เพิ่มความเสียใจ ความโทมนัสขึ้นอีกหน่อย แต่ถ้าเป็นคนที่ใกล้ชิด ท่านพระอานนท์ร้องไห้เวลาที่พระผู้มีพระภาคทรงดับขันธปรินิพพาน เพราะท่านยังมีโลภะ ขณะนั้นท่านเป็นเพียงพระโสดาบัน เพราะฉะนั้น ความเป็นผุ้ตรงก็ไม่ใช่ท่านเป็นพระอานนท์แล้ว ท่านต้องทำทุกอย่าง ที่เป็นกุศล อกุศลเกิดได้ มีได้ ยังมีอกุศลอื่นๆ ออกจากความสงสัยในสภาพธรรม เพราะว่าเข้าใจว่า ทั้งหมดที่มีจริงเป็นธรรม ไม่มีการยึดถือสภาพที่เป็นธรรมว่าเป็นเรา เพราะรู้จริงๆ ว่า เป็นธรรม แต่กระนั้นก็ยังมีโลภะ มีโทสะ
เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า แม้ท่านพระอานนท์เป็นพระอริยบุคคล ท่านคงจะไม่มีแล้ว แต่การร้องไห้แสดงอะไร
ผู้ฟัง ความผิดหวัง
ท่านอาจารย์ ต้องเป็นคนที่ตรง ความเคารพพระศาสดามีแน่นอน แต่ความผูกพันในฐานะพระญาติมีไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ ก็แสดงให้เห็นว่า ต้องเป็นผู้ที่ตรงจริงๆ ทำอะไรให้ใครก็แล้วแต่ รู้ได้ว่า ทำด้วยความเมตตา หรือทำด้วยความติดข้อง เราอาจจะป้องกันคนที่เราผูกพันมากด้วยความเมตตา หรือด้วยความไม่อยากให้เขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
นี่ก็เป็นผู้ละเอียด ต้องเป็นผู้ตรง กว่าจะเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ไม่ใช่เราเอาความคิดของเรามาตัดสิน บิดเบือน ก็เลยไม่สามารถเข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏได้
เพราะฉะนั้น เนื่องจากธรรมละเอียด และลึกซึ้ง ไม่ใช่ใครสามารถรู้ได้ เข้าใจได้โดยง่าย ต้องอาศัยการไตร่ตรอง และพิจารณาว่า จริงหรือเปล่า เวลาที่เราทำอะไรให้ใครก็ตามแต่ ด้วยความผูกพัน จะต่างกับขณะที่เราทำด้วยความไม่ผูกพัน เหมือนกันหมดไม่ว่าใคร ทำได้ แต่ความผูกพันเกิดขึ้นเมื่อไร ก็ต้องรู้ตามความเป็นจริงว่า ขณะนั้นเป็นความผูกพัน ขณะนั้นเป็นเมตตา หรือเป็นอะไรก็แล้วแต่สภาพธรรมในขณะนั้น แต่ก่อนอื่นต้องรู้แน่นอนว่า สิ่งที่มีจริง ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เกิดแล้วเป็นอย่างนั้น ที่เป็นตามตามหตุตามปัจจัย
เพราะฉะนั้น หน้าที่เดียวในขณะนี้ คือ ฟังให้เข้าใจขึ้นว่า เป็นธรรม โกรธบ้างหรือเปล่าคะ
ผู้ฟัง โกรธ
ท่านอาจารย์ มีจริงๆ หรือเปล่า
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ เป็นเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง ยังเป็นเรา
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็ยังไม่พอที่จะรู้ว่า แท้ที่จริงโกรธก็เป็นสภาพที่มีจริง มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ถ้าเข้าใจอย่างนี้ไม่เดือดร้อน แล้วสามารถคลายการยึดถือโกรธว่าเป็นเรา ในขณะที่รู้ความจริง ในขณะที่โกรธเกิดขึ้น ก็เราโกรธแน่ๆ ขณะที่ยังไม่ได้ละการยึดถือสภาพธรรม่ะว่าเป็นตัวตน ไม่ใช่คนอื่นแน่ๆ เราโกรธ แต่พระธรรม หรือความเข้าใจถูกจะทำให้ไม่เป็นทุกข์ เพราะเข้าใจว่า ขณะนี้ที่โกรธปรากฏเป็นสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง บังคับบัญชาไม่ได้ ก็คลายความยึดถือว่าเป็นเรา คลายความติดข้องว่าเป็นเราโกรธ แต่ห้ามความโกรธไม่ได้
เพราะฉะนั้น ความเป็นผู้ตรง ก็ทำให้เข้าใจความจริงเพิ่มขึ้นว่า ขณะไหนเป็นกุศล ขณะไหนเป็นอกุศล มิฉะนั้นก็จะเข้าใจว่า อกุศลเป็นกุศล