ขัดล้างความไม่ดี
ท่านอาจารย์ มีธรรมเพียง ๑ ขณะที่เกิดขึ้นแล้วไม่กลับมาอีก ไม่ว่าจะเกิดขึ้นชาติไหนก็ตามแต่ เกิดแล้วดับไป ไม่กลับมาอีก แม้ขณะนี้เอง เพราะฉะนั้น การมีโอกาสได้ฟังความจริงที่ว่า มีประโยชน์อะไร ก็คือได้รู้ความจริงในขณะนี้ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ เห็นเกิด ถ้าเห็นไม่ดับ จะไม่มีได้ยิน จะไม่มีคิดนึก
เพราะฉะนั้น ค่อยๆ เข้าใจ เพราะเหตุว่าคามไม่รู้มีนานมาก โลภะติดข้องด้วยความเป็นตัวตนนานมาก กิเลสทั้งหลายสะสมมานานมาก แล้วจะค่อยๆ หมดไปได้อย่างไร มีหนทางเดียว อบรม สะสมคววมเข้าใจถูก แล้วรู้ว่า ยากยิ่ง เพราะเหตุว่าสิ่งที่มีมานาน เหนียวแน่น และเกิดบ่อยๆ ทุกวัน จะให้หมดไปทันที เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น การฟังว่ายาก ก็เป็นการละความต้องการได้ เพราะฉะนั้น การไปแสวงหาการละความต้องการ โดยไปหาวิธีอื่น เป็นไปไม่ได้เลย แต่ถ้าได้ยินคำวายาก คิดว่า ชาตินี้จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ไหม พอรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ค่อยๆ ฟังให้เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เพราะฉะนั้น ก็รู้ว่า นี่เป็นหนทางเดียวที่จะละความติดข้อง ซึ่งถ้าไม่ละความติดข้อง จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้อย่างไร เพราะมีเครื่องกั้น เครื่องปิดบังอยู่ตลอดเวลา ก็เป็นเรื่องจริง เรื่องเก่า โบร่ำโบราณ แต่เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เพราะเหตุว่าไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงของธาตุแต่ละอย่างได้ ก็ฟังแล้วก็เข้าใจขึ้น นั่นคือละความต้องการ ไม่ได้ต้องการอะไร ต้องการได้อย่างไร ใครต้องการเป็นพระอรหันต์บ้าง ใครจะเป็นพระโสดาบันบ้าง เป็นไปไม่ได้ มีแต่ชื่อที่เข้าใจผิด เพราะไม่รู้ว่า เป็นเรื่องด้วยอะไร อะไรทำให้เป็นอย่างนั้นได้ เพียงแค่ฟังแล้วละความไม่รู้ นี่ก็เป็นบุญมหาศาล เพราะเหตุว่าความเห็นถูกจะค่อยๆ เริ่มขัดเกลา แต่ถ้าเห็นผิด ไม่มีทางเลย ก็เป็นการทับถมอกุศลให้เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น ประโยชน์มากมายมหาศาล ตั้งแต่เริ่มเข้าใจ จนกระทั่งถึงรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง
อ.ประเชิญ การฟังเป็นพื้นฐานหรือเป็นการเริ่มต้นที่จำเป็นใช่ไหมคะ
ท่านอาจารย์ ทุกคนฟังธรระ บางคนอาจจะฟังมานาน ก็ไม่ต้องใส่ใจว่า ฟังมานานเท่าไร มากน้อยแค่ไหน ฟังเมื่อไร ก็คือเข้าใจสิ่งที่กำลังฟังหรือเปล่า นั่นหนึ่ง เมื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังฟังแล้ว เข้าใจแค่ไหน เท่านี้เอง ไม่ต้องคำนึงถึงอดีตหรืออนาคตที่ยังมาไม่ถึง แต่ในขณะที่กำลังฟังเดี๋ยวนี้เอง ก็มีสิ่งที่กำลังฟังจริงๆ ที่กล่าวถึง เห็นอะไร เห็นไหมคะ เตือนบ่อยๆ เห็นอะไร เห็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ ความเป็นจริงก็คือหลับตาไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แล้วจะให้กล่าวเกินความจริงนี้ได้อย่างไรว่า เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้น ต่อจากนั้นความไม่รู้ก็เริ่มปรุงแต่งเห็นโน่นเห็นนี่ เรื่องราวมากมาย
นี่แสดงให้เห็นว่า การฟังธรรมต้องรู้ตัวเอง เข้าใจแค่ไหน ต้องมีคนเคยฟังว่า เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ หลายครั้งแล้ว เพราะฉะนั้น ฟังมาแล้วอีกครั้งแล้วไม่ต้องนับ แต่เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้จริงๆ แล้วกำลังพูดความจริงว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ รู้จริงแค่ไหน ไม่ต้องถามใครเลย แล้วไม่ต้องคิดว่า ฟังมานานเท่าไร แต่ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แม้ฟังอย่างนี้ แต่ก็ยังคิด ยังเห็นเป็นคนนั้นคนนี้ ทั้งๆ ที่กำลังได้ยินเสียงอย่างนี้ ได้ยินคำนี้ ก็เพราะเหตุว่ากว่าจะรู้ความจริง กว่าจะไม่ลืมว่า เป็นธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งไม่ปะปนกัน ก็จะเข้าใจความหมายของคำว่า อบรมเจริญปัญญาเป็นจิรกาลภาวนา นานมาก แต่ต้องมีผล เพราะความรู้ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ยังหวั่นไหว หรือคิดว่าไม่ถูกไหมคะ เห็นเพียงสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ถ้าเริ่มเข้าใจ อีกนิดหนึ่ง ก็เริ่มเข้าใจถูก วันหลังได้ยินอีกนิดหนึ่ง ก็เริ่มแน่ใจมั่นคง จะเห็นอะไร ก็เพียงปรากฏให้เห็น หลับตาแล้วก็ไม่มี แต่คิดได้ จำได้ แต่ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้
นี่ก็ค่อยเป็นค่อยไป จนกว่าจะมั่นคงขึ้น เพราะฉะนั้น สิ่งที่เป็นอกุศลหนาแน่น เหนียวแน่น หนักด้วย มากด้วย กว่าจะค่อยๆ หมดไปได้ ล้างคงไม่พอ ต้องขัด แล้วจะเอาอะไรขัด มีหรือเปล่า ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรม ไม่มีทางจะเอาออกไปได้เลย แล้วขัดได้ทีละน้อย ต้องมีน้ำด้วย น้อยมาก ทุกอย่างก็เล็กๆ น้อยๆ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป
นี่คือประโยชน์จริงๆ ของผู้ที่ได้รู้แจ้งสภาพธรรมแล้ว เพราะกาลครั้งหนึ่งนานแสนนานมาแล้ว จะเกิดเป็นใคร เมื่อไร อย่างไร ท่านผู้นั้นก็อดทน และเข้าใจถูก มีบารมีที่ได้อบรมมาที่จะละ จะคลายความติดข้อง สภาพธรรมก็ปรากฏตามความเป็นจริงได้