เป็นไปตามการสั่งสม


    ผู้ฟัง ขอถามเพิ่มอีกนิด นามรูปปริจเฉทญาณก็ดี ปัจจัยปริคคหญาณก็ดี ทั้ง ๑๖ ญาณนี้ เกิดพร้อมกันไปทีเดียวหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ พร้อมกันไม่ได้

    ผู้ฟัง คือไม่ใช่พร้อมกัน หมายความว่า สมมติว่า ๑๖ ญาณเกิดต่อๆ กันไปเลย มีคั่นไหมครับ อย่างใครถึงญาณที่ ๕ แล้ว อีก ๒ - ๓ ปี ค่อยมาได้ญาณที่ ๖ ต่อ มีไหมครับ

    ท่านอาจารย์ แน่นอนค่ะ เพราะฉะนั้น อย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ประทับใต้ต้นโพธิ์ การตรัสรู้ของพระองค์ ตั้งแต่วิปัสสนาญาณที่ ๑ ตลอดไปจนถึงอรหัตตมรรค อรหัตตผล รวดเดียวต่อกัน คั่นด้วยปัจจเวกขณญาณตามที่ได้ทรงแสดงไว้ทุกอย่าง แต่ว่าอย่างท่านพระสารีบุตรเป็นพระโสดาบัน ๑๕ วัน แล้วถึงจะเป็นพระอรหันต์ ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ๗ วัน แล้วคนอื่นก็ต้องตามกำลังของสติปัญญาว่า จะมากน้อยต่างกันอย่างไร อย่างวิสาขามิคารมารดา ก็ไม่ได้เป็นพระสกทาคามีบุคคล จนตาย

    ผู้ฟัง อันนั้นหมายความว่า ถึงจะเป็นพระโสดาบันก็ดี คือ ๑ ถึง ๑๖ ท่านได้แล้ว

    ท่านอาจารย์ ถึงไม่ใช่ ๑๖ ก็จะต้องตามกำลังของปัญญา อาจจะ ๑ ๒ ๓ เว้นไป

    ผู้ฟัง อาจจะเว้นไป ๕ ปี แล้วก็ได้ ๔ ๕

    ท่านอาจารย์ เกิน ๕ ก็ได้ หรือ ใครจะรู้ จะตายเมื่อไร

    ผู้ฟัง ทราบว่าตรงนี้ มีเวลาทิ้งห่างด้วย

    ท่านอาจารย์ ตามกำลังของการสะสม แต่ละคนไม่เหมือนกันเลย

    ผู้ฟัง เพราะฟังจากที่อื่นว่า ถ้าเกิด ๑ ถึง ๑๖ ก็รวดเดียว ทีเดียวหมดเลย

    ท่านอาจารย์ เป็นไปไม่ได้ นอกจากบางท่านอย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง ขอถามอาจารย์นิดหนึ่งว่า ทวิเหตุกบุคคลสามารถปฏิบัติวิปัสสนาได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เรื่องปฏิบัติ เรื่องเข้าใจธรรม ก่อนอื่นต้องฟังใหม่เลย เรื่องเข้าใจธรรมโดยวิธีไหน ถ้าไม่มีการฟังจะเข้าใจไหม เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องไปถึงทวิเหตุกะ หรือติเหตุกะเลย ขณะนี้ฟัง ใครรู้ว่าใครเข้าใจแค่ไหน ไม่มีทางจะรู้เลย แต่ความเข้าใจคือความเข้าใจ ถ้าเกิดก็คือเข้าใจ เพราะฉะนั้น คนนี้จะปฏิบัติได้ไหม คนนั้นจะปฏิบัติได้ไหม ไม่ใช่ไปปฏิบัติ แต่ปฏิบัติ หรือการภาวนาก็คืออบรมความเข้าใจตั้งแต่ขั้นฟังนี่แหละจนกระทั่งถึงขั้นที่จะประจักษ์แจ้ง ซึ่งถ้าเป็นทวิเหตุกบุคคล หมายความว่า ปฏิสนธิจิตของบุคคลนั้นไม่ประกอบด้วยปัญญาเจตสิก

    เพราะฉะนั้น จะเอาพื้นความรู้ความเข้าใจธรรมมาจากไหน ในเมื่อปฏิสนธิจิตก็ไม่ได้ประกอบด้วยปัญญาเจตสิก แต่ในบรรดาผู้ที่เป็นติเหตุกะ คือ ผู้ที่มีปัญญาเจตสิกเกิดด้วย ก็ยังต่างระดับขั้น ซึ่งเรายากที่จะรู้ได้ อย่างสุปปพุทธะ ซึ่งเป็นคนโรคเรื้อน ขอทาน เราจะไปรู้หรือคะว่า คนนี้ปฏิสนธิจิตของเขามีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละบุคคลที่ว่า เมื่อฟังแล้ว คนนั้นเป็นผู้ตรงว่าเข้าใจธรรมที่ได้ฟังแค่ไหน ถ้ามีความสามารถที่เข้าใจได้ก็ฟังอีก เข้าใจอีก เข้าใจอีก เขาก็เป็นผู้ที่สามารถฟังรู้เรื่องต่างกับผู้ที่เป็นทวิเหตุกบุคคล แต่ในบรรดาผู้ที่ฟังรู้เรื่อง มีใครที่สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แม้ว่าเป็นติเหตุกบุคคล และในบรรดาผู้ที่เป็นติเหตุกบุคคลที่ปฏิสนธิจิตเกิดร่วมกับปัญญาเจตสิก ในขณะที่กำลังอบรมความรู้ความเข้าใจลักษณะของนามธรรมรูปธรรมที่กำลังปรากฏ จะถึงพร้อมด้วย วิปัสสนาญาณที่ ๑ หรือที่ ๒ หรือที่ ๓ ก็เป็นเรื่องของการอบรม

    ผู้ฟัง ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็อภัพบุคคลมีมีกี่ประเภท

    ท่านอาจารย์ เวลานี้เราไม่ต้องคิดถึงเขาเลย เอาความเข้าใจธรรมที่ได้ฟัง ธรรมมีในพระไตรปิฎก ถ้าใครสนใจอ่านได้ เพราะเหตุว่าแปลแล้ว แม้แต่เรื่องใครเป็นอภัพบุคคล ใครไม่ใช่อภัพบุคคลอย่างไร แต่ว่าความเข้าใจเรื่องของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้สำคัญกว่า สิ่งใดก็ตามที่มีอยู่ในพระไตรปิฎก ค้นได้ ศึกษาได้ อ่านได้ แต่เมื่ออ่านแล้วศึกษาแล้ว จะมีความเข้าใจละเอียดอย่างไร หรือเข้าใจต่างกันอย่างไร ก็เป็นการสนทนาที่ให้เข้าใจได้ ถ้าเป็นหัวข้อมีอยู่แล้วในพระไตรปิฎก


    หมายเลข 9952
    15 ส.ค. 2567