ต้องเป็นกุศลจิตของผู้นั้นเอง


    ผู้ฟัง เป็นข้อสงสัย ผมตั้งใจว่าจะเรียนถาม คือ ชีวิตประจำวัน ขนบประเพณี ที่บุคคลที่ตายไปแล้ว ๗ วันทำบุญทำกุศลให้ในวัด ผู้ตายนั้นได้รับไหมครับ

    ท่านอาจารย์ ได้รับหมายความว่าอย่างไรคะ

    ผู้ฟัง กุศลที่ลูกๆ เขา

    ท่านอาจารย์ กุศลคืออะไร

    ผู้ฟัง กุศล คือความดีที่เขาได้กระทำให้แก่คุณพ่อของเขา

    ท่านอาจารย์ กุศลเป็นปรมัตถธรรม อะไร

    ผู้ฟัง เป็นปรมัตถธรรมอะไร ศัพท์นี้ผมจำไม่ได้

    ท่านอาจารย์ มีอยู่ ๔ อย่าง ปรมัตถธรรม จิต เจตสิก รูป นิพพาน เพราะฉะนั้น กุศลเป็นอะไรคะ

    ผู้ฟัง เป็นเจตสิกที่รับรู้

    ท่านอาจารย์ เป็นจิต และเจตสิกที่เกิดร่วมกัน ที่เป็นฝ่ายดี ของใคร

    ผู้ฟัง ของผู้กระทำ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นเรื่องของใครก็ของคนนั้น จิตนี้เป็นกุศล จิตนั้นเป็นอกุศล จิตนี้เป็นกุศล จิตนั้นเป็นอกุศล ก็คือ จิต เจตสิกของแต่ละคน ซึ่งเกิดแล้วก็ดับ แล้วก็เกิดแล้วก็ดับ จะไปรับอะไรของใครที่ไหน จิตเป็นกุศลเมื่อไร ก็จะเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลวิบากในภายหลัง ของใครก็ของคนนั้น

    เพราะฉะนั้น การที่ลูกกระทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลให้ ไม่ใช่ส่งอย่างอื่นไปให้เลย เพียงแต่ว่าถ้าพ่อมีโอกาสที่จะล่วงรู้ และอนุโมทนา คือ กุศลจิตของพ่อเกิด เพื่อเหตุนั้น เพื่อที่ว่าจิตของพ่อจะเป็นเหตุให้เกิดกุศลวิบากของพ่อเอง จิตของใครก็เป็นเหตุของคนนั้น

    ผู้ฟัง เราไปวัดไปทำสังฆทาน เพื่อส่งไปให้ญาติพี่น้อง

    ท่านอาจารย์ เราทำกุศล ได้ทุกอย่าง แม้ว่าเราจะไม่ไปวัด ไปทำสังฆทาน เราทำอย่างอื่น แม้แต่การฟังธรรมวันนี้ เราก็อุทิศส่วนกุศลให้ได้ กุศลทุกอย่าง

    เพราะฉะนั้น เวลานี้ทุกคนต้องทราบเรื่องเหตุกับผล กุศลจิตเป็นเหตุ กุศลวิบากเป็นผล แต่ต้องเป็นจิตของคนหนึ่งซึ่งดับแล้วก็สืบต่อ สืบต่อไป แม้แต่กรรมนี้ทำเสร็จแล้ว อย่างวันนี้ที่เราสนทนาธรรมเป็นกุศล เมื่อมีความเข้าใจเกิดขึ้น จิตนี้ดับตลอด แต่ว่าการเข้าใจหรือกุศล สิ่งที่ดี ก็สืบต่อในจิตขณะต่อไป ตัวเหตุดับแล้ว แต่สะสมสืบต่อจนกว่าจะถึงกาลที่พร้อมที่จะให้วิบากจิตเกิด วิบากจิตเป็นผลของกุศล วิบากจิต คือ เห็นสิ่งที่ดี ถ้าเป็นกุศลวิบาก ได้ยินเสียงที่ดี ได้กลิ่นที่ดี ลิ้มรสที่ดี รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกายที่ดี มี ๕ ทางที่จะเป็นวิบาก คือผลของกรรม

    เพราะฉะนั้น ที่เรากำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ถ้าเป็นกุศลวิบาก หมายความว่าเพราะกุศลกรรมได้กระทำแล้วเป็นเหตุสืบต่อในจิตตลอดมา จนกระทั่งพร้อมที่จะเป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้น หรือว่าบางกาลกุศลกรรมก็สืบต่อ พร้อมที่จะเป็นปัจจัยให้กุศลวิบากที่ได้ยินเกิดขึ้น เพราะว่าพวกนี้เป็นวิบากหมด เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส พวกนี้เป็นวิบากหมด

    เพราะฉะนั้น ถ้ากุศลจิตของใครเกิด แม้ว่าดับ ก็สืบต่ออยู่ในจิตขณะต่อไป เมื่อถึงเวลาที่จะเป็นวิบากจิตเกิด ก็เกิดเพราะกรรม คือ เหตุที่ได้กระทำสืบต่อมานี้เอง

    ผู้ฟัง ก็แสดงว่า เขาก็ไม่ได้รับ เพราะว่าเขา

    ท่านอาจารย์ หมายความว่า ถ้ารู้แล้วอนุโมทนาเมื่อไร เป็นกุศลของเขาเองเมื่อนั้น เมื่อกุศลจิตซึ่งเป็นเหตุเกิด ก็เป็นปัจจัยให้กุศลวิบากของคนนั้นเกิดทีหลัง ไมใช่ของเราไปยกให้ใคร ยกให้กันไม่ได้เลย แล้วแต่เขาจะเกิดเป็นเทวดาปุ๊บก็ได้ ไม่ต้องไปคอย ๗ วัน

    ผู้ฟัง อาจารย์ครับ สมมติเราทำกุศลอยู่ อุทิศส่วนกุศล ถ้าบรรพบุรุษของเรารู้เมื่อไร เราก็เป็นเหตุให้กุศลเขาเกิด ใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ หมายความว่า จิตของเขาเป็นกุศลเกิดขึ้น ถ้าเขาไม่พอใจก็ไม่ใช่กุศล พูดถึงคนที่ยังไม่ตาย แม้คนเป็น เวลาที่เราเห็นใครทำความดี กุศลจิตเราเกิดหรือเปล่า ถ้ากุศลจิตเราไม่เกิด มันก็ช่วยไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเราจะต้องไปเอากุศลของเขามา ทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ ใช่ไหมคะ แต่เวลาที่ใครทำกุศล เรารู้ แม้เขาไม่ต้องมาอุทิศเจาะจงให้เรา แต่จิตของเราก็เกิดอนุโมทนาในความดีที่เขาทำ ขณะนั้นที่อนุโมทนาเป็นกุศลจิตของเราเอง ไม่ใช่ไปรับมาจากใคร เพราะฉะนั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่ารู้ แล้วกุศลจิตจะเกิดหรือไม่เกิด

    ผู้ฟัง ถ้าผู้ตายไม่รู้ก็ไม่เกิด

    ท่านอาจารย์ ถ้ารู้แล้วไม่อนุโมทนา ก็ไม่ใช่กุศล เพราะฉะนั้น จะไปรับกุศลวิบากของคนอื่นมาก็ไม่ได้


    หมายเลข 9963
    16 ส.ค. 2567