เหลือแต่สภาพจิต


    ที่พูดอย่างนี้ก็ยังมีความเป็นเรา เป็นบุคคล แต่ถ้าย่อลงไป เป็นจิตทีละ ๑ ขณะ เอารูปออกหมด ที่เราเรียกว่า คนเกิด เพราะมีรูปร่างลักษณะอย่างนี้ ถ้าบอกว่าแมวเกิด ก็ต้องเป็นจิตกับรูปเกิด แต่รูปร่างเป็นแมว เราก็เรียกว่า แมวเกิด แต่ความจริงถ้าเอารูปออก รูปคน รูปแมวออกหมด จิตเกิด แล้วก็ถ้าพิจารณาถึงเฉพาะชั่วขณะจิตหนึ่ง ซึ่งแต่ละคนมีจิต ๑ ขณะ เพราะฉะนั้นใน ๑ ขณะ ต้องเป็นชาติหนึ่งชาติใดใน ๔ ชาติ ชาติ คือ ชา-ติ หมายความถึงการเกิดขึ้น เมื่อจิตเกิดขึ้นต้องเป็นกุศล หรือเป็นอกุศลซึ่งเป็นเหตุ หรือเป็นวิบากซึ่งเป็นผล หรือเป็นกิริยาซึ่งไม่ใช่กุศล และไม่ใช่วิบาก นี่เป็นสิ่งที่เราจะต้องเข้าใจสภาพจิตที่มีอยู่จริงๆ เพื่อเราที่จะเข้าใจปัญหาทั้งหมดที่ถาม เรื่องการอุทิศส่วนกุศล เรื่องทำบุญ ๗ วัน หรืออะไรอย่างนี้ เอาโลกออกหมด เอาเรื่องออกหมด เหลือแต่สภาพจิต

    เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว ถ้าเราจะพิจารณา จิตขณะแรกที่เกิด ขณะแรกจริงๆ โลกนี้ไม่ได้ปรากฏเลย ไม่สามารถจะรู้ว่าเป็นที่ไหน เป็นมนุษย์ หรือเป็นสวรรค์ หรือเป็นนรก หรือเป็นอะไรก็ไม่รู้ทั้งสิ้น เพราะว่าปฏิสนธิจิตเป็นผลของกรรม ยังไม่ได้ทำหน้าที่อื่นเลย นอกจากสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน

    นี่เป็นเหตุที่เราจะต้องศึกษาธรรมโดยละเอียด เพื่อเห็นความเป็นอนัตตาว่า จิตมีกิจหน้าที่ ๑๔ อย่าง แล้วแต่ว่าจิตที่เกิดขึ้น ๑ ขณะ ทำกิจอะไรใน ๑๔ กิจ อย่างปฏิสนธิกิจเป็นกิจหนึ่ง เป็นกิจเดียวสำหรับชาติหนึ่ง เช่นเดียวกับจุติกิจ คือ ขณะสุดท้ายก็เป็นกิจ ๑ ใน ๑๔ กิจ ก็เหลืออีกแค่ ๑๒ กิจ ซึ่งก็ไม่มาก ถ้าเราคิดอย่างนี้จริงๆ เราพอจะมองเห็นปรมัตถธรรม ไม่มีคน เป็นธาตุรู้ที่เกิดขึ้น ขณะนั้นมืดสนิทแค่ไหน ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น ไม่มีอะไรเลย แต่ว่ามีธาตุชนิดหนึ่งเกิดขึ้นแล้วเป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ ซึ่งต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด แม้ว่าขณะนั้นเราจะไม่รู้ว่ารู้อะไร แต่จิตเกิดขึ้นต้องรู้ แม้แต่ขณะที่เป็นภวังคจิตก็ยังมืดสนิท ไม่มีอะไรปรากฏเลย เพราะฉะนั้น เวลาที่มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย ให้ทราบว่าเป็นรูปที่เล็ก และละเอียด แสนที่จะบอบบาง เพราะว่าในกลุ่มของรูปที่ร่างกายของเรา ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า มีอากาศธาตุแทรกคั่น ละเอียดยิบ เพราะฉะนั้น กลุ่มของรูปจะเล็กสักแค่ไหน แล้วในกลุ่มหนึ่งซึ่งมีจักขุปสาทรวมอยู่ด้วยมากกว่า ๘ รูป คือเป็น ๑๐ รูป สำหรับรูปที่เกิดจากกรรม จะเล็กสักแค่ไหน แต่แม้กระนั้นก็เป็นปัจจัยให้กระทบกับสิ่งที่สามารถกระทบตาได้ ในรูปทุกรูปที่เป็นมหาภูตรูป จะมีรูปหนึ่งซึ่งเป็นรูปที่สามารถกระทบกับจักขุปสาท ทำให้มีการมองเห็นสีสันวัณณะ หรือรูปชนิดนั้น ชั่วขณะที่เห็นแล้วดับ คิดดูว่ามันเล็กน้อยสักแค่ไหน ชั่วขณะจิตซึ่งไม่รู้อะไรเลย แล้วเกิดเห็นขึ้นแล้วก็ดับ ต่อจากนั้นคิดนึก เพราะฉะนั้นเราอยู่ในโลกของความคิดนึกมากมายมหาศาล เพราะว่าเพียงแค่ตาเห็นนิดหนึ่ง เสียงกระทบนิดหนึ่ง จมูกกระทบกลิ่นนิดหนึ่ง ลิ้นกระทบรสนิดหนึ่ง กายกระทบสิ่งที่สัมผัสนิดหนึ่ง แต่เรื่องราวของทุกสิ่งที่กระทบมาก เป็นคน เป็นวัตถุ เป็นสิ่งต่างๆ เป็นอุทิศส่วนกุศล เป็นอะไรต่ออะไร

    เพราะฉะนั้น ถ้าเราเอาเรื่องราวออกหมด เป็นแต่ปรมัตถธรรม คือ จิตที่เกิดขึ้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล หรือเป็นวิบาก หรือเป็นกิริยา เราจะเห็นความจริงว่า วิบากจิตทั้งหมดเป็นผลของกุศลจิต หรืออกุศลจิตซึ่งเป็นเหตุ ถ้าเหตุเป็นอกุศล ผลก็คืออกุศลวิบาก ไม่มีใครทำให้เลย แม้เราจะบอกว่า เขาถูกฆ่าตาย แต่ความจริงเป็นความคิดว่า เขาถูกฆ่าตาย แต่ความจริงแล้วก็คือว่า มีกรรมซึ่งเป็นเหตุทำให้มีการกระทบกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นคน แต่ว่าสามารถที่จะทำให้วิบากจิตเกิดขึ้น แล้วก็รู้ความปวดเจ็บต่างๆ ได้

    นี่ก็เป็นเรื่องละเอียดปลีกย่อย ซึ่งเป็นประโยชน์ของการศึกษาปรมัตถธรรมว่า เราต้องศึกษาเรื่องธรรมจริงๆ ตัวจริง เรื่องที่ประกอบเป็นเจตสิก เป็นอะไร เพื่อให้เราเห็นว่าเป็นอนัตตา ที่ไม่ใช่เรา แต่ต้องรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏซึ่งเป็นนามธรรม หรือ รูปธรรมก่อน อย่าไปหวังว่าเราจะไปรู้โลภมูลจิต หรือโทสมูลจิต หรือเอาชื่อใส่เข้าไป เพราะเราเรียกชื่อได้ แต่ตัวจริงเราไม่รู้ อย่างเวลาที่เรากำลังรับประทานอาหารอร่อยเมื่อกี้นี้ บางคนอาจจะนึกขึ้นมาได้ว่า โลภะ เรียกชื่อ แต่โลภะนั้นเกิดดับไปนานแล้ว แต่ก็ยังเรียกชื่อเขาตามต่อไป แล้วก็ไปนั่งเดาว่า บางคนก็ เอ๊ะ ขณะนี้เป็นจิตประเภทไหน เรื่องเดา คือเรื่องไม่รู้จริง แต่สามารถจะรู้จริงเมื่อสติระลึกขณะที่สภาพนั้นปรากฏ เริ่มจากการค่อยๆ เข้าใจในลักษณะที่เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม นี่คืออบรมปัญญาซึ่งเป็นวิปัสสนาภาวนา ซึ่งไม่ต้องไปที่ไหน เพราะเหตุว่าขณะนี้มีสภาพธรรมกำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรม เพื่อจะรู้ว่าเป็นธรรม ก็คือเข้าใจสิ่งที่กำลังมี ซึ่งเป็นธรรมด้วย


    หมายเลข 9977
    15 ส.ค. 2567