เลิกคิดเรื่องปฏิบัติ


    ผู้ฟัง ถ้าไม่มีเรา แล้วคืออะไร ผมกำลังต้องเก็บคำถามนี้ไปค้นคว้า ถ้าไม่มีเราแม้กระทั่งเสียง รูป อาจารย์ที่พบอย่างนี้ สภาวธรรมอย่างนี้ อยากจะได้ที่ลึกซึ้งกว่านั้น

    ท่านอาจารย์ นั่นสิคะ เมื่อไม่มีเรา สิ่งที่มีเป็นอะไร ก็คือ จิต เจตสิก รูป นี่ก็เรื่องตำราบอก นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ต้องเป็นปัญญาอีกระดับ

    ผู้ฟัง ผมก็ตั้งคำถามเพื่อคนอื่น ไม่มีจิต เจตสิก รูปคืออะไร

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ มีจิตหรือเปล่า

    ผู้ฟัง มีครับ

    ท่านอาจารย์ มีเจตสิกหรือเปล่า

    ผู้ฟัง มีหมดเลย รูปร่างหน้าตาอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ แล้วพูดถึงเมื่อกี้นี้ว่าอย่างไร ก็ไม่พ้นจาก จิต เจตสิก รูป

    ผู้ฟัง ทุกวันนี้ของเราเข้าใจกันว่า คือ “ภาวนา” ตามหนังสือ ก็บอกว่า ทำให้เจริญขึ้น พวกเราก็คิดว่า การเจริญขึ้นจะต้องไปนั่ง สมาธิ

    ท่านอาจารย์ อันนั้นไม่ถูกต้อง

    ผู้ฟัง มีนิวรณ์ธรรมบ้าง อะไรบ้าง ตามที่สำนักต่างๆ เขาสอนไว้ ก็คิดว่าตรงนั้นหรือบุญ เราก็ข่มความฟุ้งซ่านต่างๆ โอเค ทำได้หมด ๕ วัน ๑๐ วัน ทำได้หมด แต่ว่า วันนี้อยากจะทราบว่า มันเป็นอะไร

    ท่านอาจารย์ เพราะถ้าเราใช้คำว่า “วิปัสสนาภาวนา” แปลว่า เห็นแจ้ง เห็นนี้คือความรู้ ไม่ใช่ไปเห็นแบบเราอยากดู แล้วไปพยายามจะไปดูให้เห็น อันนั้นไม่ใช่ แต่หมายความว่า เห็นที่นี่ คือปัญญาเจตสิกที่อบรมเจริญจนกระทั่งเห็นธรรมโดยธรรมนั้นกำลังเผชิญหน้าให้เห็นความจริง อย่างเวลานี้ถ้าเราจะพูดเรื่องนามธรรม เราก็เข้าใจเผินๆ กำลังระลึกลักษณะที่เป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้ จะมีลักษณะของเจตสิกอื่นๆ ร่วมด้วยได้ไหม ไม่ได้

    นี่แสดงให้เห็นว่า กว่าปัญญาของเราจะเข้าใจคำว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ไม่ใช่เอาชื่อมาอ่าน แล้วก็มานั่งเรียงหัวข้อ แต่จะต้องเป็นการรู้ถึงแม้ในขั้นต้น ลักษณะของจิตซึ่งต่างกับเจตสิก เพื่อที่จะได้ระลึกถูกว่า ขณะนั้นเป็นสภาพธรรม แต่ก่อนอื่น จะต้องรู้ลักษณะที่ต่างกัน เป็นนามธรรมกับเป็นรูปธรรม ก่อน ไม่ใช่ว่าด้วยความอยากที่เราจะไปดู ไปรู้ ไปเห็นการเกิดดับหรืออะไร

    เพราะฉะนั้น เรื่องของภาวนาซึ่งเป็นการอบรมวิปัสสนาซึ่งเป็นการเห็นแจ้งด้วยปัญญาที่อบรมเจริญขึ้น เราก็รู้ว่าต้องมาจากการฟัง ถ้ามีการฟังเข้าใจจริงๆ แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น ก็จะเป็นสังขารขันธ์ให้มีการระลึกลักษณะที่เป็นสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เพียงแต่ฟังเรื่องราว ธรรมทุกอย่างจะเกิดได้ต้องมีเหตุปัจจัย อย่างจิตได้ยิน ถ้าไม่มีหู โสตปสาท ไม่มีเสียงกระทบ จิตได้ยินก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่การฟังเรื่องสภาพธรรม จนกระทั่งมีความเข้าใจจริงๆ ในลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม สัมมาสติจะเกิดได้ไหม จะระลึกลักษณะของสภาพธรรมตรงลักษณะของสภาพธรรมไหม ก็ไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องการไปทำอะไรขึ้นมาเลย นอกจากเข้าใจจริงๆ ว่า ลักษณะของปัญญา คือความรู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏจนกว่าจะเพิ่มขึ้น เป็นปกติ

    ผู้ฟัง ผมอยากจะให้อาจารย์แนะนำว่า เราจะทำอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อน ถ้าจะขอคำแนะนำคือว่า ไม่ต้องคิดเรื่องปฏิบัติเลย แต่ให้เข้าใจสภาพธรรมขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็รู้ว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น เป็นธรรมต่างหากที่ปฏิบัติ ถ้าปัญญายังไม่เกิด ตัวเราปฏิบัติหน้าที่ของปัญญาไม่ได้ จนกว่าเมื่อไรปัญญาเกิด เมื่อนั้นปัญญาก็ปฏิบัติหน้าที่ของปัญญา ไม่ใช่เรา สติก็ปฏิบัติหน้าที่ของสติ มรรคมีองค์ ๘ ก็ปฏิบัติหน้าที่ของมรรคนั้นๆ

    ผู้ฟัง อาจารย์ หนูขอถามว่า อาจารย์บอกให้ฟัง แต่ว่าข้างนอกมีเยอะมากเลย เราไม่รู้ว่าต้องฟังคนไหนบ้าง

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่คน ฟังธรรม คือเรื่องสิ่งที่มีจริงๆ ให้เราเข้าใจขึ้น ไม่ต้องเลือกคน ฟังธรรมให้เข้าใจขึ้น ฟังใครที่ทำให้เราเข้าใจ ถ้าเราเข้าใจ เราก็ฟังต่อไป เป็นเหตุเป็นผลที่สมบูรณ์

    ผู้ฟัง เราจะรู้ได้อย่างไร คนนี้พูดจริงหรือไม่

    ท่านอาจารย์ ก็มีสภาพธรรมให้พิสูจน์ไงคะ อย่างพูดเรื่องเห็น มีเห็นไหม พูดเรื่องได้ยิน มีได้ยินไหม พูดเรื่องโกรธ มีโกรธไหม พูดเรื่องปรมัตถธรรมก็มีจริงๆ


    หมายเลข 9979
    12 ส.ค. 2567