สติมีหลายขั้น


    ผู้ฟัง เรียนถามอาจารย์เรื่องตัวสติ สติระลึกรู้ในสิ่งที่เป็นโสภณเท่านั้น ใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    ผู้ฟัง จะเป็นด้านโลกียะ เอาไปใช้ไม่ได้ ผิดใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ คือว่า เจตสิกแบ่งออกเป็น ๓ กลุ่ม อัญญสมานาเจตสิก เกิดกับกุศลจิตก็ได้ อกุศลจิตก็ได้ วิบากจิต กิริยาจิตได้หมด ทุกประเภท นี่คือ อัญญสมานาเจตสิก โดยศัพท์ หมายความว่า เจตสิกเหล่านี้เสมอกันกับเจตสิก และจิตอื่นซึ่งเขาเกิดร่วมด้วย ถ้าเขาเกิดกับโสภณเจตสิก เขาก็เป็นโสภณด้วย คือถ้าขณะนั้นจิตนั้นเป็นกุศล อัญญสมานาทั้งหมดเป็นกุศล เป็นกุศลด้วย เพราะเหตุว่ามีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย อีกกลุ่มก็คือ อกุศลเจตสิก มีชาติเดียว เกิดเมื่อไร เป็นวิบากไม่ได้ เป็นกิริยาไม่ได้ ต้องเป็นอกุศลอย่างเดียว ส่วนโสภณเจตสิก เป็นได้ทั้งวิบากจิต กิริยาจิต กุศลจิต ได้ ๓ ชาติ

    เพราะฉะนั้น สติ ถ้าไม่ใช่สติปัฏฐานแล้ว ไม่มีทางรู้ลักษณะของเจตสิกทั้งหลายตามความเป็นจริง แต่อาจจะรู้โดยความเป็นเรา เช่น เวลาโกรธ ลักษณะที่โกรธ มี แต่เป็นเรา ไม่รู้ว่าเป็นเจตสิก แล้วก็ไม่สามารถที่จะแยกได้ว่า เป็นจิต หรือเป็นเจตสิก

    เพราะฉะนั้น สติมีหลายขั้น ขณะใดที่กุศลจิตเกิด ไม่ว่าจะเป็นในทางหนึ่งทางใดทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นไปในทาน เป็นไปในศีล เป็นไปในความสงบของจิต ขณะใดที่จิตเป็นกุศล ขณะนั้นต้องมีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะว่ากุศลจิตจะเกิดต้องมีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๑๙ ประเภท ๑๙ ดวง อย่างน้อย จะขาดดวงหนึ่งดวงใดใน ๑๙ ดวงไม่ได้ เวลาที่จิตเกิดระลึกเป็นไปในการให้ ขณะนั้นไม่ใช่เรา แต่เพราะสติระลึกได้ว่า ควรจะให้ สิ่งนั้นสิ่งนี้ เพื่อประโยชน์แก่คนอื่น

    เพราะฉะนั้น เวลาที่ศึกษาธรรม แล้วเกิดกุศลจิตให้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ให้ทราบว่าสติระลึกเป็นไปในการให้ เวลาที่จะวิรัติทุจริต ก่อนศึกษาเป็นเราที่วิรัติ ที่เว้น แต่พอศึกษาแล้ว ถ้าวิรัติเจตสิกไม่เกิด ขณะนั้นจะไม่เป็นกุศล จะไม่มีการวิรัติ

    เพราะฉะนั้น ขณะใดที่จิตไม่สงบ โกรธ แต่พอระลึกได้ว่า ไม่มีประโยชน์เลย น่าสงสาร หรือว่าควรที่จะเห็นใจ ควรที่จะเข้าใจคนนั้นมากกว่า ขณะนั้นก็เป็นสติที่ระลึกเป็นไปในความสงบของจิตที่จะไม่โกรธ ที่จะมีเมตตา ถ้าขณะใดที่สภาพธรรมขณะนี้ ปรากฏ แล้วสติระลึกลักษณะที่เป็นปรมัตถ์ แล้วค่อยๆ เข้าใจ เริ่มเข้าใจ นี่คือ ภาวนา ขณะนั้นก็เป็นสติปัฏฐาน ซึ่งถ้าสติปัฏฐานไม่เกิด แม้สภาพนามธรรม รูปธรรมจะเกิดก็ไม่มีการรู้ว่า เป็นนามธรรมอะไร เป็นรูปธรรมอะไร

    เพราะฉะนั้น สติจึงจำปรารถนาในที่ทั้งปวง ซึ่งมีคนบอกว่าแปลอย่างอื่นก็ได้ ไม่ได้แปลว่า จำปรารถนา แต่หมายความว่าเป็นประโยชน์ในที่ทั้งปวง

    ผู้ฟัง อย่างเช่น ถ้าเราใส่บาตรแล้วอธิษฐานขอ สมมติว่าเป็นรางวัลที่ ๑ อย่างนี้ การใส่บาตรนั้นเป็นกุศล หรือไม่เป็นกุศล

    ท่านอาจารย์ ถามแล้ว ใช่ไหมคะ ให้คิดเอง และให้ตอบ ขณะใส่บาตร เป็นการให้ เพื่อประโยชน์สุขแก่บุคคลอื่น เป็นกุศล หรือเป็นอกุศล

    ผู้ฟัง เป็นกุศล

    ท่านอาจารย์ ขณะที่คิด อยากจะถูกล็อตเตอรรี่รางวัลที่ ๑ อยาก เป็นกุศลหรืออกุศล เป็นอกุศล ไม่ต้องไปถือเลย ความจริงเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เมื่อพิจารณาเข้าใจ


    หมายเลข 9982
    12 ส.ค. 2567