ทุกข์กายแล้วตามด้วยทุกข์ใจ


    ท่านอาจารย์ คุณศุภักษร แต่ก่อนไม่หลีกเป็นธรรมหรือเปล่า และกำลังหลีกเดี๋ยวนี้เป็นธรรมหรือเปล่า คือต้องเข้าใจว่าก่อนฟังธรรมไม่หลีก แต่ที่หลีกตอนนี้เพราะได้ฟังธรรมก็เป็นปัจจัยที่จะทำให้มีการหลีก หรือได้ฟังธรรมแล้วรู้ว่ากาย วาจา อย่างไรจะเกิดขึ้นก็เพราะการปรุงแต่งของสังขารขันธ์จากการที่ได้ยินได้ฟัง โดยที่เราไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจ ไม่มีใครจะไปทำอะไรได้เลย แต่ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย

    ผู้ฟัง ความทุกข์ที่เกิดจากการเจ็บป่วยทางร่างกาย เช่นเราเป็นโรคร้ายแรง แล้วบางคนที่เป็นโรคแบบนี้ก็จะมีความทุกข์ เราจะมีวิธีการอย่างไรที่จะดับทุกข์หรือวิธีคิดอย่างไรที่จะให้ความทุกข์ ความเศร้าโศกทางใจบรรเทาลง

    ท่านอาจารย์ แล้วถ้าไม่ใช่ทุกข์กาย แล้วทุกข์อื่น มีวิธีการใดๆ อีกหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ถ้าเกิดเป็นทุกข์ใจก็จะพยายามคิดแก้ปัญหาตรงนั้น หรือทำใจ และหาวิธีการแก้ปัญหาให้ดีที่สุด

    ท่านอาจารย์ แปลว่าตอนนี้สงสัยเฉพาะทุกข์กาย ก็ต้องทราบว่าถ้ามีกายแล้วจะไม่มีทุกข์เป็นไปได้ไหม นี่คือความเห็นถูก เพราะว่าเราจะไปบังคับจิตให้ไม่ทุกข์เป็นไปไม่ได้ แต่ว่าถ้าขณะใดที่เป็นทุกข์ไม่ว่าเมื่อไหร่ทั้งสิ้นที่หนักที่เป็นทุกข์ ให้ทราบว่าขณะนั้นเป็นอกุศล เป็นกิเลส ซึ่งเราไม่รู้เลย แต่เป็นแล้วเพราะมีความเป็นเรา

    เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วต้องทราบว่ากิเลสทำให้เป็นทุกข์ ทำให้หนัก ทำให้กังวล ห่วงใย แต่ถ้าเป็นปัญญา ความเห็นถูกจะตรงกันข้ามเลย เพราะเริ่มเข้าใจถูกว่าเมื่อมีกาย ต้องมีทุกข์เป็นของธรรมดา จะผิดธรรมดาไม่ได้ เพียงแต่ว่าทุกข์นั้นจะมากหรือจะน้อย จะเกิดขึ้นช้า ยังไม่เกิดขณะนี้ แต่ต่อไปก็เกิดได้ โดยที่ว่าไม่มีใครสามารถที่จะรู้ว่าทุกข์ระดับไหนจะเกิดเมื่อไหร่ แล้วจริงๆ ทุกข์กายก็อย่างหนึ่ง คือบังคับบัญชาไม่ได้ แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงได้รับผลของอกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว พระองค์มีพระวรกายก็ต้องเจ็บป่วยด้วยเมื่ออกุศลกรรมให้ผล แต่ว่าเราสามารถที่จะรู้ว่าเพียงทุกข์กายแล้วไม่เดือดร้อน กับทุกข์กายแล้วเดือดร้อนเพิ่มทุกข์อีกแล้ว เป็นสองอย่าง คืออย่างเดิมอย่างแรกคือทุกข์กายซึ่งใครก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ความกังวล ความห่วงใยนั่นเป็นทุกข์ใจ เพราะเหตุว่า ใครจะทำอะไรได้กับสิ่งที่เกิดแล้ว และมีปัจจัยให้เกิด ถ้ารู้ว่าทั้งหมดที่เป็นวิบาก คือผลของกรรม เราก็จะเข้าใจถูก ไม่ว่าจะเป็นเห็น ยังไม่เป็นทุกข์ทางกาย ได้ยินก็ไม่ใช่ทุกข์ทางกาย ได้กลิ่น ลิ้มรสก็ไม่ใช่ทุกข์ทางกาย แต่ก็รู้ว่าเป็นผลของกรรม

    เพราะฉะนั้น สำหรับกายก็เป็นของที่แน่นอน ถ้าเราได้ทำกุศลกรรมมามาก ทุกข์กายก็น้อย ถ้าทำอกุศลกรรมเบียดเบียนคนอื่นด้วยเจตนาที่เคยตั้งใจจะให้เขาตาบอดบ้าง พิการบ้าง หรืออะไรบ้างก็แล้วแต่ เจตนาที่แม้เกิดแล้วดับไป ก็จะทำให้เกิดผลคือจิตประเภทวิบากของตนเอง ไม่ใช่ของคนอื่นเกิดขึ้น ถ้าเทียบผู้ที่มีปัญญากับผู้ที่ไม่มีปัญญา อย่างพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านมีทุกข์กาย ทุกข์ใจไม่มีเลย แต่สำหรับคนที่ไม่ใช่พระอนาคามีบุคคล เมื่อมีทุกข์กายก็มีทุกข์ใจด้วยตามระดับของความเข้าใจ ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจจริงๆ ว่าถ้าเราเป็นโรคร้ายแรง ชื่อว่าโรคร้ายแรง แต่ความเจ็บความปวดเกิดแล้วหรือยังอาจจะยังไม่เกิดเลย เพียงแต่ไปตรวจพบแล้วก็บอกว่าเป็นโรคร้ายแรง ความกังวลใจทุกข์ใจมา ทั้งๆ ที่ทุกข์กายไม่ได้เกิดเลย ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจจริงๆ ทุกขณะจิตเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย คนที่ป่วยหนักแต่หลับสนิท ทุกข์ไหม ไม่ทุกข์แล้วเราก็ไปเดือดร้อน เขาป่วยมาก เขาเจ็บมาก แต่ความจริงขณะนั้นเขาไม่รู้สึกตัวเลย กำลังหลับสนิท ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก

    เมื่อไม่นานมานี้ ก็มีท่านผู้ฟังท่านหนึ่งซึ่งมารดาของท่านป่วยเป็นมะเร็ง ระยะที่ท่านใกล้จะสิ้นชีวิต ท่านก็ห่วงใย เป็นทุกข์ว่ามารดาของท่านจะเจ็บปวดมาก และก็จะทำอย่างไรจิตใจถึงจะไม่กระวนกระวาย แต่ว่าตามความเป็นจริง ถ้าเราเข้าใจธรรมแล้ว เราจะรู้ว่าทุกอย่างต้องเกิดเมื่อมีเหตุปัจจัยเท่านั้น ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยก็ไม่เกิด

    อย่างคนที่เป็นมะเร็ง ไม่ได้สิ้นชีวิตเพราะมะเร็งก็มีใช่ไหม ไม่ได้สิ้นชีวิตเพราะความเจ็บปวดก็มี อาจจะหลับแล้วก็จากโลกนี้ไปเลยก็ได้ เพราะฉะนั้นใครจะรู้ โดยเฉพาะถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้องว่าความตายไม่ได้น่ากลัวเลยเพราะทุกคนไม่รู้ตัว ขณะที่กำลังรู้ตัวขณะนั้นไม่ได้ตายเลย จะกลัว หรือจะเป็นกุศล หรือจะเป็นอกุศล ขณะนั้นไม่ตาย แต่ถ้าตาย ไม่ว่าใครทั้งหมดคือขณะนั้นจุติจิตเกิดเร็วมาก และก็ปฏิสนธิเกิดสืบต่อ ไม่รู้ตัวเลย

    เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจอย่างนี้ก็จะแยกความทุกข์กายกับความทุกข์ใจได้ ว่าถ้าเรามีความมั่นคงว่าทุกอย่างแล้วแต่กรรมที่ได้ทำมาแล้ว ชื่อโรคอาจจะน่ากลัว แต่ขณะใดที่ไม่ปวดไม่เจ็บ ชื่ออะไรก็เหมือนกันหมด หกล้มไม่ได้เป็นมะเร็ง แต่ก็เจ็บ ทุกกายวิญญาณก็เป็นลักษณะอย่างนั้นแหละ

    เพราะฉะนั้น ก็จะทำให้เราไม่คิดกังวลถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น และก็มีความมั่นคงว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดแม้คิดก็ต้องตามการสะสม แต่ก่อนเราไม่เคยคิดอย่างนี้เลยว่าทุกอย่างเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เป็นไปตามกรรม แต่เมื่อได้ฟังบ่อยๆ ก็มีการคิดเกิดขึ้น และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็หวั่นไหวน้อยลง แต่ว่าตราบใดที่ยังไม่ใช่บุคคลที่ดับกิเลสก็มีมีปัจจัยที่กิเลสจะเกิด แต่ปัญญาก็สามารถที่จะมีปัจจัยเกิดเป็นกุศลในขณะนั้นด้วย ไม่ต้องกลัวชื่อโรค เป็นชื่อ แต่ลักษณะของการที่จะรู้อารมณ์มีเพียง ๖ ทาง ไม่ใช่ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ และทุกอย่างก็สั้นมาก แม้แต่ทางกายก็เกิดดับ


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 174


    หมายเลข 9985
    3 ก.ย. 2567