เข้าใจความเป็นอายตนะ
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์พูดถึงนัยของสติปัฏฐาน ไม่ได้นึกถึงเหตุการณ์ข้างหน้า และก็ไม่ได้นึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว จะต้องมีความเข้าใจเลยว่าในขณะนี้มีอะไรปรากฏ นอกเหนือจากนี้ไม่ใช่สติปัฏฐานหรือ
ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าสติปัฏฐานระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดดับ ที่จะเป็นอริยสัจจธรรมได้ ต้องเป็นการรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นทุกข์เพราะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ขอความกรุณาช่วยอธิบายธรรมที่กำลังปรากฏ
ท่านอาจารย์ ทางตา มีอะไรปรากฏ
ผู้ฟัง ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏทางตาแต่ไม่รู้
ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้แต่ผู้รู้ทรงแสดงว่าสภาพธรรมนี้ต้องเกิด และต้องกระทบจักขุปสาทรูปด้วย กระทบอื่นก็ไม่ได้ และเมื่อเกิด และกระทบจักขุปสาทรูป ทั้งรูปที่กำลังปรากฏทางตา และจักขุปสาทรูปยังไม่ดับทำ ให้มีจิตเห็นเกิดขึ้นเห็น เพราะฉะนั้นขณะนี้ให้คิดถึงความลึกซึ้งของธรรม ซึ่งถ้าไม่รู้ก็เหมือนธรรมดา แต่ถ้าไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น มีแต่ธาตุคือเป็นรูปธาตุ ได้แก่จักขุปสาทรูป และสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา รูปธาตุ ๒ อย่างนี้มีแน่นอน และก็ยังมีจิต ธาตุอีกชนิดหนึ่งซึ่งกำลังเห็นแค่นี้เกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย และก็ดับไปแล้วทั้งหมด นี่คือความลึกซึ้งของธรรมซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงบำเพ็ญพระบารมีจึงสามารถที่จะทรงตรัสรู้ความจริงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เพราะฉะนั้นผู้ฟังก็ค่อยๆ พิจารณาว่าสิ่งนี้มี จริงไหมที่ว่าต้องเกิดจึงได้ปรากฏ ถ้าไม่เกิดจะปรากฏได้อย่างไร ไม่ว่าอะไรทั้งหมด แข็ง หรือเสียง หรือกลิ่น หรือรส หรือแม้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ถ้าไม่เกิดขึ้นเลยจะปรากฏไม่ได้เลย นี่ก็แสดงให้เห็นว่าความไม่รู้ของเราระดับไหนมากแค่ไหน แม้ฟังอย่างนี้ก็ยังไม่ได้ประจักษ์ เพราะถ้าประจักษ์จริงๆ คือความเข้าใจความเป็นอายตนะ ซึ่งทรงแสดงไว้โดยละเอียดสำหรับบุคคลที่ได้สะสมมาที่จะฟัง และเข้าใจความเป็นจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้ ด้วยสติที่กำลังรู้ลักษณะนั้นจริงๆ
ที่มา ...