สติที่เป็นไปในทาน


    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ เมื่อถามเกี่ยวกับเรื่องทานแล้ว ขอความกรุณาท่านอาจารย์ ได้อธิบายเกี่ยวกับว่า สติที่เป็นไปในทาน หมายความว่าอย่างไรคะ

    ท่านอาจารย์ ต้องทราบก่อนว่า สติเกิดกับกุศลจิต หรือโสภณจิต คือจิตฝ่ายดีทั้งหมด สติจะไม่เกิดกับอกุศลจิตเลย เวลาที่เกิดความยินดี ติดข้อง ต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนั้นเป็นอกุศลจิต ไม่มีสติเกิดร่วมด้วย หรือเวลาที่โกรธ ขุ่นเคืองใจ ขณะนั้นก็ไม่มีสติเกิดร่วมด้วย ถ้าใช้คำว่า “สติ” ต้องหมายความถึงสภาพธรรมที่เป็นฝ่ายดี ภาษาไทยเราอาจจะพูดโดยที่ว่าไม่คิด คนนั้นมีสติปัญญา เราก็พูดไปเรื่อย แต่ว่าตัวสติจริงๆ คือสภาพธรรมที่เป็นสติ เป็นโสภณเจตสิก

    เพราะฉะนั้น สติต้องเกิดกับจิตที่ดีทั้งหมด เช่นขณะที่กุศลจิตเกิด คิดให้ทาน ขณะที่จะให้สิ่งที่เป็นประโยชน์กับคนอื่น ขณะนั้นถ้าสติไม่เกิด ความคิดอย่างนี้จะไม่มีเลย หรือการวิรัติทุจริต การงดเว้นจากการฆ่าทางกาย หรือว่าการพูดสิ่งที่เป็นทุจริตต่างๆ ถ้าสติไม่เกิดก็ไม่มีการเว้น ไม่มีการวิรัติ

    เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่า ไม่ใช่เรา เพราะว่าพระธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา หมายความว่าไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เพราะฉะนั้น อะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่เรา อะไรล่ะที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ก็คือสภาพของเจตสิกต่างๆ ที่เกิดขึ้น ถ้าเป็นโสภณเจตสิกเกิดเมื่อไร จิตก็ดีงามเมื่อนั้น เป็นไปในทางกุศลประการหนึ่งประการใดก็ได้ เพราะฉะนั้น จึงกล่าวว่าขณะที่ให้ทาน เป็นสติขั้นทาน หรือว่าเป็นไปในทาน

    ผู้ฟัง ถ้าเป็นสติขั้นทาน หมายถึงว่า เมื่อเรามีจิตคิดจะให้เกิดขึ้น เราจะต้องรู้สภาพ หรือว่าลักษณะของจิตดวงนั้นที่เกิดขึ้นว่า เป็นไปอย่างไร ที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน หรือไม่ใช่เรา ตรงนั้นในขณะที่เราจัดเตรียมข้าวของ มีอาการไหวของร่างกาย จะมีอาการเห็นที่ปรากฏ หรือมีเสียงที่ได้ยินในขณะนั้น หรือว่าเตรียมมีจิตที่เป็นความขุ่นเคือง อะไรไม่เรียบร้อย ตรงนั้นเหมือนกับว่าต้องรู้จิตทุกขณะเลย ที่เกิดขึ้น ก่อนที่จะให้ทาน แล้วก็ในขณะที่จะให้ทาน สมมติว่าจะตักบาตร ขณะที่นอบน้อมต่อพระ อันนั้นอาการกายไหวไป หรือว่าจับทัพพี แข็งก็จะต้องรู้ ไหวก็จะตัก หรือว่ากุศลจิตที่เกิดหลังจากที่ให้ไปใหม่ๆ หรือให้ไปนานๆ แล้ว เราต้องรู้ทุกขั้นตอน ถึงจะเป็นสติในทาน ไม่ทราบว่าอย่างนี้ถูกต้องไหม

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นสติปัฏฐานคะ

    ผู้ฟัง คนละอัน ใช่ไหมคะ

    ท่านอาจารย์ หมายความว่าคนที่ให้ทานในโลกนี้ ไม่ว่าจะรู้สึกตัว หรือไม่รู้สึกตัว ชาติ ภาษาไหนก็ตาม เด็กเล็กหรือผู้ใหญ่ก็ตาม ถ้ามีจิตคิดที่จะสงเคราะห์ช่วยเหลือบุคคลอื่นด้วยการให้วัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามซึ่งเป็นทานวัตถุ ขณะนั้นไม่ใช่ตัวตน แล้วเป็นอะไร ก็ต้องเป็นสภาพจิตซึ่งประกอบด้วยเจตสิกที่ดี สติก็เป็นเจตสิกที่ดีในขณะนั้น จึงมีการให้เกิดขึ้น คนนั้นไม่มีสติปัฏฐานเกิด แต่ว่ามีการให้ เพราะว่ามีโสภณจิต หรือมีกุศลจิต แต่เวลาที่มีการระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ โดยสภาพที่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน แต่สิ่งนั้นมีจริงๆ อย่างความโกรธมีจริงๆ แล้วก็โกรธกันบ่อยๆ แต่ไม่เคยระลึกที่ลักษณะสภาพโกรธ เพราะฉะนั้น ก็เป็นความโกรธที่เป็นอกุศล แต่ถ้าสติเกิดต้องระลึกลักษณะซึ่งเป็นสภาพธรรม เพื่อที่จะรู้ความจริงว่า ไม่ใช่เรา ขณะนั้นเป็นสติอีกระดับหนึ่ง

    เพราะฉะนั้น เวลาที่ให้ทาน แล้วเกิดมีสติระลึกรู้ลักษณะของสภาพสิ่งที่กำลังปรากฏอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้ อาจจะเป็นแข็ง หรืออาจจะเป็นเห็น หรืออาจจะเป็นความคิดนึก ขณะนั้นสติที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมเป็นสติปัฏฐาน ไม่ใช่สติขั้นทาน ถ้าสติขั้นทานคือเกิดกุศลจิตเป็นไปในทาน คิดที่จะให้ เพื่อประโยชน์สุขแก่คนอื่น อันนั้นเป็นสติที่เป็นไปในทาน


    หมายเลข 9994
    12 ส.ค. 2567