เข้าถึงความหมายของธรรมที่เป็นนามธรรมจริงๆ หรือยัง


    ผู้ฟัง ที่ศึกษามาก็ทราบว่าโมหมูลจิตมี ๒ ประเภท ก็พยายามที่จะเข้าใจลักษณะตรงที่ว่าไม่มีถีนมิทธะเกิดร่วมด้วยเพราะเหตุใด หมายถึงว่าไม่มีสสังขาริก อสังขาริก

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    ผู้ฟัง ไม่เข้าใจว่าทำไม

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าโมหมูลจิตเกิด มีใครชักชวนหรือเปล่า ชักชวนให้โมหะเกิดดีไหม ให้โมหมูลจิตเกิดเป็นไปไม่ได้เลย แต่มีปัจจัยก็เกิด และก็ไม่ใช่สสังขาริก

    ผู้ฟัง แล้วอย่างเวลาที่โมหะมีกำลังมากๆ

    ท่านอาจารย์ เหมือนกัน เกิดเพราะเหตุปัจจัย

    ผู้ฟัง ไม่ใช่กำลังน้อยมันเป็นสสังขาริกหรือ

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ สสังขาริกคืออาศัยการชักจูงจะโดยตนเองหรือว่าบุคคลอื่นก็ได้ แต่สำหรับโมหะนี่ไม่มีการที่จะถูกชักจูงเลย

    อ.กุลวิไล ก็น่าพิจารณาว่าทำไมอกุศลจิตที่เป็นโลภมูลจิต และโทสมูลจิตประกอบด้วยอสังขาริกก็มีหรือสสังขาริกก็มี แต่โมหมูลจิต ๒ ประเภทนี้ ไม่ได้ต่างกันโดยสังขาร

    ผู้ฟัง สสังขาริกที่อาศัยการชักจูงโดยตนเองหรือโดยคนอื่นหมายความว่าอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เป็นจิตที่มีกำลังอ่อน และก็เกิดเพราะการชักจูง อยากจะทำอะไรบ้างไหม บางครั้งมีคนอื่นมาชวนถึงได้อยากใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่ครับ

    สุ . เป็นจิตที่ต่างกันหรือเปล่า ถ้าอยากเองกับอาศัยคนอื่นชักจูง

    ผู้ฟัง ต่างกัน

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นจิตที่เป็นสองประเภท คือประเภทหนึ่งก็เป็นอสังขาริก อีกประเภทหนึ่งก็เป็นสสังขาริก หรือแม้ไม่มีคนอื่นชักจูงเลย แต่ความที่จิตนั้นมีกำลังอ่อน ก็อาศัยการที่จะชักจูงตัวเองคือคิดไปคิดมา ดีหรือไม่ดี ทำหรือไม่ทำอยู่อย่างนั้นก็เป็นจิตประเภทที่เป็นสสังขาริก จริงๆ แล้วไม่ใช่ให้เรารู้เพียงชื่อหรือเพียงความหมาย แต่ว่าจริงๆ แล้วจะรู้อย่างนี้ได้เมื่อไหร่ เห็นไหม ต้องเข้าถึงการที่เข้าใจว่าเราศึกษาปริยัติ ศึกษาเรื่องราวของสภาพธรรมที่มีจริงๆ แต่ขณะใดเราสามารถจะรู้อย่างนี้ได้ มีไหม

    ผู้ฟัง ขณะที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ แล้วจะรู้ได้ยังไง

    ผู้ฟัง จะรู้ได้เมื่อสติระลึก

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็จะต้องรู้ว่าปัญญาของเราสามารถระดับไหน ขณะนี้ได้ยินคำว่า “ธรรม” ทุกอย่างเป็นธรรม แต่สิ่งที่กำลังปรากฏก็ไม่ได้เป็นธรรม นี่ก็แสดงว่าปัญญาของเรายังไม่ได้เข้าถึงความหมายของธรรมโดยขั้นเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมหรือโดยการประจักษ์แจ้ง เพราะฉะนั้นขณะนี้ได้ฟังว่าธรรมก็มี ๒อย่างกว้างๆ ประเภทใหญ่ๆ ก็คือนามธรรมกับรูปธรรม เราเข้าถึงความหมายของธรรมที่เป็นนามธรรมจริงๆ ไม่ใช่เพียงคำเท่านั้นหรือยัง เช่น เห็นขณะนี้ ยัง เพราะฉะนั้นเราจะไปรู้อสังขาริกสสังขาริกได้ไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็เป็นแต่เพียงการไตร่ตรองพิจารณาให้เข้าใจความต่างของสภาพที่เป็นธรรมต่างๆ เพื่อที่จะได้ละความเป็นเรา ไม่ว่าเราจะศึกษานาน มากน้อยกี่ชาติก็ตาม ไม่ว่าเราจะได้ยินได้ฟังได้อ่านพระธรรมด้วยตัวเอง ๒ ปิฎก ๓ ปิฎกก็ตาม ทั้งหมดเพื่อการเข้าใจถูกในความเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนของสภาพธรรม เพราะฉะนั้น ก็คงจะไม่หลงทางคือ ไปเพียงแต่เข้าใจเรื่องราว แต่ต้องรู้ความจริงว่าเรื่องราวทั้งหมดอุปการะเกื้อกูลให้ไตร่ตรองให้เข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ จนกว่าจะละการยึดถือว่าเป็นตัวตน


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 175


    หมายเลข 9999
    3 ก.ย. 2567