จิตตสังเขป บทที่ ๔ วิถีจิต, ทวาร, วัตถุ

เมื่อเห็นแล้วเกิดโลภะยินดีพอใจในรูปารมณ์ที่กําลังปรากฏ ดูเหมือนไม่เป็นโทษ เพราะดูเป็นแต่เพียงความพอใจธรรมดาๆ แต่ให้รู้ว่า แม้โลภะธรรมดาๆ ขณะนั้นก็เป็นธรรมที่เป็นโทษ ให้ผลเป็นทุกข์ โดยค่อยๆ สะสมทุกข์ขึ้นทีละเล็กละน้อย ไม่ใช่ว่าทุกข์จะปรากฏทันทีที่มีโลภะความพอใจเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อใดโลภะความพอใจมีกําลังมาก ถึงขั้นเป็นนิวรณธรรมกลุ้มรุมจิต ขณะนั้นลักษณะอาการของสภาพธรรมที่หนัก เพราะเป็นอกุศลกระสับกระส่ายไม่สงบก็ปรากฏ

ฉะนั้น จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ตื่นจนถึงหลับนั้น ชวนวิถีสั่งสมสันดานที่เป็นกุศลมากหรือเป็นอกุศลมาก แล้วจะทําอย่างไรดี ทุกท่านกําลังกินยาพิษ ถ้ารู้ก็ควรแสวงหายาที่จะแก้ยาพิษ ถ้าไม่รู้ก็ยังคงกินยาพิษสะสมยาพิษ ซึ่งย่อมให้ผลเป็นโทษภัยทีละเล็กทีละน้อยเรื่อยๆ ยาที่จะแก้พิษนั้นมีขนานเดียวเท่านั้น คือ อบรมเจริญสติปัฏฐาน ขณะใดสติปัฏฐานไม่เกิด ไม่มีหนทางที่จะพ้นจากการสะสมของอกุศล เพราะกุศลอื่นๆ ก็เกิดน้อย เมื่ออบรมเจริญสติปัฏฐาน สติปัฏฐานก็เกิดแทนอกุศลได้ เพราะโวฏฐัพพนวิถีจิตเป็นอนันตรปัจจัย กระทําทางให้กุศลเกิดตามการสะสม กุศลจิตก็เกิดพร้อมด้วยสติที่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กําลังปรากฏได้

เพราะชวนวิถีจิตซึ่งเป็นกุศลและอกุศลเกิดดับสะสมมาเรื่อยๆ สืบต่อกัน จึงเป็นปัจจัยให้แต่ละบุคคลมีอัธยาศัยต่างๆ กัน แม้พระอรหันต์ทั้งหลายก็มีอัธยาศัยไม่เหมือนกัน การสะสมของจิตของแต่ละบุคคลละเอียดมาก ฉะนั้น พระอรหันต์ทั้งหลายจึงมีอัธยาศัยต่างๆ กัน เป็นเอตทัคคะ คือเป็นผู้เลิศในทางต่างๆ กัน เช่น ท่านพระสารีบุตรเป็นเอตทัคคะในทางปัญญา ท่านพระมหาโมคคัลลานะเป็นเอตทัคคะในทางอิทธิปาฏิหารย์ ท่านพระมหากัสสปะเป็นเอตทัคคะในการรักษาธุดงค์และสรรเสริญธุดงค์ ท่านพระอนุรุทธะเป็นเอตทัคคะในทางจักขุทิพย์ การสั่งสมของชวนวิถีจิตซึ่งต่างกันไปในกุศลจิตและอกุศลจิตฉันใด ในทางกิริยาจิตของพระอรหันต์ทั้งหลายก็ต่างกันไปฉันนั้น ขณะนี้ทุกคนคิดไม่เหมือนกันเลย พูดก็ไม่เหมือนกันเลย การกระทําทางกาย ทางวาจา ย่อมไม่เหมือนกันเลยตามการสะสม

การสะสมโลกิยกุศล อกุศล และมหากิริยา ด้วยสามารถแห่งชวนวิถีจิตนั้น สะสมไปทุกขณะ จนกระทั่งทําให้เกิดเป็นอุปนิสัยต่างๆ การกระทํากิริยาอาการทางกาย ทางวาจาต่างๆ บางท่านที่เห็นพระอรหันต์ก็ยังดูหมิ่น โดยสันนิษฐานตามอาการที่ปรากฏภายนอก เช่นวัสสการพราหมณ์มหาอํามาตย์ของแคว้นมคธ เห็นท่านพระมหากัจจานะลงจากภูเขาก็กล่าวว่า ท่านผู้นี้มีอาการเหมือนลิง การสั่งสมของชวนวิถีจิตของวัสสการพราหมณ์ทําให้สําคัญตน แม้ว่าพระผู้มีพระภาคตรัสให้วัสสการพราหมณ์ขอให้ท่านพระมหากัจจานะอดโทษให้ แต่มานะความสําคัญตนที่สะสมมาก็ทําให้วัสสการพราหมณ์ไม่สามารถจะกระทําเช่นนั้นได้ แม้พระผู้มีพระภาคจะทรงพยากรณ์ว่า เมื่อวัสสการพราหมณ์สิ้นชีวิตลงจะต้องเกิดเป็นลิงในป่าไผ่ วัสสการพราหมณ์ก็ให้คนไปปลูกกล้วยและอาหารของลิงไว้พร้อมที่จะไปเกิดเป็นลิงในป่าไผ่นั้น

ฉะนั้น จึงควรเห็นโทษของการสะสมอกุศล เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นพระอรหันต์แล้ว การสะสมของจิตแต่ละขณะโดยความสามารถของชวนวิถีซึ่งเกิดดับสืบต่อกันถึง ๗ ครั้งนั้น ก็ทําให้แต่ละบุคคลมีกาย มีวาจาต่างๆ กันเป็นวาสนา คําว่า “วาสนา” หมายถึง ความประพฤติทางกายวาจาที่สะสมมาจนชินที่ดีและไม่ดี “วาสนา” ที่ใช้กันในภาษาไทย หมายถึง ความเป็นใหญ่เป็นโตต่างๆ แต่ “วาสนา” ใน พระพุทธศาสนา หมายถึงการสั่งสมจนกระทั่งเป็นความประพฤติที่เคยชิน เป็นอาการที่ปรากฏทางกาย ทางวาจา ผู้ที่ละ “วาสนา” ส่วนที่ไม่ดีได้มีบุคคลเดียวเท่านั้น คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลายดับกิเลสได้หมดสิ้น ไม่มีเชื้อของกิเลสใดๆ เหลืออยู่เลย แต่กระนั้นก็ยังละวาสนาไม่ได้ เพราะสะสมเนิ่นนานมาในสังสารวัฏฏ์ด้วยสามารถแห่งชวนวิถี

วิถีจิตทางปัญจทวารมี ๗ วิถี

วิถีจิตที่ ๑ คือ อาวัชชนวิถี ได้แก่ ปัญจทวาราวัชชนจิต

วิถีจิตที่ ๒ คือ ทวิปัญจวิญญาณ ดวงหนึ่งดวงใด คือ จักขุวิญญาณ หรือโสตวิญญาณ หรือฆานวิญญาณ หรือ ชิวหาวิญญาณ หรือกายวิญญาณ

วิถีจิตที่ ๓ คือ สัมปฏิจฉันนจิต เกิดขึ้นรับอารมณ์ต่อจากทวิปัญจวิญญาณดวงหนึ่งดวงใดที่ดับไป

วิถีจิตที่ ๔ คือ สันตีรณจิต พิจารณาอารมณ์

วิถีจิตที่ ๕ คือ โวฏฐัพพนจิต ทํากิจกระทําทางให้กุศลจิต หรืออกุศลจิต หรือกิริยาจิต (เฉพาะพระอรหันต์) เกิดต่อ

วิถีจิตที่ ๖ คือ ชวนวิถีจิต โดยศัพท์ “ชวนะ” แปลว่า แล่นไป คือไปอย่างเร็วในอารมณ์ ด้วยกุศลจิต หรืออกุศลจิต หรือกิริยาจิต (เฉพาะพระอรหันต์)

วิถีจิตที่ ๗ คือ ตทาลัมพนวิถี หรือ ตทารัมมณวิถี ตทาลัมพนวิถีจิตเกิดขึ้นกระทํากิจรับรู้อารมณ์ต่อจากชวนวิถีจิต เมื่ออารมณ์นั้นยังไม่ดับไป เพราะรูปๆ หนึ่งมีอายุ ๑๗ ขณะจิต คือ

๑. ขณะที่รูปเกิดขึ้นกระทบทวารและกระทบอตีตภวังค์ เป็นขณะจิตที่ ๑

๒. ภวังคจลนะ เป็นขณะจิตที่ ๒

๓. ภวังคุปัจเฉทะ เป็นขณะจิตที่ ๓

๔. ปัญจทวาราวัชชนะ เป็นขณะจิตที่ ๔

๕. (ทวิ) ปัญจวิญญาณ เป็นขณะจิตที่ ๕

๖. สัมปฏิจฉันนะ เป็นขณะจิตที่ ๖

๗. สันตีรณะ เป็นขณะจิตที่ ๗

๘. โวฏฐัพพนะ เป็นขณะจิตที่ ๘

๙. ชวนะที่ ๑ เป็นขณะจิตที่ ๙

๑๐. ชวนะที่ ๒ เป็นขณะจิตที่ ๑๐

๑๑. ชวนะที่ ๓ เป็นขณะจิตที่ ๑๑

๑๒. ชวนะที่ ๔ เป็นขณะจิตที่ ๑๒

๑๓. ชวนะที่ ๕ เป็นขณะจิตที่ ๑๓

๑๔. ชวนะที่ ๖ เป็นขณะจิตที่ ๑๔

๑๕. ชวนะที่ ๗ เป็นขณะจิตที่ ๑๕

รวมชวนะที่ ๑ ถึงชวนะที่ ๗ เป็นชวนจิต ๗ ขณะ

รวมเป็นอายุของรูปที่เกิดตั้งแต่อตีตภวังคจิตถึงชวนจิตดวงสุดท้ายเป็น ๑๕ ขณะรูปจึงยังไม่ดับ อายุของรูปยังเหลืออีก ๒ ขณะจิต วิสัยของผู้ที่เป็นกามบุคคลนั้น เมื่อชวนจิตแล่นไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะแล้ว แต่รูปนั้นยังไม่ดับ การสะสมของกรรมในอดีตที่ข้องอยู่ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ย่อมเป็นปัจจัยให้วิบากจิตเกิดขึ้นเป็นตทาลัมพนวิถีจิต รับรู้อารมณ์นั้นต่ออีก ๒ ขณะ ตทาลัมพนวิถีจิตที่กระทํากิจรู้อารมณ์ต่อจากชวนะวิถีนั้น เป็นวิถีจิตสุดท้ายที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางทวารหนึ่งๆ และต่อจากวิถีจิตสุดท้ายทางทวารหนึ่งๆ แล้วภวังคจิตก็เกิดดับสืบต่อไปจนกว่าวิถีจิตวาระต่อไปจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางทวารใดทวารหนึ่ง ขณะใดที่เป็นภวังคจิต โลกนี้ไม่ปรากฏ ความทรงจําทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องราวของบุคคลต่างๆ เหตุการณ์ต่างๆ ในโลกนี้ไม่ปรากฏเลย ขณะที่นอนหลับสนิทเป็นภวังคจิตโดยตลอดนั้น ไม่มีความรู้ความจําใดๆ เรื่องโลกนี้เลย และเมื่อจุติจิตเกิดกระทํากิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ ปฏิสนธิจิตก็เกิดต่อ และวิถีจิตที่จะเกิดต่อไปก็เป็นเรื่องของโลกอื่นต่อไป แต่เมื่อจุติจิตยังไม่เกิด แม้ว่าภวังคจิตจะไม่รู้เรื่องราวต่างๆ ของโลกนี้เลย แต่เมื่อใดวิถีจิตเกิดขึ้นก็ยับยั้งไม่ได้ที่จะรู้อารมณ์ของโลกนี้ คือ สี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และเรื่องราวต่างๆ ของโลกนี้ต่อไปอีก

ลําดับการเกิดของวิถีจิตทางปัญจทวารมี ๗ วิถี ดังนี้

อตีตภวังค์ ๑ ขณะ (ไม่ใช่วิถีจิต)

ภวังคจลนะ ๑ ขณะ (ไม่ใช่วิถีจิต)

ภวังคุปัจเฉทะ ๑ ขณะ (ไม่ใช่วิถีจิต)

ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ ขณะ (เป็นวิถีจิต)

(ทวิ) ปัญจวิญญาณ ๑ ขณะ (เป็นวิถีจิต)

สัมปฏิจฉันนจิต ๑ ขณะ (เป็นวิถีจิต)

สันตีรณจิต ๑ ขณะ (เป็นวิถีจิต)

โวฏฐัพพนจิต ๑ ขณะ (เป็นวิถีจิต)

กุศลหรืออกุศลหรือกิริยา ๑ ขณะ

กุศลหรืออกุศลหรือกิริยา ๑ ขณะ

กุศลหรืออกุศลหรือกิริยา ๑ ขณะ

กุศลหรืออกุศลหรือกิริยา ๑ ขณะ

กุศลหรืออกุศลหรือกิริยา ๑ ขณะ

กุศลหรืออกุศลหรือกิริยา ๑ ขณะ

กุศลหรืออกุศลหรือกิริยา ๑ ขณะ

(รวมเป็นชวนวิถี ๗ ขณะ)

ตทาลัมพนจิต ๑ ขณะ

ตทาลัมพนจิต ๑ ขณะ

(รวมเป็นตทาลัมพนวิถีจิต ๒ ขณะ)

อายุของสภาวรูป ๑ รูปเท่ากับการเกิดดับของจิต ๑๗ ขณะ

เมื่อวิถีจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางปัญจทวาร ซึ่งเป็นปสาทรูป ทวารหนึ่งทวารใดดับไปแล้ว ภวังคจิตก็เกิดดับสืบต่อคั่นแล้ว ต่อจากนั้น มโนทวารวิถีจิต คือจิตที่อาศัยใจ (ภวังคุปัจเฉทจิต) เป็นทวารรู้อารมณ์ก็เกิดขึ้น รู้อารมณ์เดียวกับวิถีจิตทางปัญจทวารที่เพิ่งดับไปแล้วนั้น ในวาระหนึ่งๆ วิถีจิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางมโนทวารนั้นไม่มากเท่ากับวิถีจิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางปัญจทวาร และทางมโนทวารนั้นเมื่ออารมณ์ไม่ได้กระทบกับจักขุปสาท เป็นต้น จึงไม่มีอตีตภวังค์ แต่ก่อนที่มโนทวาราวัชชนจิตจะรําพึงถึงอารมณ์ที่วิถีจิตรู้ทางปัญจทวารแล้วดับไปนั้น ภวังคจลนะจะต้องเกิดขึ้นไหวตามอารมณ์นั้นแล้วดับไป แล้วภวังคุปัจเฉทะจึงเกิดขึ้นแล้วดับไป ต่อจากนั้นมโนทวาราวัชชนจิตจึงเกิดขึ้น เป็นมโนทวารวิถีจิตที่ ๑ จิตที่ทําอาวัชชนกิจทางมโนทวารนั้นไม่ใช่ปัญจทวาราวัชชนจิต ปัญจทวาราวัชชนจิตทําอาวัชชนกิจได้ทางปัญจทวารเท่านั้น ทําอาวัชชนกิจทางมโนทวารไม่ได้เลย จิตที่ทําอาวัชชนกิจทางมโนทวารมี ๑ ดวง คือ มโนทวาราวัชชนจิต ทํากิจรําพึงถึงอารมณ์ทางมโนทวาร คือ นึกถึงอารมณ์ทางมโนทวาร ในวันหนึ่งๆ ที่คิดนึกเรื่องต่างๆ นั้น ขณะที่คิดนั้น จิตไม่รู้อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งทางตา หู จมูก ลิ้น กายเลย เมื่อภวังคจลนะเกิดขึ้นแล้วดับไป ภวังคุปัจเฉทะก็เกิดต่อแล้วดับไป แล้วมโนทวาราวัชชนจิตก็เกิดขึ้นเป็นมโนทวารวิถีจิตที่ ๑ เมื่อมโนทวาราวัชชนจิตดับไปแล้ว สําหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ กุศลจิต หรืออกุศลจิต ซึ่งเป็นชวนวิถีจิตก็เกิดดับสืบต่อกันโดยเป็นจิตประเภทเดียวกันทั้ง ๗ ขณะ เมื่อกุศลชวนวิถีจิตหรืออกุศลชวนวิถีจิตดับไปแล้ว ถ้าเป็นอารมณ์ทางใจที่ปรากฏชัดเจน ตทาลัมพนวิถีจิตก็เกิดต่ออีก ๒ ขณะ ฉะนั้นวิถีจิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางมโนทวาร จึงมีเพียง ๓ วิถีเท่านั้น คือ

วิถีที่ ๑ เป็นอาวัชชนวิถี ๑ ขณะ

วิถีที่ ๒ เป็นชวนวิถี ๗ ขณะ

วิถีที่ ๓ เป็นตทาลัมพนวิถี ๒ ขณะ

ลําดับการเกิดขึ้นของวิถีจิตทางมโนทวารมี ๓ วิถี ดังนี้

ภวังคจลนะ ๑ ขณะ (ไม่ใช่วิถีจิต)

ภวังคุปัจเฉทะ ๑ ขณะ (ไม่ใช่วิถีจิต)

มโนทวาราวัชชนจิต ๑ ขณะ (เป็นอาวัชชนวิถีจิต)

กุศลหรืออกุศลหรือกิริยาจิต ๑ ขณะ

กุศลหรืออกุศลหรือกิริยาจิต ๑ ขณะ

กุศลหรืออกุศลหรือกิริยาจิต ๑ ขณะ

กุศลหรืออกุศลหรือกิริยาจิต ๑ ขณะ

กุศลหรืออกุศลหรือกิริยาจิต ๑ ขณะ

กุศลหรืออกุศลหรือกิริยาจิต ๑ ขณะ

กุศลหรืออกุศลหรือกิริยาจิต ๑ ขณะ

(รวมเป็น ชวนวิถีจิต ๗ ขณะ)

ตทาลัมพนจิต ๑ ขณะ

ตทาลัมพนจิต ๑ ขณะ

(รวมเป็น ตทาลัมพนวิถีจิต ๒ ขณะ)

ขณะเห็นสิ่งที่กําลังปรากฏทางตา วิถีจิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่ยังไม่ดับทางจักขุทวารนั้นเป็นจักขุทวารวิถีทั้งหมดทั้ง ๗ วิถี เพราะต้องอาศัยจักขุทวาร จึงเกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่กําลังปรากฏทางตาซึ่งยังไม่ดับ

ขณะที่กําลังได้ยินเสียง วิถีจิตที่เกิดขึ้นรู้เสียงที่ยังไม่ดับทางโสตทวารทั้ง ๗ วิถีนั้น ก็เป็นโสตทวารวิถี ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย โดยนัยเดียวกัน

การรู้อารมณ์ทางปัญจทวารแต่ละทวาร และแต่ละวาระนั้นมีวิถีจิตเกิดมากน้อยต่างกันเป็น ๔ วาระ คือ โมฆวาระ โวฏฐัพพนวาระ ชวนวาระ ตทาลัมพนวาระ

วาระ คือ วิถีจิตซึ่งเกิดดับสืบต่อกันโดยรู้อารมณ์เดียวกัน และทางทวารเดียวกัน ซึ่งบางวาระวิถีจิตเกิดทั้ง ๗ วิถี บางวาระวิถีจิตเกิด ๖ วิถี บางวาระวิถีจิตเกิด ๕ วิถี บางวาระวิถีจิตไม่เกิดเลย มีแต่อตีตภวังค์และภวังคจลนะเท่านั้น คือ เมื่อรูปกระทบปสาทและกระทบอตีตภวังค์นั้น อตีตภวังค์ดับไปแล้วภวังคจลนะก็ยังไม่เกิด จึงเป็นอตีตภวังค์เกิดดับอีกหลายขณะ แล้วภวังคจลนะจึงเกิดไหวขึ้นแล้วดับไปๆ หลายขณะ เมื่ออารมณ์ คือรูปที่กระทบปสาทนั้นใกล้จะดับ จึงไม่เป็นปัจจัยให้วิถีจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้น เมื่อวิถีจิตไม่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่กระทบปสาท จึงเป็นโมฆวาระ เช่น ขณะนอนหลับสนิทถูกปลุกเขย่า แล้วก็ยังไม่ตื่น เขย่าแรงๆ ก็ยังไม่ตื่นอีก ขณะนั้นเป็นโมฆวาระเพราะอาวัชชนจิตไม่เกิด มีแต่อตีตภวังค์และภวังคจลนะ เมื่อวิถีจิตไม่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่กระทบจึงเป็น “โมฆวาระ” และอารมณ์นั้นก็เป็นอติปริตตารมณ์ คือ เป็นอารมณ์ที่เล็กน้อยที่สุด เพราะเพียง กระทบปสาทรูปและภวังค์ แต่ไม่ทําให้วิถีจิตเกิดได้เลย

บางวาระเมื่ออตีตภวังค์เกิดและดับไปแล้วหลายขณะ ภวังคจลนะก็เกิดและดับไปหลายขณะ ภวังคุปัจเฉทะก็เกิดแล้วดับไป ปัญจทวาราวัชชนจิตเกิดแล้วดับไป ปัญจวิญญาณดวงใดดวงหนึ่งเกิดแล้วดับไป สัมปฏิจฉันนจิตเกิดแล้วดับไป สันตีรณจิตเกิดแล้วดับไป โวฏฐัพพนจิตเกิดแล้วดับไป ๒-๓ ขณะ รูปก็ดับไป ชวนจิตจึงเกิดไม่ได้ วาระนั้นจึงเป็น “โวฏฐัพพนวาระ” เพราะวิถีจิตสิ้นสุดลงที่โวฏฐัพพนจิต สภาพธรรมทั้งปวงตามความเป็นจริงเป็นอย่างนี้ ฉะนั้น เมื่ออารมณ์กระทบปสาทแต่ละวาระนั้น ไม่ใช่ว่าวิถีจิตจะต้องเกิดดับสืบต่อไปตลอดทั้ง ๗ วิถี เมื่อวิถีจิตไม่เกิดเลยก็เป็นโมฆวาระ เมื่อวิถีจิตสิ้นสุดที่โวฏฐัพพนะ ก็เป็นโวฏฐัพพนวาระ อารมณ์ของโวฏฐัพพนวาระเป็นปริตตารมณ์ คือ เป็นอารมณ์ของวิถีจิตเพียงเล็กน้อย โดยเป็นอารมณ์ของวิถีจิตเพียง ๕ วิถีจิตเท่านั้น

ส่วนวาระใดที่เมื่อโวฏฐัพพนจิตดับไปแล้ว ชวนจิตเกิดดับสืบต่อ กัน ๗ ขณะแล้วอารมณ์ก็ดับ ตทาลัมพนวิถีจิตเกิดไม่ได้ การรู้อารมณ์ของวิถีจิตวาระนั้นเป็น “ชวนวาระ” เพราะมีวิถีจิตเพียง ๖ วิถี คือ ถึงชวนวิถีเท่านั้นแล้วรูปก็ดับไป เมื่อวิถีจิตสิ้นสุดลงที่ชวนวิถี การรู้อารมณ์วาระนั้นจึงเป็นชวนวาระ อารมณ์ของชวนวาระเป็นมหันตารมณ์ คือ เป็นอารมณ์ที่ชัดเจน ทําให้กุศลจิต หรืออกุศลจิต หรือมหากิริยาจิต (ของพระอรหันต์) เกิดได้

ส่วนวาระใดที่ชวนจิตเกิดดับ ๗ ครั้ง แล้วอารมณ์ยังไม่ดับ จึงเป็นปัจจัยให้ตทาลัมพนวิถีจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่ยังไม่ดับนั้นอีก ๒ ขณะ การรู้อารมณ์ของวิถีจิตวาระนั้นจึงเป็น “ตทารัมมณวาระหรือ ตทาลัมพนวาระ” เพราะวิถีจิตสิ้นสุดลงที่ตทาลัมพนจิต อารมณ์ของตทาลัมพนวาระเป็นอติมหันตารมณ์ คือ เป็นอารมณ์ที่ชัดเจนมาก เพราะแม้ชวนวิถีจิต ๗ ขณะดับไปแล้ว อารมณ์ก็ยังไม่ดับ จึงเป็นปัจจัยให้ตทาลัมพนวิถีจิตเกิดได้

การรู้อารมณ์ทางมโนทวารวิถีมีเพียง ๒ วาระเท่านั้น คือ ชวนวาระ และตทาลัมพนวาระ

อารมณ์ของชวนวาระทางมโนทวาร เป็น อวิภูตารมณ์ เพราะเป็นอารมณ์ที่ชัดเจนน้อยกว่าตทาลัมพนวาระ

อารมณ์ของตทาลัมพนวาระทางมโนทวารเป็น วิภูตารมณ์ เพราะเป็นอารมณ์ที่ชัดกว่าชวนวาระ

ทวาร ๖

ทวาร คือ ประตู หรือทางที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์อื่นที่ไม่ใช่อารมณ์ของภวังคจิต ฉะนั้น ทวารจึงเป็นทางรู้อารมณ์ของวิถีจิต ทวารมี ๖ เป็นรูป ๕ ทวาร และเป็นนาม ๑ ทวาร คือ

จักขุทวาร ได้แก่ จักขุปสาทรูป ๑

โสตทวาร ได้แก่ โสตปสาทรูป ๑

ฆานทวาร ได้แก่ ฆานปสาทรูป ๑

ชิวหาทวาร ได้แก่ ชิวหาปสาทรูป ๑

กายทวาร ได้แก่ กายปสาทรูป ๑

มโนทวาร ได้แก่ ภวังค์คุปัจเฉทจิต (ที่เกิดก่อนมโนทวาราวัชชนจิต) ๑

วัตถุ ๖

รูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิตในภูมิที่มีขันธ์ ๕ นั้น มี ๖ รูป เรียกว่า วัตถุรูป ๖ คือ

จักขุปสาทรูป ๑ เป็นจักขุวัตถุ เป็นที่เกิดของจักขุวิญญาณ ๒ ดวง

โสตปสาทรูป ๑ เป็นโสตวัตถุ เป็นที่เกิดของโสตวิญญาณ ๒ ดวง

ฆานปสาทรูป ๑ เป็นฆานวัตถุ เป็นที่เกิดของฆานวิญญาณ ๒ ดวง

ชิวหาปสาทรูป ๑ เป็นชิวหาวัตถุ เป็นที่เกิดของชิวหาวิญญาณ ๒ ดวง

กายปสาทรูป ๑ เป็นกายวัตถุ เป็นที่เกิดของกายวิญญาณ ๒ ดวง

หทยรูป ๑ เป็นหทยวัตถุ เป็นที่เกิดของจิตอื่นทั้งหมดในภูมิที่มีขันธ์ ๕ เว้นเฉพาะทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวงเท่านั้น

ฉะนั้น ปสาทรูป ๕ จึงเป็นทั้งทวาร ๕ และวัตถุ ๕ ดังนี้ คือ

จักขุปสาทรูป เป็นจักขุทวารของ จักขุทวาราวัชชนจิต จักขุวิญญาณ สัมปฏิจฉันนจิต สันตีรณจิต โวฏฐัพพนจิต ชวนจิต ตทาลัมพนจิต ซึ่งรู้รูปารมณ์ที่กระทบจักขุปสาทรูปนั้น และรูปารมณ์นั้นยังไม่ดับไป แต่จักขุปสาทรูปนั้นเป็นจักขุวัตถุ คือเป็นที่เกิดของจักขุวิญญาณ ๒ ดวงเท่านั้น ส่วนวิถีจิตอื่นๆ ในวาระเดียวกันนั้น คือ จักขุทวาราวัชชนจิต สัมปฏิจฉันนจิต สันตีรณจิต โวฏฐัพพนจิต ชวนจิต ตทาลัมพนจิต เกิดที่หทยวัตถุ

โสตปสาทรูป ฆานปสาทรูป ชิวหาปสาทรูป กายปสาทรูป ก็โดยนัยเดียวกัน

ส่วนหทยรูปนั้นเป็นวัตถุ คือ เป็นที่เกิดของจิต แต่ไม่เป็นทวารเลย

คําถามทบทวน

๑. เพราะเหตุใดวิถีจิตทางมโนทวารจึงน้อยกว่าวิถีจิตทางปัญจทวาร

๒. โลภมูลจิตเกิดได้กี่ทวาร

๓. ปัญจทวาราวัชชนจิต และมโนทวาราวัชชนจิตเกิดได้กี่ทวาร

๔. โมฆวาระ โวฏฐัพพนวาระ ชวนวาระ ตทาลัมพนวาระ คืออะไร

๕. อวิภูตารมณ์และวิภูตารมณ์ คืออะไร

๖. ปฏิสนธิจิตในภูมิที่มีขันธ์ ๕ เกิดที่รูปอะไร

๗. อกุศลจิตในภูมิที่มีขันธ์ ๕ เกิดที่รูปอะไร

๘. กิริยาจิตในภูมิที่มีขันธ์ ๕ เกิดที่รูปอะไร

๙. โสตทวารวิถีจิต เกิดที่รูปอะไรบ้าง

๑๐. เจตสิกในภูมิที่มีขันธ์ ๕ เกิดที่รูปอะไรบ้าง

เปิด  1,352
ปรับปรุง  25 ก.ค. 2565
สารบัญ