แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 188
พระผู้มีพระภาคประทับนั่งบนอาสนะที่ท่านพระอานนท์ปูถวายแล้ว จึงตรัสกับท่านพระอานนท์ว่า
ดูกร อานนท์ เรื่องเคยมีมาแล้วในประเทศนี้ มีนิคมชื่อเวภฬิคะ เป็นนิคมมั่งคั่งและเจริญ มีคนมาก มีมนุษย์หนาแน่น ดูกร อานนท์ พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงอาศัยเวภฬิคนิคมอยู่ ได้ยินว่า ที่นี่เป็นพระอารามของพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับนั่งตรัสสอนภิกษุสงฆ์ที่นี่ และในเวภฬิคนิคม มีช่างหม้อชื่อฆฏิการะ เป็นอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอุปัฏฐากผู้เลิศ มีมานพชื่อโชติปาละเป็นสหายของช่างหม้อ ชื่อฆฏิการะ เป็นสหายที่รัก
ครั้งนั้น ฆฏิการะช่างหม้อ เรียกโชติปาลมานพมาว่า มาเถิดเพื่อนโชติปาละ เราจักเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าการที่เราได้เห็นพระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น สมมติกันว่าเป็นความดี
เป็นเพื่อนที่ดี ชักชวนสหายให้ไปเฝ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และในครั้งนั้น โชติปาลมานพก็คือพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดมนี้เอง
ในครั้งนั้น พระองค์มีสหายชื่อฆฏิการะ เป็นช่างหม้อ ซึ่งเป็นกัลยาณมิตร เป็นสหายที่ดี ชักชวนให้ไปหาพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ซึ่งในครั้งนั้น โชติปาลมานพผู้เป็นพระผู้มีพระภาคในครั้งนี้จะมีความคิด จะมีความเห็นอย่างไร
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร อานนท์ เมื่อฆฏิการะช่างหม้อกล่าวอย่างนี้แล้ว โชติปาลมานพได้กล่าวว่า อย่าเลยเพื่อนฆฏิการะ จะมีประโยชน์อะไรด้วยพระสมณะศีรษะโล้นนั้นที่เราเห็นแล้วแล่า
ดูกร อานนท์ แม้ครั้งที่ ๒ ฆฏิการะช่างหม้อ ก็ได้กล่าวกะโชติปาลมานพว่ามาเถิดเพื่อนโชติปาละ เราจักเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าการที่เราได้เห็นพระผู้มีพระภาคผู้เป็น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น สมมติกันว่าเป็นความดี
แม้ครั้งที่ ๒ แม้ครั้งที่ ๓ โชติปาลมานพ ก็กล่าวว่า อย่าเลยเพื่อนฆฏิการะ จะมีประโยชน์อะไรด้วยพระสมณะศีรษะโล้นนั้นที่เราเห็นแล้วเล่า
ฆฏิการะมานพก็ไม่ท้อถอย กล่าวกับโชติปาลมานพว่า
เพื่อนโชติปาละ ถ้าอย่างนั้น เรามาถือเอาเครื่องสำหรับสีตัวเมื่อเวลาอาบน้ำ ไปแม่น้ำเพื่ออาบน้ำกันเถิด
โชติปาลมานพรับคำฆฏิการะช่างหม้อแล้ว ซึ่งพระผู้มีพระภาคได้ตรัสเล่าแก่ท่านพระอานนท์ต่อไป มีข้อความว่า
ดูกรอานนท์ ลำดับนั้น ฆฏิการะช่างหม้อและโชติปาลมานพได้ถือเอาเครื่องสำหรับสีตัวเมื่อเวลาอาบน้ำ ไปยังแม่น้ำเพื่ออาบน้ำ ครั้งนั้นแล ฆฏิการะช่างหม้อ ได้เรียกโชติปาลมานพมากล่าวว่า เพื่อนโชติปาละ นี่ก็ไม่ไกลพระอารามของพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มาเถิดเพื่อน โชติปาละ เราจักเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าการที่เราได้เห็นพระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น สมมติกันว่าเป็นความดี
ถึงแม้ว่าฆฏิการะช่างหม้อจะกล่าวอย่างนี้ถึง ๓ ครั้ง โชติปาลมานพก็ได้กล่าวกะฆฏิการะช่างหม้อว่า อย่าเลยเพื่อนฆฏิการะ จะมีประโยชน์อะไรด้วยพระสมณะศีรษะโล้นที่เราเห็นแล้วเล่า
ชวนยากไหม ชักชวนที่จะไปเฝ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ชวนยากเหลือเกิน แม้บุคคลนั้นจะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดม แต่ว่าในครั้งโน้น ยังไม่พร้อมที่จะไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระกัสสปะ พระผู้มีพระภาค ตรัสเล่าให้ท่านพระอานนท์ฟังต่อไปว่า
ดูกร อานนท์ ลำดับนั้น ฆฏิการะช่างหม้อได้จับโชติปาลมานพที่ชายพก แล้ว กล่าวว่า เพื่อนโชติปาละ นี้ก็ไม่ไกลอารามของพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มาเถิดเพื่อนโชติปาละ เราจักเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าการที่เราได้เห็นพระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น สมมติกันว่าเป็นความดี
ลำดับนั้น โชติปาลมานพ ให้ฆฏิการะช่างหม้อปล่อยชายพก แล้วกล่าวว่า อย่าเลยเพื่อนฆฏิการะ จะมีประโยชน์อะไรด้วยพระสมณะศีรษะโล้นที่เราเห็นแล้วเล่า
ยังไม่ยอมไปอีก เพราะฉะนั้น ก็ควรจะเป็นเหตุการณ์ที่เมื่อพระองค์ได้เสด็จจาริกมาถึงโกศลชนบทนั้น จึงได้ทรงแย้มพระสรวลเมื่อนึกถึงเมื่อครั้งที่พระองค์เองเป็นโชติปาลมานพ พระผู้มีพระภาคตรัสเล่าให้ท่านพระอานนท์ฟังต่อไปว่า
ดูกร อานนท์ ลำดับนั้น ฆฏิการะช่างหม้อจับโชติปาละผู้อาบน้ำดำเกล้าที่ผม แล้วกล่าวว่า เพื่อนโชติปาละ นี้ไม่ไกลพระอารามของพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มาเถิดเพื่อนโชติปาละ เราจักเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าการที่เราได้เห็นพระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น สมมติกันว่าเป็นความดี
ครั้งนั้น โชติปาลมานพมีความคิดว่า น่าอัศจรรย์หนอท่าน ไม่เคยมีมาหนอท่าน ที่ฆฏิการะช่างหม้อผู้มีชาติต่ำ มาจับที่ผมของเราผู้อาบน้ำดำเกล้า แล้วการที่เราจะไปนี้ เห็นจะไม่เป็นการไปเล็กน้อยหนอ ดังนี้แล้วได้กล่าวกะฆฏิการะช่างหม้อว่า
เพื่อนฆฏิการะ การที่เพื่อนทำความพยายามตั้งแต่ชักชวนด้วยวาจา จับที่ชายพก จนล่วงเลยถึงจับถึงผมนั้น ก็เพื่อจะชวนกันให้ไปในสำนักพระผู้มีพระภาคพระนามว่า กัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เท่านั้นเองหรือ ฆฏิการะช่างหม้อก็ได้กล่าวตอบว่า เท่านั้นเองเพื่อนโชติปาละ จริงเช่นนั้นเพื่อน ก็การที่เราได้เห็นพระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นความดี ซึ่งโชติปาลมานพก็กล่าวว่า เพื่อนฆฏิการะ ถ้าอย่างนั้นจงปล่อยเถิด เราจักไป
พระผู้มีพระภาคตรัสเล่าให้ท่านพระอานนท์ฟัง มีข้อความต่อไปว่า
ดูกร อานนท์ ครั้งนั้น ฆฏิการะช่างหม้อ และโชติปาลมานพได้เข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงที่ประทับ แล้วฆฏิการะช่างหม้อถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ส่วนโชติปาลมานพ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นผ่านการปราศัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ฆฏิการะช่างหม้อนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี่โชติปาลมานพ เป็นสหายที่รักของข้าพระพุทธเจ้า ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมแก่โชติปาลมานพนี้เถิด
พระผู้มีพระภาคตรัสเล่าให้ท่านพระอานนท์ฟังต่อไป มีข้อความว่า
ดูกร อานนท์ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงยังฆฏิการะช่างหม้อและโชติปาลมานพให้เห็นชัด ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธัมมีกถา
ลำดับนั้น ฆฏิการะช่างหม้อและโชติปาลมานพอันพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เห็นชัด ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมีกถา เพลิดเพลินชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วลุกจากอาสนะ ถวายอภิวาทพระ ผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำประทักษิณ แล้วหลีกไป
ได้ฟังธรรม ได้แสดงความเคารพอย่างสูงด้วยการทำประทักษิณ และหลีกไป
พระผู้มีพระภาคตรัสเล่าให้ท่านพระอานนท์ฟัง มีข้อความต่อไปว่า
ดูกร อานนท์ ครั้งนั้น โชติปาลมานพได้ถามฆฏิการะช่างหม้อว่า เพื่อน ฆฏิการะ เมื่อท่านฟังธรรมนี้อยู่ และเมื่อเช่นนั้น ท่านจะออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตหรือหนอ ฆฏิการะช่างหม้อตอบว่า เพื่อนโชติปาละ ท่านก็รู้อยู่ว่า เราต้องเลี้ยงดูมารดาบิดาซึ่งเป็นคนตาบอดผู้ชราแล้ว มิใช่หรือ โชติปาลมานพกล่าวตอบว่า เพื่อนฆฏิการะ ถ้าเช่นนั้น เราจักออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต
กว่าจะไปได้ แต่พอไปถึงแล้ว พระธรรมเทศนามีคุณมีประโยชน์ที่ทำให้ โชติปาลมานพออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต แต่ไม่ได้บรรลุมรรคผล เพราะจะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดมพระองค์นี้ ส่วนฆฏิการะช่างหม้อบวชไม่ได้ เพราะเหตุว่าต้องเลี้ยงดูมารดาบิดาที่เป็นคนตาบอด แต่ท่านบรรลุคุณธรรมเป็นพระอนาคามี นี่คือชีวิตที่ต่างกันของสหายที่รักสองท่าน ในครั้งพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้มีพระภาคตรัสเล่าให้ท่านพระอานนท์ฟังต่อไป มีข้อความว่า
ดูกร อานนท์ ครั้งนั้น ฆฏิการะช่างหม้อและโชติปาลมานพได้เข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฆฏิการะช่างหม้อได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี่โชติปาลมานพ เป็นสหายที่รักของข้าพระพุทธเจ้า ขอพระผู้มีพระภาคทรงให้ โชติปาลมานพนี้บวชเถิด ดังนี้ โชติปาลมานพได้บรรพชาอุปสมบถแล้วในสำนักของพระผู้พระมีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ครั้นเมื่อโชติปาลมานพอุปสมบทแล้วไม่นาน ประมาณกึ่งเดือน พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ที่ใน เวภฬิคนิคมตามควรแก่พระพุทธอัธยาศัยแล้ว เสด็จหลีกจาริกไปทางพระนครพาราณสี เสด็จจาริกไปโดยลำดับถึงพระนครพาราณสีแล้ว พระเจ้ากาสีในครั้งนั้น ทรงพระนามว่ากิกิ เมื่อได้ข่าวว่า พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะได้เสด็จจาริกไปถึง ก็ได้ไปเฝ้า และฟังธรรม กราบทูลนิมนต์ให้รับภัตตาหารที่พระราชนิเวศน์
เมื่อพระผู้พระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะ ได้เสด็จไปยังพระราชนิเวศน์ของพระเจ้ากิกิ เมื่อได้ฉันภัตรตาหารแล้ว พระเจ้ากิกิก็ได้กราบทูลขอให้พระองค์ทรงรับการจำพรรษาอยู่ที่เมืองของพระองค์ แต่พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า อย่าเลยมหาบพิตร อาตมาภาพรับการจำพรรษาเสียแล้ว แม้ครั้งที่ ๒ แม้ครั้งที่ ๓
ทำให้พระเจ้ากิกิทรงแปลกพระทัยมากว่า เพราะเหตุใดพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ากัสสปะไม่ทรงรับนิมนต์ จึงได้กราบทูลถามว่า มีใครอื่นที่เป็นอุปัฏฐากยิ่งกว่าพระองค์หรือ
ซึ่งจะเห็นได้ว่า ฆฏิการะช่างหม้อที่เป็นพระอนาคามีบุคคลนั้น ท่านทำนุบำรุงพระสงฆ์ และโภคทรัพย์ของท่านทั่วไปแก่ท่านผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม เหมือนอย่างเช่นอุคคคฤหบดีในอุคคสูตร เพราะฉะนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะทรงรับนิมนต์ที่จะจำพรรษาอยู่ที่นิคมชื่อเวภฬิคะ ซึ่งฆฏิการะ ช่างหม้ออยู่ที่นั่น จึงไม่ทรงรับนิมนต์ของพระเจ้ากิกิ
ต่อไปจะได้เห็นข้อความที่ว่า บุคคลที่เป็นพระอนาคามีบุคคล มีจิตเลื่อมใส การถวายทานของท่านนั้น ด้วยความปลาบปลื้ม ยินดีเพียงไร
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะได้ตรัสแก่ พระเจ้ากิกิ ถึงความศรัทธาและการเป็นผู้อุปัฏฐากยิ่งกว่าบุคคลอื่นของฆฏิการะช่างหม้อ มีข้อความว่า
ช่างหม้อชื่อฆฏิการะ อยู่ในนิคมนั้น คือ นิคมชื่อเวภฬิคะ เวลาเช้าอาตมภาพ นุ่งแล้ว ถือบาตร และจีวร เข้าไปหามารดาและบิดาของฆฏิการะช่างหม้อถึงที่อยู่ แล้วได้ถามว่า ดูเถิดนี้ คนหาอาหารไปไหนเสียเล่า มารดา บิดาของฆฏิการะช่างหม้อตอบว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุปัฏฐากของพระองค์ออกไปเสียแล้ว ขอพระองค์จงเอาข้าวสุกจากหม้อข้าวนี้ เอาแกงจากหม้อแกงนี้เสวยเถิด
ดูกร มหาบพิตร ครั้งนั้น อาตมาภาพได้เอาข้าวสุกจากหม้อข้าว เอาแกงจากหม้อแกง ฉันแล้ว ลุกจากอาสนะ หลีกไป
ลำดับนั้น ฆฏิการะช่างหม้อเข้าไปหามารดาบิดาถึงที่อยู่ แล้วได้ถามว่า ใครมาเอาข้าวสุกจากหม้อข้าว เอาแกงจากหม้อแกง บริโภคแล้ว ลุกจากอาสนะ หลีกไปมารดาบิดาบอกว่า ดูกร พ่อ พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเอาข้าวสุกจากหม้อข้าว เอาแกงจากหม้อแกง เสวยแล้ว เสด็จลุกจากอาสนะ หลีกไป
ครั้งนั้น ฆฏิการะช่างหม้อมีความคิดเห็นว่า เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ ที่พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงคุ้นเคยอย่างยิ่งเช่นนี้แก่เรา
ดูกร มหาบพิตร ครั้งนั้น ปีติและสุข ไม่ละฆฏิการะช่างหม้อตลอดกึ่งเดือน ไม่ละมารดาบิดาตลอด ๗ วัน
และในภายหลังก็เป็นเช่นนี้ คือ ฆฏิการะช่างหม้อไม่อยู่ พระผู้มีพระภาคก็เอาขนมสดจากกระเช้า เอาแกงจากหม้อแกงเสวย เมื่อฆฏิการะช่างหม้อกลับมาได้ทราบ ก็เกิดปีติตลอดกึ่งเดือน และมารดาบิดาก็ตลอด ๗ วัน
ซึ่งพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะได้ตรัสเล่าให้พระเจ้ากิกิฟังว่า
ครั้งนั้น อาตมาภาพอยู่ที่เวภฬิคนิคมนั้นเอง ก็สมัยนั้นกุฎีรั่ว อาตมาภาพจึงเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงพากันไปดูหญ้าที่นิเวศน์ของฆฏิการะช่างหม้อ เมื่ออาตมาภาพกล่าวอย่างนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นได้กล่าวกะอาตมาาตมาภาพว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หญ้าที่นิเวศน์ของฆฏิการะช่างหม้อไม่มี มีแต่หญ้าที่มุงหลังคาเรือนที่ฆฏิการะช่างหม้ออยู่เท่านั้น
อาตมาภาพได้สั่งภิกษุทั้งหลายว่าดูกร ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงพากันไปรื้อหญ้าที่มุงหลังคาเรือนที่ฆฏิการะช่างหม้ออยู่ มาเถิด
ดูกร มหาบพิตร ครั้งนั้นภิกษุเหล่านั้นได้ไปรื้อหญ้าที่มุงหลังคาเรือนที่ฆฏิการะ ช่างหม้ออยู่มาแล้ว ลำดับนั้น มารดาบิดาของฆฏิการะช่างหม้อได้กล่าวกะภิกษุเหล่านั้นว่า ใครมารื้อหญ้ามุงหลังคาเรือนเล่า ภิกษุเหล่านั้นตอบว่า ดูกร น้องหญิง กุฎีของพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ารั่ว มารดาบิดาของฆฏิการะช่างหม้อได้กล่าวว่า เอาไปเถิดเจ้าข้า เอาไปตามสะดวกเถิดท่านผู้เจริญ
ครั้งนั้น ฆฏิการะช่างหม้อเข้าไปหามารดาบิดาถึงที่อยู่ แล้วได้ถามว่า ใครมารื้อหญ้ามุงหลังคาเรือนเสียเล่า มารดาบิดาตอบว่า ดูกร พ่อ ภิกษุทั้งหลายบอกว่า กุฎีของพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ารั่ว
ดูกร มหาบพิตร ครั้งนั้น ฆฏิการะช่างหม้อมีความคิดเห็นว่า เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ ที่พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงคุ้นเคยอย่างยิ่งเช่นนี้แก่เรา
ดูกร มหาบพิตร ครั้งนั้น ปีติและ สุข ไม่ละฆฏิการะช่างหม้อตลอดกึ่งเดือน ไม่ละมารดาบิดาตลอด ๗ วัน และครั้งนั้นเรือนที่ฆฏิการะช่างหม้ออยู่ทั้งหลังนั้น มีอากาศเป็นหลังคาตลอดอยู่ ๓ เดือน ถึงฝนตกก็ไม่รั่ว
ดูกร มหาบพิตร ฆฏิการะช่างหม้อมีคุณเห็นปานนี้
ซึ่งเมื่อพระเจ้ากิกิได้ฟัง พระองค์ทรงเห็นว่า พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะนั้น ได้รับคำของฆฏิการะช่างหม้อที่จะจำพรรษาที่นั่นแล้ว ก็ได้ส่งอาหารต่างๆ ไปร่วมด้วย และได้เห็นจริงว่า ฆฏิการะช่างหม้อนั้นเป็นผู้ที่มีศรัทธาเลื่อมใสอย่างยิ่ง
นี่เป็นชีวิตที่ต่างกันระหว่างฆฏิการะช่างหม้อซึ่งไม่ได้ออกบวช กับโชติปาลมานพซึ่งได้ฟังธรรมและออกบวช ซึ่งไม่ได้บรรลุความเป็นพระอริยบุคคลในครังนั้น แต่ได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดม
เป็นชีวิตที่ต่างกันของการที่ได้ฟังธรรมจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ชีวิตของท่านที่ฟังธรรมในขณะนี้ ต่างคนต้องต่างกันไปแน่ ใครจะเป็นอย่างไร จะบรรลุคุณธรรมขั้นไหน ในสมัยไหน แม้ได้เฝ้าได้ฟังธรรมจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยกัน แต่ว่าชีวิตก็ยังต่างกัน ตามเหตุตามปัจจัยที่ได้สะสมมา