แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 242
ความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นปัจจัยให้ทำทุจริตกรรมอะไรบ้าง และผลย่อมเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย ท่านพระเทวทัตทำกรรมถึงอย่างนั้น อยู่ที่ไหน ไม่มีที่อยู่ได้ไหม ยังต้องวนเวียนไปในวัฏฏะ และกรรมที่ทำอย่างนั้นหรือจะทำให้เกิดในสุคติภูมิ ในสวรรค์ การทำสังฆเภท การทำพระโลหิตของพระผู้มีพระภาคให้ห้อ เป็นกรรมหนัก เป็นอนันตริยกรรม เวลานี้ท่านพระเทวทัตอยู่ในอเวจี มหานรกตามควรแก่กรรมนั้น
หลังจากที่ท่านผู้ฟังสิ้นชีวิตแล้ว ก็ไม่ทราบว่าจะไปสู่ที่ใด แต่ถ้าท่านเป็นผู้ที่ไม่ประมาท ท่านก็เจริญกุศล เจริญสติปัฏฐานเพื่อปัญญาจะได้รู้ชัดในสภาพธรรมตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น เรื่องภพ เรื่องภูมิต่างๆ ไม่ใช่ทรงแสดงไว้โดยเปล่าประโยชน์ แต่เพื่อเกื้อกูลแม้ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานก็จะได้ไม่ประมาท ท่านผู้ฟังอาจจะมีญาติมิตรสหาย ในหลายกัปหลายกัลป์นานมาแล้ว ที่จะต้องอยู่ในภูมินั้นบ้าง ภูมินี้บ้าง แต่ขอให้ทราบเรื่องของอบายภูมิเป็นลำดับขั้น และอบายภูมิที่หนักที่สุด คือ นรก
ในพระไตรปิฎกมีข้อความหลายตอนที่กล่าวว่า เมื่อพ้นจากการรับกรรมในนรกแล้ว ก็เกิดเป็นเปรต ที่ว่าเป็นเปรตยังน้อยกว่านรก เพราะเหตุว่ายังสามารถที่จะรับอุทิศส่วนกุศล เกิดกุศลจิตอนุโมทนาได้
มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ธนัญชานิสูตร มีข้อความที่ท่านพระสารีบุตรกล่าวกับธนัญชานิพราหมณ์ว่า เดรัจฉานดีกว่านรก เปตวิสัยดีกว่าเดรัจฉาน มนุษย์ดีกว่าเปตวิสัย เทพดีกว่ามนุษย์ ตามลำดับ
เดรัจฉานไม่ได้รับทุกข์ทรมานอย่างนรก เพราะว่าสัตว์บางตัวมีกุศลวิบากเป็นผลของกุศลกรรม ทำให้มีการกินดีอยู่ดี เป็นผลของกุศลกรรมที่ติดตามมาให้ผลหลังจากที่ปฏิสนธิด้วยอกุศลวิบากซึ่งเป็นผลของอกุศลกรรม แต่กรรมอื่นซึ่งเป็นกุศลยังตามอุปถัมภ์ได้ในภูมิของเดรัจฉาน
สำหรับเปตวิสัยที่ว่าดีกว่าเดรัจฉาน เพราะว่าสามารถที่จะเกิดกุศลจิต อนุโมทนาและพ้นจากการรับผลของอกุศลกรรมนั้นได้
สำหรับมนุษย์ แน่นอนว่าต้องดีกว่าเปตวิสัย และสำหรับเทพนั้น ก็เป็นผลของกุศลที่มีกำลังมากกว่าที่เกิดเป็นมนุษย์
ตัวอย่างในพระไตรปิฎก ที่แสดงทุจริตกรรมที่จะทำให้ปฏิสนธิในอบายภูมิ ในเรื่องของการผิดศีล ใน ขุททกนิกาย โกกาลิกสูตรที่ ๑๐ มีข้อความว่า
ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี
ครั้งนั้นแล โกกาลิกภิกษุเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคม แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเป็นผู้มีความ ปรารถนาลามก ตกอยู่ในอำนาจแห่งความปรารถนาลามก พระเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
โกกาลิกะ เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้ โกกาลิกะ เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้ เธอจงยังจิตให้เลื่อมใสในสารีบุตรและโมคคัลลานะเถิด สารีบุตรและโมคคัลลานะมีศีลเป็น ที่รัก
แม้ครั้งที่ ๒ โกกาลิกภิกษุ ก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคทรงชักนำข้าพระองค์ให้จงใจเชื่อ ให้เลื่อมใสก็จริง แต่พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเป็นผู้มีความปรารถนาลามก ตกอยู่ในอำนาจแห่งความปรารถนาลามก
แม้ครั้งที่ ๒ พระผู้มีพระภาคก็ได้ตรัสกับโกกาลิกภิกษุว่า
โกกาลิกะ เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้ โกกาลิกะ เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้เลย เธอจงยังจิตให้เลื่อมใสในสารีบุตรและโมคคัลลานะเถิด สารีบุตรและโมคคัลลานะมีศีลเป็นที่รัก
แม้ครั้งที่ ๓ ก็โดยนัยเดียวกัน
ผู้ที่ตรัสเป็นพระผู้มีพระภาค แต่ว่ากิเลสในใจของคน แม้ได้ฟังพระโอวาทจากพระโอษฐ์ที่จะให้เลื่อมใสในท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโมคคัลลานะ แต่เพราะกิเลสของตนทำให้ไม่เลื่อมใส เห็นความรุนแรงของกิเลสไหม ถ้ามีความเห็นผิด มีความเข้าใจผิด วาจาก็ผิด การกระทำก็ผิด ทุกอย่างผิดไปหมด แม้แต่พระอรหันต์ที่เป็นอัครสาวกอย่างท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโมคคัลลานะ แม้ภิกษุอื่น เช่น โกกาลิกภิกษุ ยังไม่เลื่อมใสและเห็นผิดว่า ท่านพระสารีบุตรและท่านพระโมคคัลลานะมีความปรารถนาลามก
นี่เป็นอันตรายมากเหลือเกินสำหรับความเห็น ถ้าความเห็นของท่านคลาดเคลื่อนผิดไป ทุกอย่างจะผิดหมด สิ่งที่ถูก ท่านก็เห็นเป็นผิด สิ่งที่ผิด ท่านก็เห็นเป็นถูก แม้พระผู้มีพระภาคจะตรัสโอวาทก็ไม่ฟัง ไม่พิจารณา แม้เป็นพระภิกษุ แต่ก็ไม่ฟังพระดำรัสของพระผู้มีพระภาค
ลำดับนั้นแล โกกาลิกภิกษุลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป เมื่อโกกาลิกภิกษุหลีกไปแล้วไม่นานนัก ได้มีต่อมประมาณเท่าเมล็ดพันธ์ผักกาดเกิดขึ้นทั่วกาย ครั้นแล้ว เป็นต่อมประมาณเท่าเมล็ดถั่วเขียว เท่าเมล็ดถั่วดำ เท่าเมล็ดพุทรา เท่าผลพุทรา เท่าผลมะขามป้อม เท่าผลมะตูมอ่อน เท่าผลขนุนอ่อน แตกหัวแล้ว หนองและเลือดไหลออก
ลำดับนั้น โกกาลิกภิกษุ มรณภาพเพราะอาพาธนั้นเอง ครั้นโกกาลิกภิกษุมรณภาพแล้ว ก็ย่อมอุบัติในปทุมนรก เพราะจิตคิดอาฆาตในท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโมคคัลลานะ
ครั้งนั้นแล ท้าวสหัมบดีพรหม เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้วมีรัศมีงามยิ่ง ทำพระเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โกกาลิกภิกษุมรณภาพแล้ว ครั้นแล้วอุบัติในปทุมนรก เพราะจิตคิดอาฆาตในพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ
ท้าวสหัมบดีพรหมครั้นกราบทูลดังนี้แล้ว กระทำประทักษิณแล้วได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง
ไม่เห็นก็ไม่เชื่อใช่ไหม เรื่องปทุมนรก แต่คนที่เห็นมี คนที่รู้มี และเหตุที่จะให้เกิดที่นั่นก็มี
ครั้นพอล่วงราตรีนั้นไป พระผู้มีพระภาคตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เมื่อคืนนี้ เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว ท้าวสหัมบดีพรหมมีรัศมีอันงามยิ่ง ทำวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้ามาหาเราถึงที่อยู่ อภิวาทแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โกกาลิกภิกษุมรณภาพแล้ว ครั้นแล้วอุบัติในปทุมนรก เพราะจิตคิดอาฆาตในพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ท้าวสหัมบดีพรหมครั้นกล่าวดังนี้แล้ว กระทำประทักษิณแล้วได้อันตรธานหายไปในที่นั้นเอง
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ประมาณอายุในปทุมนรก นานเพียงใดพระเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร ภิกษุ ประมาณอายุในปทุมนรกนานนัก การนับประมาณอายุในปทุมนรกนั้นว่าเท่านี้ปี เท่านี้ ๑๐๐ ปี เท่านี้ ๑๐๐๐ ปี หรือว่าเท่านี้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี ไม่ใช่ทำได้ง่าย
ภิกษุกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระองค์สามารถจะทรงกระทำการเปรียบเทียบได้หรือไม่พระเจ้าข้า
โดยมากท่านผู้ฟังได้ยินคำว่า กัป เป็นจำนวนที่นานมาก เรื่องจำนวนเป็นเรื่องที่นับไม่ไหวทีเดียวว่ากาลเวลานั้นจะยืดยาวมากมายสักเพียงใด ซึ่งพระผู้มีพระภาคไม่ได้ทรงแสดงวิธีที่จะให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดไปนั่งคิด นั่งนับ แต่ว่ามีทางใดที่จะอุปการะเกื้อกูลให้เข้าใจได้ถึงความยาวนานนั้น พระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงแสดงไว้ ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงรับว่า สามารถภิกษุ ดังนี้
แล้วตรัสว่า
ดูกร ภิกษุ เปรียบเหมือนเกวียนที่บรรทุกงาหนัก ๒๐ หาบ ของชาวโกศล เมื่อล่วงไปได้ ๑๐๐ ปี ๑,๐๐๐ ปี ๑๐๐,๐๐๐ ปี บุรุษพึงหยิบเมล็ดงาขึ้นจากเกวียนนั้น ออกทิ้งเมล็ดหนึ่งๆ
ดูกร ภิกษุ เกวียนที่บรรทุกงาหนัก ๒๐ หาบ ของขาวโกศลนั้น จะพึงถึงความสิ้นไปโดยลำดับนี้เร็วเสียกว่า แต่อัพพุทธนรก ๑ จะไม่พึงถึงความสิ้นไปได้เลย
ดูกร ภิกษุ ๒๐ อัพพุทนรก เป็น ๑ นิรัพพุทนรก
๒๐ นิรัพพุทนรก เป็น ๑ อัพพนรก
๒๐ อัพพนรก เป็น ๑ อหหนรก
๒๐ อหหนรก เป็น ๑ อฎฎนรก
๒๐ อฎฎนรก เป็น ๑ กุมุทนรก
๒๐ กุมุทนรก เป็น ๑ โสคันธิกนรก
๒๐ โสคันธิกนรก เป็น ๑ อุปลกนรก
๒๐ อุปลกนรก เป็น ๑ ปุณฑริกนรก
๒๐ ปุณฑริกนรก เป็น ๑ ปทุมนรก อย่างนี้ ก็โกกาลิกภิกษุอุบัติในปทุมนรก เพราะจิตคิดอาฆาตในสารีบุตรและโมคคัลลานะ
พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปว่า
ก็วาจาหยาบเช่นกับขวาน เกิดในปากของบุรุษแล้ว เป็นเหตุตัดรอนตนเองของบุรุษผู้เป็นพาล ผู้กล่าวคำทุภาษิต
ผู้ใดสรรเสริญคนที่ควรนินทา หรือนินทาคนที่ควรสรรเสริญ ผู้นั้นย่อมก่อโทษเพราะปาก ย่อมไม่ได้ความสุขเพราะโทษนั้น การแพ้ด้วยทรัพย์เพราะเล่นการพนันเป็นโทษเพียงเล็กน้อย โทษของผู้ที่ยังใจให้ประทุษร้ายในท่านผู้ปฏิบัติดีนี้แล เป็นโทษมากกว่า
บุคคลตั้งวาจาและใจอันลามกไว้แล้ว เป็นผู้ติเตียนพระอริยเจ้า ย่อมเข้าถึงนรกตลอดกาล ประมาณด้วยการนับปี ๑ แสนนิรัพพุทะ และ ๔๐ อัพพุทะ
ผู้กล่าวคำเท็จ ย่อมเข้าถึงนรก อนึ่งผู้ทำกรรมอันลามก แล้วกล่าวว่าไม่ได้ทำ ก็ย่อมเข้าถึงนรกอย่างเดียวกัน แม้คนทั้งสองนั้นเป็นมนุษย์มีกรรมอันเลวทราม ละไปแล้ว ย่อมเป็นผู้เสมอกันในโลกเบื้องหน้า
ผู้ใดประทุษร้ายต่อคนผู้ไม่ประทุษร้าย ผู้เป็นบุรุษหมดจด ไม่มีกิเลสเครื่องยั่วยวน บาปย่อมกลับถึงผู้เป็นพาลนั้นเอง เหมือนธุลีละเอียดที่บุคคลซัดไปทวนลมฉะนั้น
ผู้ที่ประกอบเนืองๆ ในคุณ คือ ความโลภ ไม่มีศรัทธา กระด้าง ไม่รู้ความประสงค์ของผู้ขอ มีความตระหนี่ ประกอบเนืองๆ ในคำส่อเสียด ย่อมบริภาษผู้อื่นด้วยวาจา
แน่ะคนผู้มีปากเป็นหล่ม กล่าวคำไม่จริง ผู้ไม่ประเสริฐ ผู้กำจัดความเจริญ ผู้ลามก ผู้กระทำความชั่ว ผู้เป็นบุรุษในที่สุด มีโทษ เป็นอวชาติ ท่านอย่าได้พูดมากในที่นี้ อย่าเป็นสัตว์นรก
ท่านย่อมเกลี่ยธุลี คือ กิเลส ลงในตนเพื่อกรรมมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ท่านผู้ทำกรรมหยาบ ยังติเตียนสัตบรุษ ท่านประพฤติทุจริตเป็นอันมากแล้ว ย่อมไปสู่มหานรกสิ้นกาลนาน
กรรมของใครๆ ย่อมเสื่อมพินาศไปไม่ได้เลย บุคคลมาได้รับกรรมนั้นแล เป็นเจ้าของแห่งกรรมนั้น (เพราะ) คนเขลาผู้ทำกรรมหยาบ ย่อมเห็นความทุกข์ในตน ในปรโลก
ผู้ทำกรรมหยาบ ย่อมเข้าถึงสถานที่อันนายนิรยบาลนำขอเหล็กมา ย่อมเข้าถึงหลาวเหล็กอันคมกริบ และย่อมเข้าถึงก้อนเหล็กแดงโชติช่วง เป็นอาหารอันสมควรแก่กรรมที่ตนทำไว้อย่างนั้น
สัตว์นรกทั้งหลายจะพูดก็พูดไม่ได้ จะวิ่งหนีก็ไม่ได้ ไม่ได้ที่ต้านทานเลย นายนิรยบาลลากขึ้นภูเขาถ่านเพลิง สัตว์นรกนั้นนอนอยู่บนถ่านเพลิงอันลาดไว้ ย่อมเข้าไปสู่กองไฟอันลุกโพลง
พวกนายนิรยบาลเอาข่ายเหล็กพัน ตีด้วยค้อนเล็กในที่นั้น สัตว์นรกทั้งหลายย่อมเข้าไปสู่โรรุวนรกที่มืดทึบ
นี่เป็นลักษณะของนรกขุมต่างๆ ซึ่งก็แล้วแต่กรรมหนักกรรมเบาว่าจะไปสู่ขุมไหน สำหรับอเวจีมหานรกนั้นร้อนเป็นไฟตลอดเวลา
สำหรับโรรุวนนรกที่มืดทึบ ความมืดทึบนั้นแผ่ไปเหมือนกลุ่มหมอก ถ้ามืดสักวันหนึ่งเต็มๆ จะเป็นอย่างไร โลกนี้ ไม่ใช่วันเดียว ตลอดเวลาทีเดียวระหว่างที่อยู่ใน โรรุวนนรกที่มืดทึบ
ความมืดทึบนั้นแผ่ไปเหมือนกลุ่มหมอก ฉะนั้น ก็ที่นั้นสัตว์นรกทั้งหลายย่อมเข้าไปสู่หม้อเหล็กอันไฟลุกโพลง ลอยฟ่องอยู่ ไหม้อยู่ในหม้อเหล็กนั้น อันไฟลุกโพลง สิ้นกาลนาน
ก็ผู้ทำกรรมหยาบจะไปสู่ทิศใดๆ ก็หมกไหม้อยู่ในหม้อเหล็ก อันเปื้อนด้วยหนองและเลือดในทิศนั้นๆ ลำบากอยู่ในหม้อเหล็กนั้น
ผู้ทำกรรมหยาบหมกไหม้อยู่ในน้ำอันเป็นที่อยู่ของหมู่หนอน นี่นรกอีกขุมหนึ่ง ในหม้อเหล็กนั้นๆ แม้ฝั่งเพื่อที่จะไปก็ไม่มีเลย เพราะกระทะครอบอยู่โดยรอบ มิดชิดในทิศทั้งปวง
และยังมีป่าไม้ มีใบเป็นดาบคม สัตว์นรกทั้งหลายย่อมเข้าไปสู่ป่าไม้ ถูกดาบใบไม้ตัดหัวขาด พวกนายนิรยบาลเอาเบ็ดเกี่ยวลิ้นออก แล้วย่อมเบียดเบียนด้วยการดึงออกมาๆ
ก็ลำดับนั้น สัตว์นรกทั้งหลายย่อมเข้าถึงแม่น้ำด่างอันเป็นหล่ม ย่อมเข้าถึงคมมีดโกนอันคมกริบ สัตว์นรกทั้งหลายผู้กระทำบาปเป็นผู้เขลา ย่อมตกลงไปบนคมมีดโกนนั้น เพราะได้กระทำบาปไว้
ก็สุนัขดำ สุนัขด่าง และสุนัขจิ้งจอก ย่อมรุมกัดกินสัตว์นรกทั้งหลายผู้ร้องไห้อยู่ในที่นั้น ฝูงกาดำ แร้ง นกตะกรุม และกาไม่ดำ ย่อมรุมกันจิกกิน
คนผู้ทำกรรมหยาบ ย่อมเห็นความเป็นไปในนรกนี้ยากหนอ เพราะฉะนั้น นรชนพึงเป็นผู้ทำกิจที่ควรทำในชีวิตที่ยังเหลืออยู่นี้ แล้วไม่พึงประมาท เกวียนบรรทุกงา ผู้รู้ทั้งหลายนับแล้วนำเอาเข้าไปเปรียบในปทุมนรก เป็น ๕๑,๒๐๐ โกฏิ
นรกเป็นทุกข์ เรากล่าวแล้วในพระสูตรนี้เพียงใด สัตว์ทั้งหลายผู้กระทำกรรมหยาบ พึงอยู่ในนรกแม้นั้น ตลอดกาลนานเพียงนั้น เพราะฉะนั้น บุคคลพึงกำหนดรักษาวาจา ใจ ให้เป็นปกติในผู้สะอาด มีศีลเป็นที่รัก และมีคุณดีงามทั้งหลาย
เป็นเรื่องของนรก และทรงแสดงไว้ชัดเจนว่า ถ้ายังไม่บรรลุคุณธรรมเป็น พระอริยบุคคล ย่อมมีปัจจัยทำให้ปฏิสนธิในอบายภูมิได้ ภูมิอื่นเมื่อยังไม่ถึง จะรู้ชัดเหมือนภูมิมนุษย์นี้ได้ไหม ไม่ได้ เหตุการณ์ในภูมิอื่นจะเป็นอย่างไรก็ยากที่จะรู้ ที่จะเดา ที่จะคิด จนกว่าจะถึงภูมินั้นจริงๆ ถ้าถึงภูมินั้นจริงๆ ก็หมดความสงสัย เหมือนกับที่เคยสงสัยว่าโลกนี้เป็นอย่างไร ก็ไม่สงสัยเวลาที่อยู่ในโลกนี้ เพราะฉะนั้น จะต้องอาศัยพระธรรมที่พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงรู้แจ้งโลกทั้งปวง ได้ทรงแสดงไว้ถึงภพภูมิอื่นด้วย