แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 271

นี่เป็นชีวิตของท่านหรือเปล่า พิจารณาตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสถึงอัธยาศัย ซึ่งจะเป็นของท่านบ้างหรือเปล่าที่ว่า

กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลคนนี้มีอยู่ สมัยต่อมาเรากำหนดรู้ใจบุคคลนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรมของบุคคลนี้แลหายไป อกุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า

เป็นความจริงไหม ไม่ได้มีกุศลธรรมตลอดเวลา บางครั้ง บางขณะกุศลธรรมที่มีอยู่ก็หมดไป อกุศลธรรมก็เกิดปรากฏเฉพาะหน้า พระผู้มีพระภาคทรงรู้วาระจิตว่าขณะใดจิตของบุคคลใดเป็นกุศล แต่กุศลจิตก็หมดไป อกุศลจิตก็เกิดปรากฏเฉพาะหน้า

พระผู้มีพระภาคทรงรู้แจ้งต่อไปว่า

กุศลมูลที่บุคคลนั้นยังตัดไม่ขาดมีอยู่ เพราะกุศลมูลนั้น กุศลอย่างอื่นของเขาจักปรากฏด้วยประการฉะนี้ บุคคลนี้จักเป็นผู้ไม่เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา

ท่านเป็นผู้ที่สะสมอบรมกุศลเป็นอัธยาศัย ถึงแม้ว่าบางครั้ง บางขณะอกุศลเกิดก็จริง แต่ว่ากุศลมูลมีอยู่ยังไม่ได้ตัดขาด เพราะฉะนั้น ก็เปรียบเหมือนเมล็ดพืชที่ไม่หัก ไม่เน่า ไม่ถูกลม และแดดเผา เกิดในต้นฤดูหนาวเก็บไว้ดีแล้ว อันบุคคลปลูกไว้ ณ ที่ดินอันพรวนดีแล้ว ในที่นาดี เมล็ดพืชเหล่านี้จะถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์นี่สำหรับบุคคลที่อกุศลมูลยังไม่ได้ถูกตัดขาด

ท่านพระอานนท์ก็ได้กราบทูลว่า เป็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกร อานนท์ เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศล ธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมาเรากำหนดรู้ใจบุคคลนั้นด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป อกุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า แต่กุศลมูลที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่ เพราะกุศลมูลนั้น กุศลอื่นของเขาจักปรากฏด้วยประการฉะนี้ บุคคลนี้จักเป็นเป็นผู้ไม่เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา ฉันนั้นเหมือนกัน

ดูกร อานนท์ ตถาคตกำหนดรู้ใจบุคคลด้วยใจแม้อย่างนี้ กำหนดญาณเป็น เครื่องทราบอินทรีย์ของบุรุษด้วยใจแม้อย่างนี้ กำหนดรู้ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นต่อไป ด้วยใจ แม้ด้วยประการฉะนี้

รู้ถึงอัธยาศัย คือ ทรงมีพระญาณที่นอกจากจะกำหนดรู้ใจของบุคคลว่าขณะนั้นใจของบุคคลนั้นเป็นกุศลหรืออกุศลแล้ว ทรงมีญาณเป็นเครื่องทราบอินทรีย์ของคนนั้น และกำหนดรู้ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นต่อไปว่า เมื่อยังมีเชื้อของกุศลมูลอยู่ย่อมจะเป็นปัจจัย อาศัยธรรมนั้นเองทำให้กุศลอื่นเจริญต่อไป ฉะนั้นก็เป็นผู้ที่ไม่เสื่อม

นี่เป็นบุคคลที่ ๑ ทั้งหมดมี ๖ บุคคลด้วยกัน ซึ่งท่านจะพิจารณาได้ว่า ท่านอยู่ในบุคคลประเภทไหน

ข้อความต่อไปเป็นบุคคลที่ ๒

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกร อานนท์ อนึ่งเราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่ากุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดีของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมาเราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลนั้นด้วยใจอย่างนี้ว่า อกุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป กุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า แต่อกุศลมูลที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่ เพราะอกุศลมูลนั้น อกุศลอื่นของเขาจักปรากฏด้วยประการอย่างนี้ บุคคลนี้จักเป็นผู้เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา เปรียบเหมือนเมล็ดพืชที่ไม่หัก ไม่เน่า ไม่ถูกลม และแดดเผา เกิดในต้นฤดูหนาว เก็บไว้ดีแล้ว อันบุคคลปลูก ณ ที่ศิลาแท่งทึบ เธอพึงทราบไหมว่า เมล็ดพืชเหล่านี้จะไม่ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์

ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า

เป็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า

กล่าวถึงบุคคลที่ถึงแม้ว่าในบางครั้งจะได้ทำกุศล แต่ว่าอกุศลมูลที่ยังตัดไม่ขาดนั้นมีอยู่ เพราะฉะนั้น จะเป็นพืช เป็นเชื้อ เป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลต่อไป เปรียบเหมือนกับเมล็ดพืชที่ไม่เน่า ไม่หัก แต่ว่าปลูก ณ ที่ศิลาแท่งทึบ เพราะฉะนั้น ก็ไม่ถึงความเจริญงอกงาม

ข้อความต่อไป เป็นบุคคลที่ ๓

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกร อานนท์ อนึ่งเราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่ากุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดีของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมาเราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลนั้นด้วยใจอย่างนี้ว่า ธรรมขาวของบุคคลนี้แม้ประมาณเท่าน้ำที่สลัดออกจากปลายขนทรายไม่มี บุคคลนี้ประกอบด้วยอกุศลธรรมฝ่ายดำอย่างเดียว เมื่อตายไปจักเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เปรียบเหมือนเมล็ดพืชที่หัก เน่า ถูกลมและแดดแผดเผาอันบุคคลปลูก ณ ที่ดินซึ่งพรวนดีแล้วในนาดี เธอพึงทราบไหมว่า เมล็ดพืชนี้จักไม่ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์

ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า

เป็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า

พิจารณาได้ไหมกับจิตใจของท่าน ท่านเป็นบุคคลประเภทไหนใน ๓ ประเภท ประเภทที่ ๑ มีทั้งกุศลธรรมและอกุศลธรรม และบางครั้ง บางขณะอกุศลธรรมก็เกิดขึ้น ท่านอาจจะไปเพลิดเพลินกับการเล่น หรือว่ามหรสพ แต่พื้นของใจ คือ กุศลมูลยังมี เพราะฉะนั้น ก็มีปัจจัยที่จะทำให้กุศลนั้นเจริญงอกงามต่อไป คือ ยังฝักใฝ่ที่จะหันมาสู่การเจริญกุศล เป็นผู้ที่เจริญงอกงามต่อไป

ประเภทที่ ๒ กุศลธรรมก็มี อกุศลธรรมก็มี แต่ว่าบางครั้ง บางขณะเป็นผู้ที่กุศลธรรมปรากฏจริง แต่อกุศลมูลที่เป็นพื้นของใจยังไม่หมดสิ้น ยังไม่ได้ตัดขาด เพราะฉะนั้น ก็มีเชื้อ มีปัจจัยที่จะน้อมไปสู่อกุศลธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นบุคคลประเภทที่ ๒

ประเภทที่ ๓ เป็นผู้ที่กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดีของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมาธรรมขาวของบุคคลนี้แม้ประมาณเท่าน้ำที่สลัดออกจากปลายขนทรายไม่มี บุคคลนี้ประกอบด้วยอกุศลธรรมฝ่ายดำอย่างเดียว ถ้าเป็นผู้ที่มีทั้งกุศลธรรม และอกุศลธรรม เป็นธรรมดา แต่ว่าฝักใฝ่ในอกุศลเสียจนกระทั่งไม่มีธรรมฝ่ายขาวปรากฏเลย ท่านพอจะสังเกตได้ไหมว่า มีไหมบุคคลที่ฝักใฝ่แต่ในอกุศลธรรม นี่เป็นบุคคลที่ ๓

ต่อไปเป็นบุคคลอีก ๓ ประเภท ซึ่งข้อความในพระไตรปิฎกมีว่า

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ทูลถามว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคทรงสามารถบัญญัติบุคคล ๓ จำพวกนี้ออกเป็นส่วนละ ๓ อีกหรือพระเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

สามารถ อานนท์ เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดีของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมาเรากำหนดรู้ใจบุคคลนั้นด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป อกุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า แต่กุศลมูลที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่ กุศลมูลนั้นก็ถึงความถอนขึ้นโดยประการทั้งปวงด้วยประการอย่างนี้ บุคคลนี้จักเป็นผู้เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา เปรียบเหมือนถ่านไฟที่ไฟติดทั่วแล้ว ลุกโพลงสว่างไสว อันบุคคลเก็บไว้บนศิลาทึบ เธอพึงทราบไหมว่า ถ่านไฟเหล่านี้จะไม่ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์

ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า

อย่างนั้นพระเจ้าข้า

อกุศลมูลถอนเลย เวลาฟังพระธรรมโดยตรงจากพระไตรปิฎก พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงบุคคลไว้โดยละเอียด หากท่านพิจารณาตาม ท่านก็สามารถจะทราบถึงความละเอียด หรือความต่างกัน แม้บุคคลในโลกนี้อกุศลธรรมก็มี กุศลธรรมก็มี หากสมัยต่อมากุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป อกุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า แต่กุศลมูลที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่กุศลมูลนั้นก็ถึงความถอนขึ้นโดยประการทั้งปวง ฉะนั้นก็ไปสู่ความเสื่อม ผู้ที่เข้าใจผิด เห็นผิด ปฏิบัติผิด จะเหมือนกับกุศลมูลถูกถอนขึ้นหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่ท่านจะพิจารณาเป็นแต่ละบุคคล เพราะถ้ามีความเห็นผิด มีความเข้าใจผิดในสภาพธรรมแล้ว ก็ย่อมทำให้อกุศลกรรมเพิ่มพูนมากขึ้นได้

ผู้ที่จะรู้ว่าบุคคลนั้นกุศลมูลถูกถอนขึ้นด้วยประการทั้งปวงแล้วหรือยัง ต้องเป็นพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้นจะต้องระวัง กุศลมีก็ควรจะเจริญให้มากขึ้น อกุศลยังไม่หมด เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยก็จริง แต่อย่าให้กุศลมูลที่มีอยู่ถูกถอนขึ้นโดยประการทั้งปวง

ข้อความต่อไปเป็นบุคคลที่ ๒ คือ พระผู้มีพระภาคทรงจำแนกบุคคล ๓ นั่นเองละเอียดขึ้น ออกเป็นส่วนละ ๓ คือ ประเภทที่ ๑ กุศลมูลถูกถอนขึ้นด้วย

สำหรับบุคคลต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกร อานนท์ อนึ่งเราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่ากุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดีของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมาเราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลนั้นด้วยใจอย่างนี้ว่า อกุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป กุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้าแต่อกุศลมูลที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่ อกุศลมูลแม้นั้นก็ถึงความเพิกถอนขึ้นโดยประการทั้งปวง ด้วยประการอย่างนี้ บุคคลนี้จักไม่เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา เปรียบเหมือนถ่านไฟที่ไฟติดทั่วแล้ว ลุกโพลงสว่างไสวอันบุคคลเก็บไว้บนกองหญ้าแห้ง หรือบนกอไม้แห้งเธอพึงทราบไหมว่า ถ่านไฟเหล่านี้จักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์

ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า

อย่างนั้นพระเจ้าข้า

อกุศลมูลถูกถอนขึ้น เวลานี้ทุกท่านมีทั้งกุศลธรรมบ้าง อกุศลธรรมบ้าง อกุศลมูลยังอยู่ กุศลมูลก็ยังอยู่ กุศลมูลไม่ได้ถูกถอน เพราะเหตุว่าทุกท่านยังฝักใฝ่สนใจธรรม ยังไม่ได้ถูกถอนขึ้นหมดสิ้นไป แต่อกุศลมูลถูกถอนแล้วหรือยัง ผู้ที่อกุศลมูลจะถูกถอนได้ คือ พระอริยเจ้าเป็นลำดับขั้น เพราะเหตุว่า ถึงแม้ว่าบุคคลนี้ กุศลธรรมก็ดีอกุศลธรรมก็ดีของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมาเราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลนั้นด้วยใจอย่างนี้ว่า อกุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป กุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า แต่อกุศลมูลที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่ อกุศลมูลแม้นั้นก็ถึงความเพิกถอนขึ้นโดยประการทั้งปวง ด้วยประการอย่างนี้ บุคคลนี้จักไม่เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา

ควรจะถอนอกุศลมูลใช่ไหม และถอนได้ เวลาที่บุคคลใดถอนอกุศลมูลขึ้นแล้วใครทราบ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระญาณที่รู้แจ้งวาระจิตของบุคคลนั้นว่า ขณะนั้นอกุศลมูลประเภทใดได้ถูกถอนขึ้น เป็นพระอริยเจ้าแล้ว

สำหรับบุคคลต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกร อานนท์ อนึ่งเราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่ากุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดีของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมาเราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลนั้นด้วยใจอย่างนี้ว่า อกุศลธรรมของบุคคลนี้แม้ประมาณเท่าน้ำที่สลัดออกจากปลายขนทรายไม่มี บุคคลนี้ประกอบด้วยธรรมที่ไม่มีโทษ เป็นธรรมฝ่ายขาวอย่างเดียว จักปรินิพพานในปัจจุบันทีเดียว เปรียบเสมือนถ่านไฟที่เย็น มีไฟดับแล้ว อันบุคคลเก็บไว้บนกองหญ้าแห้ง หรือบนกองไม้แห้ง เธอพึงทราบไหมว่า ถ่านไฟเหล่านี้จะไม่ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์

ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า

อย่างนั้นพระเจ้าข้า

ถอนอกุศลมูลหมด ไม่เหลือเลย ไม่มีอกุศลธรรมแม้ประมาณเท่าน้ำที่สลัดออกจากปลายขนทราย เป็นธรรมฝ่ายขาวอย่างเดียว จักปรินิพพานในปัจจุบันทีเดียวเพราะฉะนั้น การพยากรณ์ว่า บุคคลใดจะเกิดในภูมิใดหลังจากที่สิ้นชีวิตแล้วจากโลกนี้ ไม่ใช่วิสัยของบุคคลที่ไม่มีญาณที่รู้อินทรีย์ หรือว่ารู้อัธยาศัย รู้ละเอียดถึงกรรมซึ่งเป็นปัจจัยของบุคคลนั้น ตั้งแต่ในอดีตอนันตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ

ถ. สำหรับบุคคลประเภทที่ ๖ หมายถึงบุคคลที่ถอนอกุศลกรรมได้ทั้งหมด แสดงว่าอกุศลกรรมไม่มีอีกแล้ว แต่ว่าตามที่ศึกษามาทราบว่า แม้กุศลกรรมก็ต้องไม่ยึดถือ แต่หากกุศลกรรมของท่านยังเจริญอยู่เรื่อยๆ อย่างนี้ จะหมายความว่าอย่างไร

สุ. อกุศลมูลถูกถอนขึ้นหมด ฉะนั้นเหลือแต่ธรรมขาว ซึ่งไม่ได้หมายความว่า เป็นกุศลที่เป็นปัจจัยที่จะให้เกิดภพชาติต่อไป แต่เป็นธรรมฝ่ายงาม เป็นธรรมฝ่ายดี เพราะว่าไม่มีความติดข้อง ไม่มีกิเลส ไม่มีเยื่อใย ไม่มีอกุศลแม้เพียงเล็กน้อยที่จะเป็นปัจจัยให้มีการเกิดอีก และธรรมที่เป็นธรรมฝ่ายขาวนั้น ไม่ใช่เป็นกุศลอย่างผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ซึ่งผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ยังเป็นปัจจัยให้เกิดอีกได้

สำหรับชีวิตของแต่ละท่านในขณะนี้ หากเป็นผู้ที่เจริญสติปัฏฐานเป็นปกติก็สามารถจะทราบได้ถึงนามธรรมและรูปธรรมที่เกิดกับท่านตามความเป็นจริงว่า มีเศษของกรรมบ้างไหม มีเศษของอกุศลกรรมในอดีตชาติที่ได้กระทำแล้วและให้ผลในปัจจุบันชาตินี้บ้างไหม

เคยมีท่านที่สงสัยว่า ผู้ที่เป็นพระอริยเจ้าไม่น่าจะยากจนขัดสน หรือว่ามีโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ นั่นเป็นผลของอดีตอกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว แต่ถ้าท่านเห็นความวิจิตรของการสะสมของกรรมในอดีตที่เนิ่นนานมา จนกระทั่งท่านเป็นผู้ละเอียดที่จะพิจารณาตัวของท่านจริงๆ แม้ในปัจจุบันชาตินี้จะเห็นว่า ยังมีกรรมเล็กกรรมน้อย เป็นปัจจัยที่จะทำให้ได้รับผลข้างหน้าต่างๆ กัน ตามลักษณะของกรรมนั้นๆ

ขอกล่าวถึงเศษของอกุศลกรรมของพระอริยเจ้า เพื่อท่านจะได้ไม่เป็นผู้ที่ ประมาท และพิจารณากรรมของท่านอย่างละเอียดยิ่งขึ้น อุบาสิกาท่านหนึ่ง ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงตั้งไว้เป็นเอตทัคคะผู้เลิศกว่าบรรดาอุบาสิกาสาวิกาผู้เป็นธัมมกติกา คือ ผู้แสดงธรรม อุบาสิกาท่านนั้น คือ ขุชชุตตราซึ่งเป็นทาสีของพระนางสามาวดี

พระธัมมปทัฏฐกถาแปล (ภาค ๒) อัปปมาทวรรควรรณนา มีข้อความว่า

พระภิกษุทั้งหลายกราบทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็นางขุชชุตตราเล่า เพราะกรรมอะไรจึงเป็นหญิงค่อมเพราะกรรมอะไรจึงเป็นผู้มีปัญญามาก เพราะกรรมอะไรจึงบรรลุโสตาปัตติผล เพราะกรรมอะไรจึงเป็นคนรับใช้ของคนเหล่าอื่น

ถ้าท่านศึกษาประวัติของพระสาวกในครั้งนั้น ก็จะได้ทราบถึงอดีตกรรมของท่านเหล่านั้นด้วย ซึ่งจะทำให้ท่านขัดเกลายิ่งขึ้น ไม่ประมาทที่จะให้เกิดอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ในสมัยหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง เป็นผู้มีธาตุแห่งคนค่อม หน่อยหนึ่ง หญิงผู้อุปัฏฐายิกาคนหนึ่งห่มผ้ากัมพล ถือขันทองคำ ทำเป็นคนค่อม แสดงอาการเที่ยวไปแห่งพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น ด้วยพูดว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าของพวกเราย่อมเที่ยวไปอย่างนี้แล อย่างนี้ เพราะผลอันไหลออกแห่งกรรมนั้น นางจึงเป็นหญิงค่อม

ไม่ได้ทำอะไรมากเลย ล้อเล่น ล้อเลียนเพียงเท่านั้น แต่ว่าสมควรไหมที่จะกระทำอย่างนั้น ขอให้ท่านลองคิดดู สมควร หรือไม่สมควร บุคคลนั้นเป็นบรรพชิตเป็นถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า การที่จะล้อเลียนลักษณะของบรรพชิตซึ่งควรที่จะเป็นที่เคารพนั้นด้วยจิตชนิดไหน ดูหมิ่น หรือว่าลบหลู่ หรือว่าเยาะเย้ย เป็นอกุศลจิต จะมากน้อยประการใดเป็นเรื่องของบุคคลนั้น ที่ว่า ห่มผ้ากัมพล ถือขันทองคำ ทำเป็นคนค่อม นี่ทางกายแสดงอาการเที่ยวไปแห่งพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น ด้วยพูดว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าของพวกเราย่อมเที่ยวไปอย่างนี้แล อย่างนี้ ทั้งทางกาย และทางวาจา จิตขณะนั้นเป็นชวนะมากสักเท่าไรที่ถึงกับจะแสดงกิริยาอาการที่ล้อเลียนบุคคลที่ควรเคารพได้ดังนั้น เพราะผลอันไหลออกแห่งกรรมนั้น นางจึงเป็นหญิงค่อม

เปิด  297
ปรับปรุง  2 มิ.ย. 2565