แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 634
ถ. ปริจเฉทรูปที่กล่าวว่า เป็นที่ว่างของรูปนั้น หมายความว่าอย่างไร
สุ. ธรรมดาของมหาภูตรูป มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม และมีรูปที่เกิดร่วมในกลาปนั้น เช่น สี กลิ่น รส โอชาเกิดร่วมด้วย ซึ่งในกลุ่มของรูปนั้นสามารถแตกย่อยออกไปได้จนถึงรูปที่ไม่สามารถแตกย่อยออกไปได้ อย่างเช่น ร่างกายนี้ประกอบด้วยธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม หลายกลุ่ม ที่ว่าหลายกลุ่ม ก็เพราะแต่ละกลุ่มอาศัยสมุฏฐานต่างกันเกิดขึ้น บางกลุ่มเกิดขึ้นเพราะกรรม บางกลุ่มเกิดขึ้นเพราะจิต บางกลุ่มเกิดขึ้นเพราะอุตุ ความเย็น ความร้อน บางกลุ่มเกิดขึ้นเพราะอาหาร แต่ที่สามารถกระจัดกระจายแยกรูปซึ่งเกิดรวมกันเป็นร่างกายออกจากกันได้ เพราะว่ามีปริจเฉทรูป หรืออากาศรูปคั่นอยู่ในระหว่างกลุ่มของรูปแต่ละกลุ่ม
แต่นี่เป็นเรื่องนึก แต่การประจักษ์แจ้งสภาพธรรม ตรง ขอให้ทราบว่า ตรง จริงๆ ถ้ารู้ถูกแล้วต้องตรง แต่จะเริ่มรู้ถูกเพิ่มขึ้นมากน้อยเท่าไร นั่นเป็นทีละขั้นของการอบรม ซึ่งต้องเป็นขั้นๆ โดยที่ว่าขั้นแรกไม่ใช่ขั้นนึก แต่เป็นขั้นรู้ให้ตรงลักษณะ เมื่อเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็ให้รู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น นี่คือ ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ
ถ. กายวิญญัติรูป ที่ให้รู้ทางกาย จะรู้ได้อย่างไร
สุ. ไม่มีใครให้รู้กายวิญญัติ รูปทางกาย รู้ไม่ได้ทางกาย
ถ. รู้ไม่ได้หรือ
สุ. ทางกาย รู้เย็นซึ่งเป็นธาตุไฟ หรือร้อนก็เป็นธาตุไฟ อ่อนหรือแข็งก็เป็นธาตุดิน ตึงหรือไหวก็เป็นธาตุลม แต่ไม่ใช่รู้วิญญัติรูปทางกาย
ถ. วจีวิญญัติรูป ที่ว่าให้รู้ทางเสียง หมายความว่าอย่างไร
สุ. รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจแต่ละลักษณะ ไม่ต้องใส่ชื่อ
ถ. เวลาที่นึกคิด ก็ให้สติระลึกรู้ว่าเป็นนามชนิดหนึ่ง เห็น หรือได้ยิน ก็ให้ สติระลึกรู้อย่างเดียว ไม่ต้องใช้หลักอื่น
สุ. ทางตาที่กำลังปรากฏ จะต้องรู้อะไรบ้าง นี่สำคัญที่สุด เพราะว่ามีการเห็นอยู่เรื่อยๆ ตั้งแต่เกิดไปจนกระทั่งสิ้นชีวิตก็จะต้องมีการเห็นสำหรับผู้ที่มีจักขุปสาท ทางหูก็จะต้องมีการได้ยิน เพราะฉะนั้น ทางตาทวารเดียวที่เห็นกันอยู่เรื่อยๆ แต่ว่าเป็นความเห็นผิด เป็นความเข้าใจผิด เพราะว่าเห็นเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ เพราะฉะนั้น จะต้องเข้าใจก่อนว่า ตราบใดที่ยังเห็นเป็นอย่างนี้ นั่นคือ ความเห็นผิด ซึ่งจะต้องค่อยๆ หมดไป ถ้ายังไม่ค่อยๆ รู้ขึ้น ความเห็นผิดก็หมดไม่ได้ ถ้าความเห็นถูกไม่ค่อยๆ เกิดขึ้น ความเห็นผิดจะค่อยๆ หมดไปไม่ได้
เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งไปประจักษ์ความเกิดดับของอะไรทั้งสิ้น ตราบใดที่ความเห็นถูกหรือความรู้ถูกยังไม่เพิ่มขึ้นในแต่ละทาง
สำหรับทางตา จะต้องรู้ว่า ต้องศึกษาที่จะรู้ชัดในสภาพธรรมที่ปรากฏ ในสิ่งที่ปรากฏว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏหนึ่ง ในสภาพรู้สิ่งที่ปรากฏ ในสภาพที่เห็นสิ่งที่ปรากฏอีกหนึ่งว่า เป็นแต่เพียงอาการรู้สิ่งที่ปรากฏ เป็นธาตุรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา หรือเป็นธาตุเห็นสีสันวัณณะต่างๆ ที่ปรากฏทางตาเท่านั้น
นามธรรมทางตารู้สี นามธรรมทางหูรู้เสียง เพราะฉะนั้น ต้องแยกนามธรรมซึ่งกำลังรู้ให้ต่างกันเป็นนามธรรมแต่ละชนิด จึงจะเอาความเป็นตัวตน เป็นเราซึ่งเคยคิดว่า เราเห็นบ้าง เราได้ยินบ้างออกได้ โดยการที่รู้ว่า แม้แต่ธาตุรู้ หรือสภาพรู้ หรือนามธรรมที่รู้ ก็ต่างกันเป็นธาตุรู้แต่ละลักษณะ ไม่ใช่ธาตุรู้อย่างเดียวกัน
ถ้าศึกษาเรื่องของธาตุ ๑๘ จะทราบได้ จักขุวิญญาณธาตุไม่ใช่โสตวิญญาณธาตุ เป็นธาตุที่ต่างกัน เพราะวิญญาณธาตุที่เป็นจักขุวิญญาณธาตุนั้นรู้สี ส่วนวิญญาณธาตุที่เป็นโสตวิญญาณธาตุนั้นรู้เสียง สลับกันไม่ได้ เป็นธาตุแต่ละอย่าง
ถ. ลหุตารูป ที่เกิดจากจิต จากกรรม จากอุตุ หมายความว่าอะไร
สุ. ต้องรู้ลักษณะของรูปที่ปรากฏเสียก่อน การที่จะรู้ถึงสมุฏฐานจึงจะเกิดขึ้นภายหลัง การรู้ต้องเจริญเป็นขั้นๆ เป็นลำดับ
เพราะฉะนั้น ขั้นต้นขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ไม่ละเลย ไม่หลงลืม อย่าคิดว่า ไม่สำคัญ สำคัญมากที่จะต้องศึกษาให้เป็นความรู้ขึ้นว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้นจริงๆ ขณะใดก็ได้ที่เห็น ขณะนี้ก็ได้ ขณะใดที่มีการศึกษา หมายความถึงสติระลึกแล้วปัญญาจึงเริ่มที่จะศึกษา สังเกต สำเหนียก และก็เป็นความรู้ขึ้น ถ้าไม่มีการสังเกต ไม่มีการศึกษา ไม่มีการสำเหนียก จะเกิดความรู้ได้อย่างไรว่า สิ่งที่ปรากฏทางตานั้นเป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่ปรากฏทางตาเท่านั้น ซึ่ง กว่าจะเกิดความรู้อย่างนี้ จะต้องมีการศึกษา และขณะใดที่มีการศึกษา ก็คือ มีสติระลึกแล้วนั่นเอง เพราะฉะนั้น ไม่ต้องห่วงเรื่องสติ เพราะถ้าพยายามจะมีสติ แต่ไม่ได้ศึกษา สังเกต สำเหนียกที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ขณะนั้นย่อมไม่เป็นปัจจัยให้เกิดความรู้ชัด ปัญญาก็เจริญไม่ได้
เพราะฉะนั้น ปัญญาทั้งหมดที่เป็นความรู้ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยการศึกษา ด้วยเหตุนี้ในพระไตรปิฎก จึงได้ทรงแสดงเรื่องของการอบรมเจริญมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเป็นสติปัฏฐานว่า เป็นไตรสิกขา
ในพระไตรปิฎกสรรเสริญการศึกษา ไม่ใช่ขั้นปริยัติ คือ ไม่ใช่ขั้นการรู้เรื่องของสภาพธรรม แต่เป็นการศึกษาพร้อมสติที่ระลึกรู้ในอาการ ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จึงจะเป็นไตรสิกขา คือ ศีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขา
ถ. วิการรูปทั้ง ๓ เกิดจากจิต จากอาหาร จากอุตุ ปรากฏเหมือนกันไหม
สุ. ใช่ แต่ปรากฏหรือเปล่า
ถ. ปรากฏเหมือนกันหรือเปล่า
สุ. ไม่ต้องสงสัยในเรื่องที่จะปรากฏเหมือนกันไหม เพราะว่าการศึกษาที่เป็นไตรสิกขา จะต้องศึกษาลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ การศึกษาปริยัติมีประโยชน์โดยที่ว่า ถ้าสภาพธรรมนั้นปรากฏกับสติ ก็จะได้รู้ว่าเป็นเพียงลักษณะสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล การรู้ด้วยสติเป็นการรู้ลักษณะ การรู้ชื่อ รู้เรื่องเป็นการรู้เรื่องของสภาพธรรม แต่ไม่ใช่การรู้ลักษณะจริงๆ
ถ. แล้วสันตติรูป
สุ. อุปจยรูปหมายความถึงขณะที่เกิด สันตติหมายความถึงขณะที่สืบต่อ ชรตารูป คือ ขณะที่กำลังเสื่อม และขณะที่ดับจริงๆ คือ อนิจจตา
ถ. รูปที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับลง
สุ. ข้อสำคัญ รูปอะไรเกิด รูปอะไรดับ ต้องรู้ลักษณะของรูปที่ปรากฏ จึงจะรู้ว่า รูปนั้นที่ปรากฏดับ
เพราะฉะนั้น ท่านผู้ฟังต้องเข้าใจว่า สติปัฏฐานไม่ใช่การคิดเรื่องลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม และไม่ใช่สมาธิที่จดจ้องเพื่อจะประจักษ์ความเกิดดับของนามธรรมและรูปธรรม แต่เป็นการระลึก ศึกษา เพื่อรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตรงตามความเป็นจริง เพื่อความรู้ชัดเพิ่มขึ้น จึงจะถึงปัญญาที่สามารถประจักษ์ความเกิดขึ้นและดับไปของนามธรรมและรูปธรรมที่ได้ศึกษา และรู้ชัดเพิ่มขึ้นแล้ว
ข้อสำคัญ คือ นามธรรมมีมาก หลายชนิด รูปธรรมก็ปรากฏทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง ทางใจบ้าง แต่ละลักษณะเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้น สติเกิดขึ้นขณะใด ศึกษา เพื่อเพิ่มความรู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่มีลักษณะปรากฏให้รู้ และลักษณะแต่ละลักษณะนั้นไม่ปรากฏความเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล จึงจะตรงลักษณะ
อย่างทางตา ถ้ายังปรากฏเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ ก็ยังไม่ตรงลักษณะ เพราะว่าในขณะนั้นมีการตรึกนึกถึงรูปร่างซ้อนขึ้นกับขณะที่กำลังเห็น ซึ่งถ้าตรงลักษณะจริงๆ ต้องไม่ใช่การตรึกนึกถึงรูปร่าง จึงจะถอดความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนออกได้ และปรากฏเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้นจริงๆ
เช่นเดียวกับทางหู ได้ยินเสียง และก็นึกถึงความหมายเกิดต่ออย่างรวดเร็ว เพราะเสียงทุกเสียงมีอาการที่ปรากฏสูง ต่ำ เล็ก ใหญ่ ลักษณะของเสียงต่างกันเป็นปัจจัยให้เกิดการตรึกนึกถึงสัณฐานเป็นความหมายของเสียงที่ได้ยิน แต่ขณะที่กำลังนึกถึงคำ ไม่ใช่ขณะเดียวกับที่เสียงปรากฏ ท่านจะพิสูจน์ได้โดยการที่ท่านนึกถึงอะไรก็ได้ในใจ โดยเสียงไม่ได้ปรากฏ การนึกถึงคำนี่มี แต่เวลาที่เสียงปรากฏด้วย ไม่ได้นึกถึงคำโดยปราศจากเสียง แต่เป็นการนึกถึงคำหลังจากที่เสียงปรากฏแล้ว ตรึกนึกถึงสัณฐานของเสียงต่างๆ ทำให้นึกถึงความหมายเป็นคำต่างๆ ขึ้น ซึ่งความจริงคนไม่มี สัตว์ไม่มี เรื่องราวต่างๆ ไม่มีเลย เป็นจิตเท่านั้นที่นึกเป็นเรื่องเป็นราว เป็นคำ เป็นความหมายต่างๆ และถ้ารู้อย่างนี้ ก็จะถอดสัตว์ บุคคล ตัวตนออกจากโลกของเสียงที่ปรากฏแล้วดับไป และมีจิตที่นึกถึงคำ ซึ่งเป็นเรื่องต่างๆ ถ้าไม่มีการนึกถึงคำ เรื่องต่างๆ ในโลกนี้ก็ไม่สามารถปรากฏขึ้นได้เลย
เพราะฉะนั้น ชีวิตของแต่ละท่าน ตั้งแต่เช้ามาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ก็มากเรื่อง ที่มากเรื่องเพราะว่าจิตเกิดขึ้นนึกถึงเรื่อง มากเรื่องจริงๆ ถ้าจิตหยุดนึกถึงเรื่อง จะไม่มีเรื่องสักเรื่องเดียวปรากฏ เรื่องจะไม่มากเลย เพราะฉะนั้น เรื่องต่างๆ ที่ปรากฏ ให้ทราบว่า ตามความเป็นจริงแล้วไม่มีเลยถ้าปราศจากจิตที่คิดถึงเรื่อง เรื่องปรากฏกับจิตที่คิดถึงเรื่องเท่านั้น ถ้าจิตไม่คิดถึงเรื่องนั้นแล้ว เรื่องอะไรๆ ก็ไม่มี แต่ว่าสภาพลักษณะของธรรมยังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และต่อถึงทางใจได้ แม้ว่าจะไม่คิดเป็นเรื่อง แต่คิดเป็นรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏได้
เพราะฉะนั้น ลักษณะของวิตกเจตสิก เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นลักษณะของสภาพธรรมที่ตรึก คือ คิด ช่างคิดเสียจริงวิตกเจตสิกนี้ นั่งเฉยๆ เห็น ตรึกถึงรูปร่างของสิ่งที่เห็น นั่นเป็นลักษณะของวิตกเจตสิก นึกถึงเรื่อง เป็นคน เป็นสัตว์ ต่างๆ นั่นเป็นลักษณะของวิตกเจตสิก
เวลาที่ได้ยิน เสียงดับไปแล้ว วิตกเจตสิกก็ยังตรึกนึกถึงสัณฐานรูปร่างสูงต่ำของเสียง รวมทั้งอนุพยัญชนะ ความต่างกันของเสียง เพราะถึงแม้ว่าจะมีคนมากมายจำนวนกี่ร้อย พัน แสน ล้านก็ตาม แต่เสียงของแต่ละคนก็ต่างกันตามเหตุตามปัจจัยที่ทำให้เกิดเสียงนั้น ซึ่งวิตกเจตสิกก็ตรึกตามความต่างกันของเสียง และยังนึกถึงความหมายของเสียงที่ได้ยิน ปรากฏเป็นเรื่องราว ความจำ หรือว่าความเข้าใจเกิดขึ้นเป็นสิ่งต่างๆ ได้
นี่คือลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งกำลังเกิดขึ้นเป็นไปในขณะนี้ตามความเป็นจริง ไม่ต้องมีใครทำอะไรเลย เวลานี้วิตกเจตสิกก็เกิดขึ้นกระทำกิจต่างๆ ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ วิตกเจตสิกเกิดขึ้นกระทำกิจแล้วก็ดับไป โดยที่ถ้าสติไม่เกิดขึ้น ไม่ระลึกรู้ตามความเป็นจริง ก็จะไม่ทราบเลยว่า ไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่ตรึกนึกถึงสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจก็ตรึกนึกถึงเป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ
ปัญญาเป็นสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง สามารถที่จะรู้ชัดตามความเป็นจริงในสภาพธรรมทั้งหลายได้ ในขณะนี้มีความจำทางตา ซึ่งจำผิด จำเป็นสัตว์ บุคคลต่างๆ ปัญญาสามารถที่จะรู้ในลักษณะของความจำแล้วก็ดับไป และถ้าอบรมปัญญาให้เกิดขึ้น ปัญญาสามารถที่จะคมกล้าและแทงตลอดในลักษณะของสภาพธรรมที่ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนได้จริงๆ
แต่ว่าปัญญาเปรียบเสมือนพืชซึ่งเพาะปลูกให้เจริญเติบโตได้ยากเหลือเกิน ผิดกับสภาพธรรมอื่น ซึ่งมีอาหารที่จะเกิดขึ้นบ่อยๆ เนืองๆ แต่สำหรับปัญญา แม้แต่ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง เมื่อได้ทรงปรารถนาที่จะบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะต้องอบรมเจริญปัญญาซึ่งแสนที่จะเกิดยากเป็นกัปๆ ถึงสี่อสงไขยแสนกัป และต้องเจริญบารมี ผ่านการเฝ้าการสดับฟังธรรมจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ มากมายไม่น้อยกว่ายี่สิบกว่า พระองค์ ก่อนที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น ท่านผู้ฟังซึ่งเป็นผู้ที่ตรงต่อสภาพธรรมตามความเป็นจริง ย่อมทราบว่า ปัญญาของท่านนี้เริ่มเกิดขึ้นบ้างหรือยัง เป็นปัญญาขั้นไหน และปัญญาแต่ละขั้นอาศัยอะไรจึงได้เกิดขึ้น ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าและไม่ใช่ พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ต้องอาศัยการฟังจึงชื่อว่า สาวก คือ ผู้ฟัง ฟังธรรมซึ่ง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงแล้วพร้อมทั้งเหตุผลที่จะให้ผู้ฟังได้พิจารณาให้เกิดความเข้าใจเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย พร้อมทั้งเจริญหนทางอบรมปัญญาจากขั้นการฟัง เป็นขั้นการศึกษา ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ จนกระทั่งเป็นการละคลายความไม่รู้ ความสงสัยในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ
เพราะฉะนั้น จุดประสงค์ไม่ควรที่จะไปถึงวิปัสสนาญาณ หรือว่าประจักษ์ความเกิดดับของสภาพธรรม โดยไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ตรงตามความเป็นจริงด้วยการรู้ว่า สติมีลักษณะอย่างไร ที่เป็นสติปัฏฐานเพราะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางหนึ่งทางใด ต้องเป็นทางหนึ่งทางใดด้วย
ขณะนี้ทางตาก็มี ทางหูก็มี ทางจมูกก็มี ทางลิ้นก็มี ทางกายก็มี ทางใจก็มี สติเกิดระลึกรู้ทางไหน ผู้นั้นรู้ว่า กำลังศึกษา กำลังสังเกต กำลังพิจารณา หรือว่ากำลังระลึกรู้ในลักษณะอาการของสิ่งที่ปรากฏ แต่ว่าความรู้นี้จะเป็นความรู้ชัดทีเดียวไม่ได้ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ชัดทันทีว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้เป็นแต่เพียงปรากฏทางตา แต่ความรู้นี้จะเกิดขึ้นได้ในวันหนึ่งเมื่อระลึกเนืองๆ บ่อยๆ ถอดความเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลออก ก็มีแต่เพียงสิ่งที่เพียงปรากฏทางตาเท่านั้นเอง ระลึกศึกษาไปเรื่อยๆ จากกัปหนึ่งไปอีกกัปหนึ่ง จากชาติหนึ่งไปสู่อีกชาติหนึ่ง จนกว่าจะเป็นความรู้เพิ่มขึ้น และสามารถที่จะประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดดับตามความเป็นจริงได้
เพราะฉะนั้น การอบรมเจริญสติปัฏฐานไม่ใช่การคิดนึก และไม่ใช่สมาธิที่จดจ้องที่อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดเพื่อที่จะประจักษ์ความเกิดดับ แต่เป็นการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางหนึ่งทางใด จะเป็นทางตาก็ได้ ทางหูก็ได้ ทางจมูกก็ได้ ทางลิ้นก็ได้ ทางกายก็ได้ ทางใจก็ได้
ถ. ลักษณะที่ปรากฏทางทวารทั้ง ๖ มีสติระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ขอให้อาจารย์อธิบาย
สุ. ขอเรียนถามว่าสภาพธรรมมีอย่างเดียว หรือว่าหลายอย่าง
ถ. หลายอย่าง
สุ. ที่ทราบว่ามีสภาพธรรมหลายอย่าง ก็เพราะว่าลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างไม่เหมือนกัน จึงรู้ว่าหลายอย่าง ถ้าเป็นสภาพธรรมอย่างเดียวกันก็ไม่ใช่หลายอย่าง แต่ที่จะต่างกันเป็นสภาพธรรมหลายอย่างได้ก็เพราะสภาพธรรมแต่ละอย่างนั้นมีลักษณะที่ต่างกัน จึงแสดงว่าเป็นสภาพธรรมต่างๆ เพราะฉะนั้น ถ้าใช้คำว่า สภาพธรรมปรากฏ จริง ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล แต่สภาพธรรมทางตามีลักษณะ คือ ปรากฏทางตา สภาพธรรมทางหูที่เป็นรูปมีลักษณะที่ปรากฏทางหู เป็นเสียง เสียงกับสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นสภาพธรรมทั้ง ๒ อย่าง แต่สิ่งที่ปรากฏทางตามีลักษณะต่างกันกับเสียงที่ไม่ได้ปรากฏทางตา