แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 662
เหตุผลในการที่จะให้เจริญกุศล หรือในการที่จะให้ขัดเกลากิเลสมีมาก แสดงเท่าไรๆ ก็ไม่พอ ซึ่งการฟังจะต้องฟังเรื่อยๆ และต้องพิจารณาอุปมาอุปมัยต่างๆ ที่ เป็นการชี้ให้เห็นถึงสภาพธรรมที่น่ารังเกียจของอกุศล และสภาพธรรมที่ควรเจริญของกุศล
อย่างบางท่านซึ่งเป็นผู้ที่รักความสะอาดทางกาย เป็นผู้ที่รังเกียจความสกปรกทางกายมาก แต่ลืมคิดว่า ขณะใดที่อกุศลเกิด ขณะนั้นสกปรกหรือว่าน่ารังเกียจยิ่งกว่าความสกปรกทางกาย และอกุศลก็เกิดอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง เช่น ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ถ้าจะอุปมา ก็เหมือนกับแผลเน่าสกปรกที่มีน้ำเลือดน้ำหนองไหลอยู่ตลอดเวลา
ขณะใดที่มีการเห็น ไม่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง อกุศลก็เปรียบเหมือนสิ่งสกปรกที่ไหลออกมาแล้วทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง ทางใจบ้าง
ในวันหนึ่งๆ จะมีความสกปรก มีความน่ารังเกียจสักเท่าไร เพราะว่าความสกปรกหรือความน่ารังเกียจซึ่งเป็นแผลทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็ยังสามารถที่จะรักษาให้หาย ให้สะอาดได้ แต่อกุศลจิตที่เกิด ทันทีที่เห็น มีความยินดียินร้าย ทางหูที่ได้ยินและหลงลืมสติ ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ก็เปรียบเหมือนน้ำเลือด น้ำหนอง หรือของสกปรกทั้งหลายที่ไหลออกไปแล้วสู่อารมณ์ที่ปรากฏ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า แล้วแต่ว่าท่านจะมีความรังเกียจในความสกปรกทางกาย หรือว่าจะมีความรังเกียจลึกซึ้งถึงอกุศลจิตที่เกิดขึ้นทางใจด้วย ซึ่งเป็นความสกปรกหรือเป็นความความน่ารังเกียจของสภาพของจิต
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสกับสิงคาลกคฤหบดีบุตรแล้ว สิงคาลกะก็มีความเข้าใจแจ่มแจ้งในพระธรรม เห็นประโยชน์ และก็ขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ
ซึ่งข้อความในอรรถกามีว่า
ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงแสดงทิศ ๖ ให้สิงคาลกมาณพฟังจบลงแล้ว ก็เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ต่อไป ส่วนสิงคาลกมาณพก็ได้ตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์ ได้สละทรัพย์ ๔๐ โกฏิออก ทำให้เป็นประโยชน์ในพระพุทธศาสนา เวลาทำกาลกิริยา ก็ได้ไปเกิดในสวรรค์
สิ่งที่คฤหัสถ์ควรทำ ได้มีอยู่ในพระสูตรนี้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น พระสูตรนี้จึงได้นามว่า คิหิวินัย ผู้ที่ปฏิบัติตามพระสูตรนี้ ย่อมมีแต่ความเจริญ หาความเสื่อมมิได้
ถ. สิงคาลกสูตรที่อาจารย์ได้กล่าวมาแล้ว ถ้าใครทำได้ ก็ดีทั้งนั้น ต้องดีแน่ แต่ปัญหามีอยู่ว่า ถ้าเราทำได้ตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ แต่ฝ่ายตรงกันข้าม สมมติว่า เราเป็นบิดามารดาทำตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ แต่ว่าบุตรไม่ได้ทำตามหน้าที่ของบุตร หรือว่ามิตรสหาย เราก็ทำตามหน้าที่เป็นมิตรสหาย แต่มิตรสหายของเราไม่ได้ทำหน้าที่ของมิตรสหายตอบแทนกับเรา ทำให้เราทำหน้าที่ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ไม่ได้ตลอด ปัญหาอยู่ตรงนี้
สุ. ห่วงใยใครที่ทำไม่ได้ตลอด กังวลถึงผลที่จะได้รับจากคนอื่น หรือคิดถึงกิเลสของตนเองซึ่งควรจะละ
ถ. คนอื่นเราไม่คิดถึง นึกถึงตัวเองว่า จะเป็นการขัดขวางให้เราทำดีไปตลอดไม่ได้
สุ. ทำไมจะไม่ได้ ในเมื่อความดีของตนเอง ตนเองเท่านั้นที่จะกระทำ ไม่คำนึงถึงบุคคลอื่นว่าจะตอบสนองในลักษณะใด เพราะว่าเป็นเรื่องของเขา กิเลสของใคร คนนั้นก็ต้องละ เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นกิเลสของท่านเอง ถ้าไม่ประพฤติให้ถูกต้องตามที่ควรประพฤติ ขณะนั้นก็เป็นอกุศลจิต ซึ่งไม่ควรสะสม แต่ควรจะขัดเกลาด้วยการประพฤติตามคิหิวินัย คือ ข้อประพฤติปฏิบัติของคฤหัสถ์ เท่าที่สามารถจะกระทำได้ เท่าที่ปัญญาจะเห็นประโยชน์
ถ. รู้ว่ากุศลควรเจริญ แต่กิเลสของตน บางทีก็เห็นว่าดี บางทีก็เห็นว่าไม่ดี
สุ. กิเลสดีมีหรือ
ถ. มี
สุ. เห็นผิดไหม ถ้าเห็นอย่างนั้น ไม่ใช่เห็นถูก
ถ. ก็รู้ว่าเห็นผิด แต่อารมณ์ทำให้เราทำความดีไม่ได้ตลอด เพราะว่ากิเลสของเรายังมี ทนต่ออารมณ์ไม่ได้ บางครั้งก็ยังมีที่ไม่เชื่อกรรมและผลของกรรม คือ คนบางคนเขาถือว่า เขาทำความดีมาตลอด แต่ว่าด้านฐานะการเงินเอย เพื่อนฝูงมิตรสหายเอย ก็ยังหาดีไม่ได้ ทำให้เขาท้อถอยจากความดี การประพฤติความดี คือ การประสบต่ออนิฏฐารมณ์จะมาขวางกุศลของเขา
สุ. ที่ว่าทำดีมาตลอด ความดีที่คิดว่าทำมามาก จริงๆ แล้วเท่าไรก็ยังไม่พอ เพราะว่าอกุศลจิตยังมีโอกาสที่จะเกิดอยู่เรื่อยๆ และทำไมจึงคิดถึงเฉพาะความดีในปัจจุบันชาติ ความไม่ดีในอดีตลืมเสียแล้วหรือว่าเคยมีหรือเปล่า ถ้าลืมก็ควรที่จะนึกขึ้นได้ว่า สภาพธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นได้นั้นต้องมีเหตุปัจจัยจึงจะเกิดได้ ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่ละขณะที่จะเกิดขึ้นประสบกับอิฏฐารมณ์บ้าง อนิฏฐารมณ์บ้าง ต้องมีเหตุปัจจัยที่ได้กระทำแล้ว และไม่ใช่คนอื่นกระทำ ตนเองเท่านั้นเป็นผู้กระทำกรรมนั้น
ถ้าจะดูแต่เฉพาะปัจจุบันชาติว่า ทำความดีมาโดยตลอด ก็ควรจะคิดเลยไปตลอดถึงอดีตชาติด้วยว่า อกุศลกรรมย่อมได้เคยกระทำมาแล้ว มิฉะนั้นผลอย่างนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น
ข้อสำคัญที่สุด คือ อย่าให้การคิดหรือคำนึงถึงบุคคลอื่นเป็นอุปสรรคในการที่จะขัดเกลากิเลสของตนเอง และควรระลึกว่า ความดีที่ได้ทำมาแล้วทั้งหมด ไม่พอ ทำเท่าไรก็ยังไม่พออยู่นั่นเอง ถ้าเทียบส่วนกับอกุศลจิตที่เกิดในวันหนึ่งๆ ความดีที่ได้ทำเล็กน้อยเหลือเกิน ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน สติที่จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามปกติตามความเป็นจริงได้ ก็ไม่ใช่ว่าจะมีมากมายหลายขณะ และถึงแม้ว่าสติจะระลึกบ้าง พิจารณารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ปัญญาก็เจริญขึ้นเล็กน้อยเหลือเกิน ทีละเล็กทีละน้อยจริงๆ ต้องเป็นผู้ที่อดทนและไม่ละทิ้งการเจริญกุศล ไม่ท้อถอยการอบรมเจริญปัญญาให้ยิ่งขึ้น และในขณะที่ปัญญาไม่เกิด สติไม่เกิด ขณะนั้นก็ต้องเป็นอกุศลแล้ว
เพราะฉะนั้น ควรที่จะเห็นว่า กุศลเท่าไรก็ไม่พอ และก็ควรเจริญกุศลทุกประการด้วย ไม่ควรคำนึงถึงคนอื่น เพราะว่าลักษณะของสติปัฏฐานจริงๆ นั้น เป็นสภาพที่ทำให้รู้ชัดในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่เคยยึดถือว่าเป็นตัวตน และก็เป็นปัญญาที่รู้ขึ้นจนกระทั่งประจักษ์ได้ว่า ตัวตนไม่มี ที่เคยเป็นเราจะดีจะชั่วขณะหนึ่งขณะใด ก็เป็นแต่เพียงสภาพธรรมแต่ละลักษณะที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ตามความเป็นจริง
ถ. คำว่ากรรมในอดีต เราไม่อาจระลึกได้ แม้แต่กรรมในชาตินี้ บางทีเมื่อได้รับวิบากแล้ว ก็ยังนึกไม่ได้ทันที นอกจากทนความเร่าร้อนไป และค่อยๆ เจริญสติค่อยๆ ระลึกได้ ประมาณ ๑๐ กว่าปีมาแล้ว ดิฉันได้ทำอกุศลอย่างหนึ่ง ซึ่งตอนนั้น ดิฉันเป็นคนหยาบกว่านี้มาก ยังไม่เคยเจริญสติ มีสุนัขมาออกลูกที่บ้านมากมาย หลานดิฉันก็ขนไปทิ้ง ๒๐ กว่าตัว ทำให้พลัดแม่พลัดลูกกัน เขาเอาไปทิ้งที่วัดไหนก็ไม่รู้ ดิฉันไม่ได้ออกคำสั่ง แต่ดิฉันก็ยินดีในการที่เขาเอาไป เพราะอยู่ที่บ้าน กลางคืนมืดๆ เด็กใส่รองเท้าไปเหยียบ บางทีก็ตาย ทำให้เราเกิดความเศร้าใจ และขณะนั้นพอเขาขนไปดิฉันก็สบายใจ ดีใจด้วย เป็นอกุศลขณะนั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นอกุศล ที่นี้ต่อมาถึงบัดนี้ดิฉันก็ได้เจริญกุศล และดิฉันก็ได้ลืมเหตุการณ์ในอดีตนั้นไปแล้ว ซึ่งเป็นชาตินี้แท้ๆ
ต่อมาดิฉันก็เกิดได้รับวิบาก ที่ทำให้พลัดแม่พลัดลูก มีคนยื่นมือเข้ามายุยงให้เกิดกินแหนงแคลงใจกัน ซึ่งเด็กของดิฉันก็เชื่อตามเขา และวิบากก็ได้เกิดขึ้น มีการขัดใจกัน ดิฉันก็เสียใจ ซึ่งถ้าหากเป็นเมื่อก่อนนี้ก็คงพูดกันให้รู้เรื่องไปเลย แต่มาถึงตอนนี้สิ่งที่ดิฉันทำไม่ได้ก็คือว่า ถ้าหากดิฉันจะทำให้ลูกดิฉัน หรือน้องดิฉัน หรือญาติเพื่อนฝูงก็ตาม ทำให้มีเรื่องขัดอกขัดใจกับคนหนึ่งคนใด คือ หมายความว่ามีปิสุณาวาจา ดิฉันกล่าวไม่ได้ ไม่ว่าดิฉันจะได้รับความไม่ถูกต้องในจิตใจอย่างไรก็ตาม พอดิฉันเจริญสติขึ้นมาบ่อยๆ ดิฉันสามารถรู้ว่าสภาพจิตของดิฉันเวลานี้เป็นอย่างไร ขณะที่ได้รับทีแรก ตั้งตัวยังไม่ทัน ก็มีความหม่นหมองมาก แทบจะไม่อยากจะมองคนที่เขาก่อเรื่องขึ้น แต่ว่าพอดิฉันเจริญสติบ่อยๆ มากๆ เข้า ดิฉันก็มีความสุขอยู่กับว่า สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น คือ ทุกขเวทนา เวทนาขันธ์ สติระลึกบ่อยๆ เข้าว่า ตัวดิฉันก็มีแต่ธาตุ แต่ขันธ์ ตัวของคนอื่นก็มีแต่ธาตุ แต่ขันธ์ ต่อมาดิฉันก็ระลึกได้ว่า เป็นเพราะกรรมอะไร เมื่อดิฉันยังไม่เคยประสงค์ร้ายต่อเขา ทำไมดิฉันจึงได้รับโทษอย่างนี้ พอดิฉันนึกย้อนหลังดู ก็พบว่าครั้งหนึ่งเมื่อ ๑๐ กว่าปีที่แล้วมา ดิฉันมีความยินดีมากที่เขานำหมาไปปล่อย และบัดนี้ก็เป็นวิบากที่ดิฉันได้รับ
สุ. ขออนุโมทนา ที่ท่านผู้ฟังเห็นประโยชน์ของพระธรรม และระลึกได้ ในขณะที่ประสบกับอนิฏฐารมณ์ต่างๆ
การที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ประสบกับอนิฏฐารมณ์ หรือว่าการพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย แต่แม้กระนั้นก็ไม่มีใครจะรู้ชัดได้ว่า ผลที่ได้รับในขณะนี้เกิดจากเหตุอะไรในอดีต เพียงแต่ว่าจะระลึกได้ถึงกรรมที่ได้กระทำแล้ว และก็ทราบว่าย่อมให้ผล แต่ว่าจะให้ผลเมื่อไรในขณะใดนั้น ก็ยากที่จะรู้ได้ แต่ก็ทำให้มีความมั่นคงในการเชื่อในกรรมของตนเองยิ่งขึ้นว่า ไม่ว่าจะประสบกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หรือว่าเหตุการณ์ใดๆ ก็ตาม ย่อมเกิดเพราะกรรมของตนเองทั้งสิ้น
ถ้าท่านถูกใครหลอกลวงสักคนหนึ่ง และท่านก็โกรธแค้นผู้ที่มาหลอกลวงท่าน นั่นเป็นการเพิ่มอกุศลของตนเอง เพราะว่าไม่ได้รู้ความจริงว่า เป็นกรรมของท่านเองที่ทำให้คนนั้นมาหลอกลวงท่าน ทำไมเขาไม่หลอกลวงคนอื่น ถ้าเขาเป็นนักหลอกลวง เขาก็หลอกลวงไปเรื่อยๆ แต่ทำไมจึงต้องเป็นท่าน ถ้าท่านไม่ได้กระทำเหตุไว้ในอดีต เขาก็คงจะหลอกลวงคนอื่น คงไม่ถึงคราวของท่าน แต่เมื่อท่านได้ประสบกับเหตุการณ์อย่างนั้น ก็เป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึงกรรมของท่านเองที่ได้กระทำแล้วว่า ท่านเองก็คงได้กระทำกรรมลักษณะอย่างนั้นมาแล้วในอดีต
เพราะฉะนั้น ชีวิตในสังสารวัฏฏ์คงจะไม่พ้นไปจากการที่จะประสบกับเหตุการณ์ต่างๆ อย่างเหตุการณ์ที่ท่านผู้ฟังเล่าให้ฟัง ซึ่งเป็นชีวิตจริง และเข้าใจว่าไม่ได้เกิดกับท่านเพียงคนเดียว ไม่ว่าในเรื่องการปล่อยสุนัข หรือปล่อยแมว หรืออะไรก็ตาม ย่อมเกิดซ้ำไปซ้ำมากับคนนั้นบ้าง คนนี้บ้าง เหตุการณ์คล้ายคลึงกันอย่างเดียวกัน และผลของอกุศลกรรมที่ได้รับก็ในลักษณะเดียวกัน คือ ย่อมจะมีบุคคลที่เข้าใจผิดหรือว่ามุ่งร้าย คิดร้าย กระทำให้เกิดความเสียหายทางกายและทางวาจาบ้าง
เรื่องของการที่จะได้รับความเสียหายจากการกระทำของคนอื่น เป็นสิ่งซึ่งจะเตือนให้ระลึกถึงกรรมในอดีตของตนเองได้ว่า ท่านคงได้เคยกระทำกรรมอย่างนั้น เพราะฉะนั้น เวลาที่สติเกิด ท่านผู้ฟังที่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนั้น จะเห็นคุณของสติจริงๆ ว่า ถ้าสติไม่เกิด ก็เป็นโอกาสของอกุศลจิตที่ยืดยาว และจะเป็นปัจจัยให้เกิดการกระทำทางกาย ทางวาจาที่เป็นอกุศลกรรม แต่เวลาที่สติเกิดขึ้น มีการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จะทำให้ท่านเบาจากอกุศลจิตในขณะนั้น และมีความเห็นถูกตามความเป็นจริงเกิดขึ้น ตามกำลังของปัญญาในขณะนั้น
ถ้าเป็นปัญญาขั้นที่รู้ในคุณโทษ ในเหตุ ในผล จะทำให้ท่านสามารถที่จะประพฤติในทางที่ถูกในทางที่ควร แต่ถ้าเป็นสติที่ระลึกรู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ก็ลืมเรื่องอื่นที่ท่านคิด และศึกษาระลึกรู้ลักษณะของสภาพที่กำลังปรากฏซึ่งเป็นสภาพรู้ เป็นนามธรรมแต่ละลักษณะในขณะนั้น ถ้าเป็นความไม่แช่มชื่นของจิต สติก็ยังสามารถที่จะเกิดขึ้นระลึกตรงลักษณะที่ไม่แช่มชื่น เห็นอาการที่ไม่แช่มชื่น โดยความไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ในขณะนั้นจะเห็นคุณของสติและปัญญาจริงๆ ว่า ทำให้เบาจากอกุศลธรรมทั้งปวง พร้อมกันนั้นก็ยังเป็นการที่ปัญญาจะรู้ชัดในสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล
ความรู้สึกไม่ว่าจะเป็นสุข เป็นทุกข์ เป็นโทมนัส เป็นโสมนัสใดๆ ก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย และก็ดับไปหมด เดี๋ยวนี้สภาพธรรมดับไปแล้ว ดับไปทุกขณะ ของเก่าไม่มีเลย มีแต่ของใหม่ สภาพธรรมใหม่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย และก็ดับไปอีกแล้ว ดับไปอย่างรวดเร็วเหลือเกินด้วยความไม่รู้ ถ้าสติไม่ระลึก ไม่ศึกษาในลักษณะของสภาพธรรมแต่ละลักษณะที่กำลังปรากฏ ซึ่งการศึกษานั้นดูเหมือนว่ามาก มีลักษณะของสภาพธรรมหลายประการ แต่ให้ทราบว่า ปรากฏเพียง ๖ ทางเท่านั้น คือ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
สภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ ปกติจริงๆ ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นเลย หรือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางหูในขณะนี้ ก็ไม่ต้องคิดถึงสภาพธรรมอื่น แต่ว่าระลึก ศึกษา รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ถ้าทางตามีสภาพธรรมปรากฏและหลงลืมสติ ไม่รู้ คิดว่าเห็นคน เห็นวัตถุสิ่งต่างๆ ก็คงจะเป็นเครื่องเตือนให้ทราบได้ว่า การศึกษาลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตายังไม่พอ จึงเห็นเป็นบุคคลต่างๆ เห็นเป็นสิ่งต่างๆ
เพราะฉะนั้น เมื่อทราบว่า การศึกษาสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ยังไม่พอ จึงระลึกและศึกษาทันที ในขณะนี้เอง ศึกษาโดยการเพียรที่จะรู้ว่า เป็นเพียงสภาพธรรมที่ปรากฏทางตาเท่านั้น และก็ขณะที่กำลังเห็น ก็เป็นเพียงสภาพธรรมที่รู้ ที่กำลังเห็นนี่ เป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ภพไหน ชาติไหนก็จะต้องศึกษาอย่างนี้ ทางหูก็เช่นเดียวกัน ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจก็เช่นเดียวกัน จนกว่าจะเป็นความเห็นถูกจริงๆ คือ ขณะที่เห็นไม่ติดใจ ไม่สนใจในนิมิต ในรูปร่างสัณฐาน ในอนุพยัญชนะ ในส่วนละเอียด เพราะรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตานั้นเป็นเพียงสภาพธรรมที่เพียงปรากฏเท่านั้น
ส่วนการตรึกนึกถึงรูปร่างสัณฐานนั้น เป็นขณะที่ไม่ใช่ขณะเห็น ต้องแยกออกจากกัน เพียรไปเรื่อยๆ ไม่ท้อถอย และมีความอดทนที่จะระลึกและก็รู้ในขณะนี้ ไม่ใช่ในขณะอื่น เริ่มรู้ขึ้นเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อย ถึงแม้ว่าจะเป็นความรู้ที่ยังไม่ชัด แต่ถ้าระลึกบ่อยๆ รู้บ่อยๆ วันหนึ่งก็สามารถที่จะเข้าใจเพิ่มขึ้น และก็ละคลายความเห็นผิดที่เคยยึดถือสภาพธรรมเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้ เพราะว่า ความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลไม่ได้อยู่ในหนังสือ ไม่ได้อยู่ในตำรา แต่อยู่ในขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้
เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่า ขณะใดที่ยังไม่มีการศึกษา ไม่มีการระลึกที่จะรู้ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น หาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนไม่ได้ ถ้ายังไม่รู้อย่างนี้ ก็จะต้องระลึก คือ ศึกษา ไม่ลืมที่จะรู้ไปเรื่อยๆ