แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 778
สุ. เวลานี้ที่ควรจะต้องอบรม คือ ปัญญา ที่จะให้รู้จริงในลักษณะของสภาพธรรมที่ทรงแสดงไว้และที่ได้ศึกษากัน โดยการศึกษาทราบว่า ไม่มีสัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนเลยสักขณะเดียว ไม่ว่าจะเป็นอกุศล หรือกุศลขั้นศีล กุศลขั้นสมาธิก็ตาม แต่เมื่อไรปัญญาจะประจักษ์แจ้งจริงๆ ว่าเป็นอย่างนั้น
ในขณะนี้ ในขณะที่กำลังเห็น ในขณะกำลังได้ยิน ในขณะกำลังได้กลิ่น ในขณะที่กำลังลิ้มรส ในขณะที่กำลังกระทบสัมผัส ในขณะที่กำลังคิดนึก ในขณะที่กำลังกระทำทานกุศล ในขณะที่วิรัติทุจริต ในขณะที่สงบ ทุกๆ ขณะไป สติสามารถที่จะค่อยๆ เกิดขึ้นศึกษารู้ลักษณะของสภาพธรรม จนกว่าปัญญาจะมั่นคงขึ้นถึงขั้นที่จะประจักษ์แจ้งจริงๆ ว่า เป็นแต่เพียงสภาพนามธรรมและรูปธรรมเท่านั้น ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
กุศลทุกขั้นดี แต่ที่ประเสริฐที่สุด คือ สติปัฏฐาน ซึ่งจะต้องอบรมนานทีเดียวกว่าปัญญาจะมั่นคงจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงว่า แม้อกุศลก็ไม่ใช่ตัวตน แม้กุศลก็ไม่ใช่ตัวตน
ระหว่างที่ท่านผู้ฟังยินดีพอใจในสมาธิ ถ้าสติระลึกรู้และแทงตลอดในสภาพที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ในขณะนั้นจะประเสริฐกว่าไหม ก็ย่อมประเสริฐกว่า แต่เมื่อยังไม่สามารถจะแทงตลอดในสภาพธรรมในขณะนั้นได้ ก็เป็นเครื่องเตือนให้ระลึกได้ว่า จะต้องอบรมเจริญสติปัฏฐาน ไม่ว่าจะเป็นนามธรรมใดรูปธรรมใดที่กำลังปรากฏขณะใด
ในขณะนี้แทนที่จะนึกถึงความสงบ การรู้ว่าการอบรมเจริญสติปัฏฐานนี้ยังไม่มั่นคงพอ เป็นปัจจัยที่จะให้เกิดระลึกได้ และศึกษาลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทางตามปกติยิ่งขึ้น
ผู้ฟัง ถ้าศึกษารู้ข้อปฏิบัติเรื่องสมาธิ เป็นกำไรชีวิตเพิ่มขึ้น ซึ่งผมบอกแล้วว่า ก่อนที่ผมยังไม่ได้ศึกษาเรื่องอารมณ์กัมมัฏฐานทั้งหลาย สติปัฏฐานบางครั้งก็เกิด บางครั้งก็ไม่เกิด แต่ภายหลังศึกษาเรื่องอารมณ์กัมมัฏฐานและปฏิบัติสมถภาวนาในชีวิตประจำวัน สติปัฏฐานก็เกิดด้วย ไม่ใช่ว่าจะไม่เกิดเลย และเป็นผลกำไรที่ สมถภาวนาก็เกิดด้วย เพราะฉะนั้น สมัยใดที่สติปัฏฐานไม่เกิด ตอนนั้นจิตก็เป็นอกุศลเป็นส่วนใหญ่ เมื่อศึกษาเรื่องอารมณ์กัมมัฏฐานแล้ว ก็ปฏิบัติขั้นของสมถภาวนา สลับกันไปในวันหนึ่งๆ จิตเป็นกุศลในขั้นสมถภาวนาก็มี จิตเป็นกุศลในขั้นวิปัสสนาภาวนาก็มี จิตเป็นกุศลในขั้นทานก็มี ในขั้นศีลก็มี ทำให้ครบทุกขั้น ถือว่าเป็นกำไรชีวิต
สุ. เรื่องของกุศลเป็นสิ่งที่ควรเจริญ แต่ต้องไม่ทิ้งการเป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน ที่สำคัญที่สุด อย่าติดอยู่เพียงกุศลขั้นทาน หรือขั้นศีล หรือขั้นความสงบ เพราะจุดประสงค์ในชีวิต คือ การดับกิเลสเป็นสมุจเฉท และเมื่อปัญญายังไม่มั่นคง ก็จะต้องอบรมเจริญปัญญา ซึ่งในขณะที่เจริญปัญญา ความสงบก็มีด้วย และศีลก็มั่นคงขึ้นด้วย
ก่อนที่จะกล่าวถึงเรื่องของสมถภาวนา หลายท่านที่ไม่ได้เจริญกุศลขั้นสมถะ คือ ความสงบของจิต ด้วยความไม่เข้าใจว่า แท้ที่จริงแล้วในขณะใดที่ความสงบเกิดขึ้นเพราะกุศลจิตเกิดขึ้น ถ้ากุศลนั้นไม่เป็นไปในทาน ไม่เป็นไปในศีล กุศลนั้นเป็นสมถะ เพราะฉะนั้น เมื่อเข้าใจอย่างนี้ แม้ว่าในขณะนั้นไม่ใช่ทานกุศล หรือไม่ใช่ศีล ขณะที่นั่งอยู่เฉยๆ นี้ ความเข้าใจเรื่องความสงบของจิตจะเป็นปัจจัยให้ระลึกในอารมณ์ที่เป็นสมถะ เกิดความสงบขึ้น และโดยที่เป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐานจะทราบได้ว่า ในบางครั้งสติปัฏฐานก็เกิด บางครั้งสติปัฏฐานก็ไม่เกิด เป็นแต่เพียงขั้นทานโดยสติปัฏฐานไม่ได้ตามรู้ว่า ไม่ใช่ตัวตน หรือว่าเป็นแต่เพียงขั้นศีลโดยสติปัฏฐานไม่ได้ระลึกรู้ว่า ไม่ใช่ตัวตน หรือว่าเป็นแต่เพียงความสงบของจิตโดยสติปัฏฐานไม่ได้ระลึกรู้ในขณะนั้น แต่ก็มีหลายขณะที่สติปัฏฐานเกิดขึ้นระลึกรู้แม้ในขณะที่เป็นอกุศล หรือเป็นทาน หรือเป็นศีล หรือเป็นความสงบของจิต
เพราะฉะนั้น กุศลทั้งหมดควรเจริญ แต่ต้องไม่ทิ้งการอบรมเจริญสติปัฏฐาน
ถ. ขอความกรุณาอาจารย์แยกให้ผมเข้าใจ เวลาที่ผมสวดมนต์ไหว้พระ รู้สึกว่าเป็นตัวตน แต่เมื่อสวดมนต์ไหว้พระเสร็จแล้ว เราจะปฏิบัติสติปัฏฐาน นั่นเป็นอีกตอนหนึ่ง นั่นไม่ใช่ตัวตน เรา เขา สัตว์ บุคคล
ขอให้อาจารย์ช่วยอธิบายว่า ตอนที่สวดมนต์ไหว้พระ เราจะทำอย่างไรว่า ไม่มีตัวตน สัตว์ บุคคล
สุ. ไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล มีแต่สภาพธรรมที่เกิดขึ้นรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ในขณะที่สวดมนต์ แท้ที่จริงแล้วเป็นนามธรรมที่คิดถึงคำสวดมนต์ นามธรรมเป็นสภาพรู้ อย่าลืม
การที่จะรู้ลักษณะของนามธรรมใกล้ชิดยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในขณะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส หรือคิดนึก ก็โดยการที่น้อมไปรู้ว่า สภาพรู้หรือธาตุรู้มีจริง คือ ในขณะที่กำลังเห็น เป็นสภาพรู้เป็นธาตุรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา ในขณะที่ได้ยิน เป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้เสียงที่ปรากฏทางหู เวลาคิดนึก เป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้ที่กำลังรู้คำที่คิด เพราะฉะนั้น ไม่มีตัวตน เป็นสภาพคิดหรือสภาพรู้คำที่เกิดขึ้นคิด อาจจะคิดอย่างอื่นก็ได้แทนที่จะเป็นสวดมนต์ แต่ไม่ว่าจะคิดอะไรก็ตาม สภาพธรรมที่มีจริงนั้น คือ ธาตุรู้คำที่ตรึกหรือนึกถึงคำต่างๆ
ถ. เพราะฉะนั้น เวลาสวดมนต์ก็นึกถึง
สุ. จะต้องระลึกได้ รู้ว่าขณะนี้เป็นสภาพที่กำลังคิด หรือกำลังรู้คำ อย่างขณะที่กำลังได้ยิน ก็มีสภาพรู้คำ ดูเหมือนว่าเสียงกับการรู้คำนี้แยกขาดออกจากกันไม่ได้เลย ในขณะที่กำลังฟังนี้ เสมือนว่าเสียงกับการรู้คำแยกออกจากกันไม่ได้ แต่ว่าตามความเป็นจริง เสียงกับได้ยินไม่ใช่ในขณะที่กำลังรู้คำ แต่การเกิดดับสืบต่อเร็วมากจนกระทั่งดูเหมือนว่า เสียงกับคำจะแยกออกจากกันได้อย่างไร
แต่ตามความเป็นจริง การได้ยิน กับการรู้คำ ไม่ใช่นามธรรมเดียวกัน เพราะฉะนั้น จึงเจริญสติ ศึกษา สำเหนียก รู้ว่าในขณะที่กำลังได้ยินเสียง ไม่ใช่ในขณะที่คิดคำหรือรู้คำ และในขณะที่กำลังรู้คำ เช่น ในขณะที่กำลังฟัง แม้ว่าจะมีเสียง และก็มีการได้ยินด้วย แต่แม้กระนั้นในขณะนั้น ก็ไม่ใช่ขณะที่กำลังรู้คำ
การอบรมเจริญสติปัฏฐาน ปัญญาจะต้องเจริญจนสามารถแยกรู้ลักษณะที่ต่างกันของนามธรรมซึ่งเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วจึงจะประจักษ์ว่า นามธรรมเกิดขึ้นแล้วดับไป เวลานี้ได้ยินเสียง กับรู้คำ ไม่ใช่นามธรรมชนิดเดียวกัน
ถ. เวลาที่สวดมนต์ เรานึกถึงนามธรรมใช่ไหม
สุ. แน่นอน ขณะนั้นไม่ใช่เรา นามธรรมคิดถึงคำสวด และบางครั้งทั้งๆ ที่กำลังสวดมนต์ นามธรรมอื่นก็คิดถึงเรื่องอื่นแทนสวดมนต์ ซึ่งก็ไม่ใช่เรา เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทั้งหมด เพราะฉะนั้น การอบรมเจริญสติปัฏฐานต้องทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ลืมตาอย่างไร หลับตาอย่างนั้น การรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมต้องตรงตามความเป็นจริง ปัญญาสามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้
ถ. ผมสงสัยสิ่งที่ปรากฏทางตา มีลักษณะอย่างไร
สุ. ทุกท่านเห็นอยู่เป็นประจำ แต่พอพูดถึงสิ่งที่ปรากฏทางตา จะต้องงง เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่า ในขณะเห็นนี่ เห็นสภาพธรรมที่มีจริง และเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น ซึ่งก่อนเจริญสติปัฏฐานไม่เคยรู้เลยว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ทุกครั้งที่เห็น เห็นเป็นคน เห็นเป็นสัตว์ เห็นเป็นวัตถุสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ จนกระทั่งแยกไม่ออกว่าเห็นอะไร ถ้าบอกว่า เห็นคน เห็นสัตว์ ไม่สงสัยเลยใช่ไหม แต่เมื่อบอกว่า เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น ดูเสมือนว่าไม่เคยเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเลย แต่ว่าตามความเป็นจริง จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม สภาพธรรมที่ปรากฏทางตาตามความเป็นจริง ไม่ปรากฏทางอื่น
ถ. ที่เห็นมากมาย เป็นสีสันต่างๆ เป็นอะไรกันแน่
สุ. สิ่งที่ปรากฏทางตา
ถ. รู้รวมๆ กันไป หรืออย่างไร
สุ. ไม่ใช่ ไม่ต้องคิดถึงสีต่างๆ ด้วย เดี๋ยวก็จะงงอีก เป็นสีนั้นสีนี้ แต่ให้เข้าถึงสภาพธรรมที่แท้จริงว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้เป็นของจริงแน่นอน เพราะกำลังปรากฏ เพียงแต่ไม่นึกถึงรูปร่างสัณฐาน จะทำให้เข้าใจความหมายของสิ่งที่ปรากฏทางตาทีละเล็กทีละน้อยว่า สิ่งที่ปรากฏทางตานี้เป็นสภาพธรรมที่ไม่ปรากฏทางอื่น
ถ. สิ่งที่ปรากฏทางตา
สุ. ไม่ปรากฏทางอื่น
ถ. จะไม่มีรูปร่างสัณฐานอะไรเลยหรืออย่างไร
สุ. เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏ และไม่ปรากฏทางอื่น สิ่งที่กลปรากฏทางตาจะไม่ปรากฏทางหู
ถ. อย่างหลับตา ถือว่ามีสิ่งที่ปรากฏทางตาหรือเปล่า มืด
สุ. ไม่ใช่ว่าคนอื่นจะตอบได้ แต่ท่านผู้ฟังจะต้องรู้ว่า ขณะที่หลับตาไม่ใช่หลับ ใช่ไหม เวลาที่หลับสนิทจะไม่รู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือคิดนึกเลย นั่นในขณะที่หลับสนิท ใช่ไหม
เพราะฉะนั้น เพียงในขณะที่หลับตา ไม่ใช่หลับ ถูกไหม ถ้าท่านบอกว่าท่านเห็น มีการเห็นเกิดขึ้นทั้งๆ ที่ไม่มีรูปร่างสัณฐานปรากฏเหมือนในขณะที่ลืมตา แต่การเห็นที่มีปฏิเสธได้ไหมว่าไม่ใช่เห็น ธรรมต้องตรง และก็จริง ถ้าหลับตาแล้วยังเห็น แต่ว่าเห็นเป็นสีหรือเห็นเป็นแสงสว่าง ไม่มีรูปร่างสัณฐาน ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นสภาพรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา โดยที่ไม่มีรูปร่างสัณฐาน
ถ. หลับตาแล้วรู้สึกว่า มืดๆ ถือว่าเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาไหม
สุ. ต้องมีเห็นขณะนั้น ไม่ใช่คนตาบอด คนตาบอดจะไม่มีแม้แต่สีสลัวๆ ปรากฏ ถูกไหม
ถ. ไม่ทราบว่า จะมืดๆ เหมือนเราหรือเปล่า เวลาเราหลับตา
สุ. ถึงไม่ตาบอด เพียงมโนทวารวิถีก็ไม่ปรากฏแล้ว ในขณะที่กำลังได้ยินเสียง ถ้าสติระลึกรู้ลักษณะของขณะที่ได้ยินซึ่งเป็นขณะที่สั้นที่สุด สั้นมาก เพียงชั่วขณะที่ได้ยินเสียงและก็ดับไป จะมีสัตว์ มีบุคคล มีตัวตนแทรกอยู่ในชั่วขณะที่มีธาตุรู้เสียงกำลังรู้เสียงไม่ได้ และในขณะนั้น สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ไม่สามารถปรากฏใน ชั่วขณะที่กำลังได้ยินเสียง เพราะฉะนั้น คนตาบอดไม่สามารถเห็นได้เลย หรือคนตาดีในขณะที่กำลังได้ยินเสียง ชั่วขณะนั้นจริงๆ สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ปรากฏไม่ได้
ถ. การเห็นแต่ละอย่าง ขณะนี้เห็นว่ามีอะไรมากมาย มีพระพุทธรูป มีรองเท้า มีไมโครโฟน กว่าจะรู้ได้ ต้องรู้ทีละอย่างหรืออย่างไร ต้องตรึกไปทีละอย่างหรือ
สุ. ต้องมีการคิดนึกถึงรูปร่างสัณฐาน
ถ. ตอนนี้รู้สึกว่า เห็นพร้อมกัน ปรากฏพร้อมกันหมดใช่ไหม
สุ. สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นเพียงสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ยังไม่ใช่การตรึกนึกถึงรูปร่างสัณฐานต่างๆ เวลาลืมตาทุกอย่างมีครบใช่ไหม แต่ถ้าไม่นึกก็ไม่รู้ อย่างใบไม้นี้ ถ้าไม่นึกถึงก็ไม่รู้ กลอนประตู ถ้าไม่นึกถึงก็ไม่รู้ แต่มี เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา
ถ. อย่างตอนนี้ใช่ไหม ไม่นึกก็ไม่ปรากฏ
สุ. ในขณะที่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา ในขณะนั้นไม่ใช่นึกถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่นึกถึงรูปร่างสัณฐาน เพราะฉะนั้น จะเข้าใจความหมายว่า ก่อนนึกถึงรูปร่างสัณฐาน คือ สิ่งที่ปรากฏทางตาจริงๆ ซึ่งกำลังปรากฏในขณะนี้
ถ. ในขั้นการระลึกนี่ คือ ก่อนที่จะเห็นว่าเป็นพระพุทธรูป เห็นเป็นหิ้งพระ ต้องตรึกนึกถึงรูปร่างสัณฐานของพระพุทธรูปก่อน
สุ. แน่นอน แต่ก่อนอื่นต้องมีเห็น ใช่ไหม และสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ก่อนนึกถึงรูปร่างสัณฐาน
ถ. ตอนเจริญสติ จะระลึกรู้อะไรก่อนก็ได้หรืออย่างไร
สุ. แล้วแต่สติ นามธรรมและรูปธรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่มีใครบังคับให้สติระลึกที่นั่นก่อน หรือที่นี่ก่อนได้ แต่ต้องรู้ว่า การอบรมเจริญสตินั้นเพื่อปัญญาเริ่มรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏสืบต่อกัน ทางหูฉันใด ทางตาฉันนั้น ทางหูมีการได้ยินเสียง และก็มีการคิดถึงคำ ปรากฏเสมือนว่าแยกกันไม่ออกเลยฉันใด ทางตาก็มีการเห็นสี และมีการตรึกนึกถึงรูปร่างสัณฐานอย่างรวดเร็ว ดูเสมือนว่าแยกกันไม่ออกเลยฉันนั้น
เพราะฉะนั้น จึงต้องอบรมเจริญสติปัฏฐานเพื่อที่จะแยกออก จึงจะปรากฏว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน แต่ไม่ใช่การคิดว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนเฉยๆ ก็จะหมดกิเลสได้
การประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏทุกวัน ตลอดเวลา โดยการที่รู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมซึ่งเกิดดับสืบต่อกันอย่างละเอียดจนกระทั่งสามารถแยกออกจากกันได้ก่อน จึงประจักษ์ความเกิดขึ้นและดับไปของนามธรรมและรูปธรรมแต่ละลักษณะได้ ซึ่งในขณะนั้นที่ประจักษ์อย่างนั้นจึงจะเห็นว่า ไม่ใช่ตัวตน เห็นจริงๆ ว่า ไม่ใช่ตัวตน เพราะว่าลักษณะของนามธรรมแต่ละลักษณะปรากฏตามความเป็นจริง ลักษณะของรูปธรรมแต่ละลักษณะปรากฏตามความเป็นจริง การเกิดขึ้นและดับไปของนามธรรมและรูปธรรมปรากฏตามความเป็นจริง จึงประจักษ์ชัดว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
ไม่ใช่นึก แต่เป็นการที่ปัญญาประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง
ถ. ไม่ใช่การนึกเอา
สุ. แน่นอน ไม่ใช่การนึก และก็เป็นปกติอย่างนี้ ทางตากำลังเห็น ยังไม่เคยระลึกเลย สติเริ่มเกิดขึ้น และค่อยๆ ศึกษาอบรมไปที่จะรู้ลักษณะของนามธรรมที่ปรากฏเกิดสืบต่อกันทั้งเห็นและคิดนึก ทางหู ทางจมูก
ถ. อย่างทางหู อาจารย์เคยบอกเสมอว่า จะมีแต่เสียงสูง เสียงต่ำ ใช่ไหม และได้ยินเสียงจะปรากฏลักษณะสัณฐานของเสียงอย่างไร สูงกับต่ำเท่านั้นหรือ
สุ. เสียงเป็นเสียง เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏทางหู
ถ. ที่ได้ยินนี้ ได้ยินเฉยๆ
สุ. ได้ยินเฉยๆ ลักษณะของเสียงต่ำก็เป็นเสียงต่ำ จะเปลี่ยนเป็นเสียงสูงเวลาได้ยินไม่ได้ ลักษณะของเสียงสูงก็เป็นเสียงสูงเวลาที่ได้ยิน จะเปลี่ยนเสียงสูงให้เป็นเสียงต่ำก็ไม่ได้ เพราะมีเสียงสูงเสียงต่ำที่ได้ยิน และสัญญาความจำในลักษณะของเสียงสูงเสียงต่ำนั้น เป็นปัจจัยให้เกิดคิดนึก หรือรู้เรื่อง รู้ความหมายของเสียงสูงเสียงต่ำที่ได้ยิน
ถ. เสียงที่ได้ยินมีสูงกับต่ำ ทางตาก็มีดำกับขาว ใช่หรือไม่
สุ. ทางตาก็มีสีต่างๆ สีอะไรก็เป็นสีนั้น เพียงแต่ว่าไม่ได้นึกถึงสี ไม่ได้นึกถึงสัณฐานของสี แต่ขณะนั้นรู้ว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา เพื่อละการติดในนิมิตและอนุพยัญชนะของสิ่งที่ปรากฏ ถ้าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาจริงๆ และไม่สนใจในนิมิตและอนุพยัญชนะก็จะรู้ว่า ขณะที่เห็นเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ และเวลาที่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร ก็เป็นการตรึกนึกถึงรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ
ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เหมือนกันหมด เวลาได้กลิ่น และมีการตรึกนึกถึงกลิ่น และก็รู้ว่าเป็นกลิ่นอะไร อย่างรวดเร็วเหมือนกัน