แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 846

ถ. ที่อาจารย์กล่าวมานี้เข้าใจทั้งหมด แต่เวลาปฏิบัติเป็นอย่างที่ผมกล่าวไว้จริงๆ และสังเกตไปเรื่อยๆ รู้สึกว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ที่มากระทบทางกายจะเป็นความจริงมากกว่า ถ้าเย็นมากระทบกาย รู้อยู่ที่เย็น ก็ยังเป็นปรมัตถ์ ไม่ใช่เป็นชื่อ แต่เราเห็นครั้งไร ก็รู้ว่านี่เป็นเพียงรูปๆ หนึ่ง แต่ยังเป็นชื่ออยู่นั่นแหละ รู้สึกว่า ทางกายจะชัดเจนดีกว่า

สุ. ทางเดียวไม่พอที่จะละการยึดถือนามธรรมและรูปธรรมว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน ขอให้ทราบว่า เป็นการเริ่มที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมทางหนึ่ง แต่ก็ยังมีทางอื่นอีกที่จะต้องรู้ต่อไป

ถ. คิดว่า ทางตาก็ดี ทางหูก็ดี ๒ ทางนี้ยาก แต่ทางกาย ทางลิ้น รู้สึกว่าจะง่ายกว่าทางตากับทางหู

สุ. ยากกว่า แต่ก็อบรมจนกระทั่งง่ายขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมทั้ง ๖ ทาง ๖ อารมณ์สืบต่อกัน ซึ่งนั่นหมายความว่า สติกับปัญญามีกำลังแล้ว แต่ถ้าไม่มีการอบรมทีละเล็กทีละน้อยไปเรื่อยๆ การที่จะรู้ชัดที่จะเป็นกำลังก็มีไม่ได้ การอบรมเจริญสติปัฏฐานต้องอดทนมากทีเดียว

ถ. เรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน ผมมีความรู้สึกว่า ความยากที่สุด คือ การเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติ ๑๐๐ % ยากที่สุด

สุ. ยากที่สุด เพราะปัญญาจะต้องรู้ตรงอย่างนี้จริงๆ จึงจะละกิเลสได้ ถ้าไม่สามารถที่จะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏตามปกติตามธรรมดาจริงๆ ไม่สามารถดับกิเลสได้เลย เพราะฉะนั้น ยาก แต่ให้รู้ความจริงว่า ปัญญาที่แท้จริงต้องสามารถประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามปกติที่ยากอย่างนี้

ถ. แต่เพราะปัญญายังไม่ถึง ขณะที่ผิดปกติก็ไม่รู้ว่าผิดปกติ นึกว่าปกติ คือ ผมเจริญสติปัฏฐานมาแล้ว ๗ - ๘ ปี ก็คิดว่าเป็นปกติ ขณะที่ยืน เดิน นั่ง นอน ขณะนั้นสติก็เกิดได้ พิจารณาได้ ก็คิดว่าเป็นปกติ แต่ไม่รู้ว่า ขณะที่สติเกิดขึ้น ขณะนั้นผิดปกติ คือ เมื่อสติเกิดขึ้นแล้ว ต้องการจะรู้อารมณ์ทางนี้ อารมณ์ทางนั้น บางทีอารมณ์ทางนี้ก็พิจารณาไปแล้ว อารมณ์ทางโน้นก็พิจารณาไปแล้ว ไม่มีอะไรจะพิจารณาต่อไป ซึ่งขณะนั้นผิดปกติแล้ว ก็ไม่รู้ว่าผิดปกติ เป็นอย่างนั้นมาตั้งหลายปี จนกระทั่งระยะหลังนี้จึงรู้ว่า อ้อ ขณะที่มีสติเกิดขึ้น สติก็เป็นอนัตตา จะรู้อารมณ์ทางหนึ่งทางใดก็รู้ได้ทุกๆ ทาง ทำไมจะไปเลือกรู้อารมณ์นั้นอารมณ์นี้ ซึ่งขณะนั้นผิดปกติ ผิดปกติมาตั้ง ๗ – ๘ ปีแล้วก็ไม่รู้ เพิ่งมารู้ระยะหลังนี้ว่า ขณะที่สติเกิดขึ้น ขณะนั้นไม่เป็นปกติ

สุ. ขออนุโมทนา ที่รู้ตามความเป็นจริงอย่างนี้ นี่เป็นปัญญาที่จะทำให้มีการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติจริงๆ มิฉะนั้นแล้ว ก็จะยังติดในการที่จะต้องการรู้บางสิ่งบางประการซึ่งไม่ใช่ปกติ ไม่ใช่หนทางที่จะทำให้รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้

ชีวิตของท่านผู้ฟังในวันนี้ย่อมแตกต่างกันตามการสะสม ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวท่าน ครอบครัว วงศาคณาญาติ มิตรสหาย ก็ต่างกันไปตามการสะสมของแต่ละบุคคล ซึ่งปัญญาจะต้องรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริงว่า ลักษณะนั้นๆ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน จึงจะเป็นปัญญาที่สามารถจะละการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้

ถ้าท่านประสบกับอิฏฐารมณ์ วันนี้สนุกมาก มีงานเลี้ยงพบปะมิตรสหายเพื่อนฝูง ขณะนั้นก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนตามความเป็นจริง และแม้ในขณะนั้น ผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน มีความเข้าใจถูกต้องเป็นปัจจัยเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้สติเกิด มีการระลึกได้ในขณะที่กำลังเห็นบ้าง กำลังได้ยินบ้าง กำลังรื่นเริง กำลังสนุกสนาน กำลังคิดนึก แล้วแต่ว่าในขณะนั้นสติจะระลึกที่กาย หรือที่เวทนา หรือที่จิต หรือที่ธรรมที่ปรากฏจริงๆ ในขณะนั้น ทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ นั่นจึงจะเป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน ที่ปัญญาสามารถจะคมกล้ารู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน โดยละเอียดจริงๆ เพราะไม่มีใครสามารถจะบังคับความรู้สึกได้ ไม่มีใครสามารถจะเลือกเห็นแต่สิ่งที่น่าพอใจได้ แม้ว่าเป็นอิฏฐารมณ์ สติก็จะต้องระลึกรู้ในขณะนั้นตามความเป็นจริงว่า ขณะเห็นเป็นสภาพรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

แต่ชีวิตของบางท่าน แทนที่จะประสบกับอิฏฐารมณ์ที่สนุกสนานรื่นเริง ก็อาจจะประสบกับอนิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ ข่าวร้ายต่างๆ โรคภัยเบียดเบียน ทางตาบ้าง หูบ้าง จมูกบ้าง ลิ้นบ้าง กายบ้าง นึกคิด เป็นสุขเป็นทุกข์ไปกับญาติมิตรวงศาคณาญาติทางใจบ้าง แต่ปัญญาจะต้องระลึกรู้สภาพของกาย หรือของเวทนา หรือของจิต หรือของธรรมในขณะนั้น และพิจารณารู้ลักษณะของนามธรรมซึ่งต่างกับรูปธรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ตามความเป็นจริง

ถ้าท่านผู้ใดจะเกิดริษยา อาฆาต ผูกโกรธบุคคลหนึ่งบุคคลใด ก็ไม่ใช่ตัวท่าน แต่เป็นสภาพธรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ซึ่งสติจะต้องระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้นตามความเป็นจริง นี่จึงจะเป็นปกติ ซึ่งปัญญาสามารถที่จะรู้ชัดได้จริงๆ อย่าคิดว่าปัญญารู้ไม่ได้ ถ้ารู้ไม่ได้แล้วไม่ใช่ปัญญาแน่นอน ไม่ต้องมีการอบรมเจริญ ไม่ต้องมีการบรรลุเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี หรือพระอรหันต์ แต่เพราะสติเกิดได้ ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละลักษณะตามความเป็นจริงได้ นั่นจึงจะเป็นผู้ที่อบรมเจริญปัญญา เพราะเป็นผู้ที่มีปกติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

เพราะฉะนั้น แม้ว่าท่านจะได้ฟังเรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน มรรคมีองค์ ๘ วิปัสสนาปัญญา หรือว่าท่านเคยอบรมมาบ้าง ท่านก็จะเห็นความต่างกันในขณะที่ยังไม่ใช่เป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน กับขณะที่เป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญ สติปัฏฐาน จะรู้ได้จริงๆ ว่า ปัญญาที่ละเอียดสามารถจะรู้ลักษณะของสภาพธรรม แต่ละลักษณะได้จริงๆ ในขณะที่กำลังปรากฏตามปกติ

และไม่ว่าจะฟังเรื่องของพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง หรือว่าจะอ่านโดยตรงจากพระไตรปิฎก ก็จะไม่พ้นจากข้อความที่จะให้เป็นผู้ที่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

เพราะฉะนั้น ในขณะนี้เองที่กำลังเห็น ท่านจะไม่ระลึกทางตาจะได้ไหม ในเมื่อพระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎกเพื่อที่จะให้เป็นผู้ที่รู้ชัดในสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ในพระไตรปิฎกไม่ได้เว้นทางตา ไม่ได้เว้นทางหู ซึ่งขณะนี้ท่านกำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็อบรมเจริญปัญญาน้อมระลึกรู้ว่า ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่สภาพที่กำลังรู้ คือ เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา จนกว่าจะเพิ่มความรู้ในลักษณะของนามธรรมขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เข้าถึงอรรถของสภาพรู้ ไม่ว่าจะรู้ทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็เป็นสภาพรู้ ซึ่งต่างกับสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย

เมื่อรู้ลักษณะของสภาพรู้ หรือธาตุรู้แล้ว ย่อมน้อมไปที่จะสังเกตในลักษณะของสภาพรู้ที่กำลังรู้ทางอื่นๆ ด้วย เช่นท่านที่บอกว่า ท่านรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางกาย แต่ว่าทางตานั้นยาก เวลาที่น้อมไปด้วยสติที่จะพิจารณารู้ในลักษณะของ ธาตุรู้หรือสภาพรู้ทางกาย ฉันใด ก็น้อมมาระลึกรู้ลักษณะของสภาพรู้ที่กำลังรู้ทางตา ฉันนั้น เพราะเป็นสภาพเดียวกัน คือ เป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ เป็นอาการรู้ เพียงแต่ว่าสิ่งที่ปรากฏนั้นต่างกัน แต่ลักษณะของสภาพรู้ หรือธาตุรู้นั้นยังคงเป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้อยู่นั่นเอง

ท่านผู้ฟังที่ป่วยไข้ ปวดหัว ตัวร้อน เป็นชีวิตจริงในขณะนั้น เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน สติเคยระลึกรู้ลักษณะของสภาพนั้น บ้างไหม

ทุกขเวทนาเป็นเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานขณะไหน ก็ขณะที่กำลังเป็นทุกข์ ขณะที่กำลังปวดหัว ขณะที่กำลังปวดฟัน ขณะที่สภาพของทุกขเวทนาทางหนึ่งทางใด ลักษณะหนึ่งลักษณะใดกำลังปรากฏ ปวดท้อง เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล

กำลังโกรธมีไหม วันหนึ่งๆ ก็จะต้องมีบ้าง สติระลึกรู้ลักษณะสภาพโกรธที่กำลังปรากฏ การอบรมเจริญสติปัฏฐานไม่เว้น ทุกอย่างที่เป็นของจริง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ตามปกติ โดยสภาพที่เป็นอนัตตาจริงๆ เพราะไม่สามารถที่จะบังคับบัญชาได้ ถ้าท่านยังไม่เคยระลึก ก็จะต้องรู้ว่า ถ้าสติไม่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติบ่อยๆ เนืองๆ ปัญญาที่จะรู้ชัดว่า สภาพธรรมนั้นๆ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ก็เกิดไม่ได้

กำลังหิวก็มี ใช่ไหม สติเคยระลึกบ้างไหม ทุกอย่างที่เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นจริงในชีวิตประจำวัน ที่ปัญญาจะรู้ชัดคมกล้าจริงๆ คือ สติสามารถที่จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ลักษณะของนามธรรมเป็นนามธรรม ลักษณะของรูปธรรมแต่ละลักษณะก็เป็นรูปธรรม ซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

กำลังเหนื่อย หลงลืมสติ ไม่เคยระลึก เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีวันที่จะรู้ว่า ขณะนั้นไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

ขณะนี้อะไรกำลังปรากฏ ถ้าสติไม่เคยระลึกจนชำนาญ ไม่สามารถที่จะรู้ได้เลย เฉยๆ หรือว่าโสมนัส หรือว่าโทมนัส ไม่พอใจ ขุ่นเคือง หรือว่าปวดเมื่อย เป็นทุกข์กายหรือทุกข์ใจ แต่ถ้าเป็นผู้ที่ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมโดยไม่เลือก สติจะไวขึ้น คมขึ้น ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมแต่ละลักษณะได้ และท่านผู้ฟังจะเห็นได้จริงๆ ว่า สติเองเป็นอนัตตา เมื่อเกิดขึ้นก็ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดทันที ตรงลักษณะของสภาพธรรมนั้น

เพราะฉะนั้น สติไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน ขณะใดที่มีการระลึกที่ลักษณะของ นามใดและรูปใด ขณะนั้นเป็นลักษณะของสติ ซึ่งเป็นอนัตตา ไม่มีการเลือก ไม่มีการคิดตระเตรียม เพราะมีความรู้จากการฟังว่า ปัญญาจะต้องรู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ เพราะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย

สำหรับข้อความในพระไตรปิฎกที่แสดงให้เห็นว่า แม้ว่าจะมีความเข้าใจในเรื่องของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายแล้วก็จริง และได้ฟังเรื่องของการเป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐานอยู่เนืองๆ บ่อยๆ แต่แม้กระนั้น สติก็เกิดยาก เพราะสติเป็นอนัตตา ปัญญาและสติเป็นสังขารขันธ์ ซึ่งต้องอาศัยการฟังมากๆ ปรุงแต่งจนกว่าสติจะเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง ทางใจบ้าง ซึ่งใน ขุททกนิกาย สุตตนิบาต ทวยตานุปัสสนาสูตร ข้อ ๔๐๕ มีข้อความที่ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเพื่อเกื้อกูลอนุเคราะห์ให้ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมตามความเป็นจริง

ข้อความมีว่า

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ถ้ามีผู้ถาม ฯลฯ พึงตอบเขาว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย นามรูปที่โลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ที่หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์เล็งเห็นว่า นามรูปนี้เป็นของจริง พระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นด้วยดีแล้ว ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า นามรูปนั่นเป็นของเท็จ นี้เป็นอนุปัสสนา ข้อที่ ๑

ก่อนที่จะฟังเรื่องของนามธรรมและรูปธรรม และการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ทุกท่านก็เชื่อจริงๆ ว่า สิ่งที่ท่านเห็นเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นคน เป็นสัตว์นั้นจริง แต่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า พระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นด้วยดีแล้ว ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า นามรูปนั่นเป็นของเท็จ นี้เป็นอนุปัสสนาข้อที่ ๑

ข้อความต่อไป

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย นิพพานที่โลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ที่หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์เล็งเห็นว่า นิพพานนี้เป็นของเท็จ พระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นด้วยดีแล้ว ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า นิพพานนั้นเป็นของจริง นี้เป็นอนุปัสสนาข้อที่ ๒

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนืองๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม ๒ อย่าง โดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ

พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

ท่านผู้มีความสำคัญในนามรูป อันเป็นของมิใช่ตนว่าเป็นตน จงดูโลกพร้อมทั้งเทวโลก ผู้ยึดมั่นแล้วในนามรูป ซึ่งสำคัญนามรูปนี้ว่าเป็นของจริง ก็ชนทั้งหลายย่อมสำคัญ (นามรูป) ด้วยอาการใดๆ นามรูปนั้นย่อมเป็นอย่างอื่นไปจากอาการที่เขาสำคัญนั้นๆ นามรูปของผู้นั้นแล เป็นของเท็จ เพราะนามรูปมีความสาบสูญไปเป็นธรรมดา นิพพานมีความไม่สาบสูญไปเป็นธรรมดา พระอริยเจ้าทั้งหลายรู้นิพพานนั้นโดยความเป็นจริง พระอริยเจ้าเหล่านั้นแล เป็นผู้หายหิว ดับรอบแล้ว เพราะตรัสรู้ของจริง ฯ

เวลานี้อะไรยังจริงอยู่ นามรูป หรือว่านิพพาน เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะเห็นจริงๆ ว่า นามรูปเป็นของเท็จ นิพพานเป็นของจริง ก็ต้องผู้ที่เป็นพระอริยบุคคล

เปิด  263
ปรับปรุง  16 ต.ค. 2566