แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 849
ถ. อย่างนี้การสะสมการฟังให้เกิดสติปัฏฐาน ให้เกิดปัญญา ก็เช่นเดียวกับ การที่เราสะสมโลภะ หรือโทสะ ซึ่งพอมีเหตุปัจจัยก็เกิด อย่างนั้นใช่ไหม
สุ. ใช่
ถ. ลักษณะที่หลีกเร้นอยู่ผู้เดียว มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว คืออย่างไร
สุ. ถ้าเด็ดเดี่ยว สติก็ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ นั่นคือ เด็ดเดี่ยว
ถ. คล้ายๆ จะแย้งกัน ที่ว่าเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดา เกิดขึ้นเอง แต่นี่คล้ายๆ กับว่า ทำขึ้นต่างหากอีกทีหนึ่งอย่างนั้น
สุ. เวลาที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมจบลง ภิกษุทั้งหลายมีจิตหลุดพ้น ไม่ถือมั่นบรรลุคุณธรรมเป็นพระอรหันต์ ในขณะที่กำลังฟังธรรม ขณะนั้นมีใจเด็ดเดี่ยวและเป็นผู้หลีกเร้นหรือเปล่า
ถ. หลีกเร้น แปลว่าอะไร
สุ. ขณะนั้นที่สติเกิด อยู่คนเดียว และไม่ใช่คนด้วย เป็นแต่เพียงสภาพนามธรรมที่กำลังรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา หรือนามธรรมซึ่งเกิดขึ้นรู้สิ่งที่ปรากฏทางหู หรือเป็นนามธรรมที่เกิดขึ้นคิดนึกต่างๆ ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ขณะนั้นหลีกเร้นไหม ยิ่งกว่าอยู่คนเดียว เพราะไม่มีแม้แต่สัตว์ บุคคล
ถ. ข้อนี้เข้าใจ แต่ที่ว่าเด็ดเดี่ยว
สุ. คือ ระลึกทันที ถ้าสติปัฏฐานของใครเวลานี้จะเกิดขึ้น เป็นผู้ที่เด็ดเดี่ยวจริงๆ
ถ. การสะสม เกิดขึ้นเอง แต่นี่คล้ายๆ กับทำให้เกิดขึ้น
สุ. ถ้าฟังด้วยความเป็นตัวตน พระไตรปิฎกทั้งหมดเป็นตัวตน แต่ถ้ารู้ว่า สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ว่าจะศึกษาพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก หรือพระอภิธรรมปิฎก ก็เข้าใจในอรรถว่า หมายความถึงสภาพที่เป็นอนัตตา เจริญสติ ฟังดูด้วยความเป็นตัวตนก็เหมือนกับว่า ต้องเป็นตัวท่านหรือบุคคลนั้นบุคคลนี้ที่จะกระทำการเจริญสติ แต่ถ้าฟังโดยเข้าใจในความหมายของอนัตตา สติเจริญ เกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุปัจจัย
มีข้อความไหนในพระไตรปิฎกซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า การรู้แจ้งอริยสัจธรรมไม่ต้องอาศัยการฟัง มีไหม ถ้าเห็นพระผู้มีพระภาค แต่ไม่ฟังพระธรรม จะเป็นพระอริยเจ้าได้ไหม
ถ. อย่างเราปฏิบัติ มีใจเด็ดเดี่ยว และก็ปฏิบัติ อย่างนี้จะได้หรือเปล่า
สุ. เรามีใจเด็ดเดี่ยว เราจะทำ ไม่ใช่การเจริญมรรคมีองค์ ๘
ถ. ลำบากจริงๆ
สุ. ลำบากมาก ที่จะต้องค่อยๆ ถอน ค่อยๆ ละความเป็นตัวตนออกจากมรรคมีองค์ ๘ ออกจากสติ ออกจากปัญญา ออกจากมรรคองค์อื่นๆ
ถ. ดูเหมือนความเพียรมีแต่พระอริยะ ปุถุชนไม่มีสิทธิหรือ ฟังๆ แล้ว ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น
สุ. ก่อนเป็นพระอริยะ ท่านผู้นั้นเป็นใคร
ถ. มีใจเด็ดเดี่ยว มีความเพียร เจริญสติปัฏฐาน ผมถามอาจารย์ว่า ยุคนี้ปัจจุบันนี้ ผู้ที่ปฏิบัติอย่างนี้จะเป็นอย่างไร
สุ. ก็ต้องเข้าใจในอรรถ คือ สติระลึกเดี๋ยวนี้ นั่นคือเด็ดเดี่ยว
ถ. ผู้ที่จะเป็นอริยะ เขาก็เหมือนกับเรา ถ้าไม่มีใจเด็ดเดี่ยว ไม่มีความเพียร จะเป็นได้อย่างไร
สุ. เด็ดเดี่ยว คือ ในลักษณะที่ว่า สติระลึกเนืองๆ บ่อยๆ ทันทีเดี๋ยวนี้ ขณะที่กำลังพูดนี่ คือ เด็ดเดี่ยว ไม่หวังความสงบ ไม่รอสถานที่หรือเวลา หรือไม่ต้องคอยนามนั้น รูปนี้ นั่นคือเด็ดเดี่ยวที่จะรู้ลักษณะของเวทนาความรู้สึกเดี๋ยวนี้ ลักษณะของจิตเดี๋ยวนี้ ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ นั่นคือเด็ดเดี่ยว แต่ ถ้าสติไม่เกิด ก็ไม่เด็ดเดี่ยว
ถ. อย่างที่คุณเมื่อครู่นี้บอกว่า สติเกิด แต่พิจารณาแล้วยังเป็นตัวตน ระลึกแล้วยังเป็นตัวตน จะเรียกว่ามีสติไหม
สุ. จะเอาตัวตนออกไปหมดได้ทันทีไหม
ถ. ไม่ได้ทันที แต่ถ้าเราระลึกบ่อยๆ เนืองๆ จะเป็นผู้มีใจเด็ดเดี่ยว มีความเพียรไหม
สุ. ถ้าสติไม่เกิด ปัญญาจะรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏได้ไหม
ถ. ไม่ได้
สุ. เพราะฉะนั้น ชั่วขณะที่สติเกิด เป็นขณะที่ปัญญาจะเจริญ แต่ว่าจะเจริญมากหรือน้อย เป็นเรื่องของการอบรม
ถ. ขณะที่ระลึกแล้วไม่รู้ จะเป็นปัจจัยให้ปัญญาเจริญไหม
สุ. ก็ระลึกต่อไปอีก ฟังต่อไปอีก ระลึกต่อไปอีก จนกว่าปัญญาจะเกิดขึ้น ต้องอดทนมาก
ถ. ยากที่สุดในโลก
สุ. เป็นพระอริยเจ้าไม่ง่าย เป็นอย่างอื่นง่าย แต่เป็นพระอริยเจ้าไม่ง่าย
ตามที่ท่านผู้ฟังได้ฟังเรื่องของมรณานุสสติแล้ว ย่อมจะเห็นได้ว่า ประโยชน์สูงสุดของการระลึกถึงความตาย คือ เพื่อให้ไม่ประมาท ซึ่งความหมายของคำว่า ไม่ประมาทในที่นี้ ก็หมายถึงขณะนี้ ถ้าประมาท คือ สติไม่เกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ
ขณะนี้ที่กำลังเห็น เป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน และสิ่งที่ปรากฏก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนด้วย เมื่อไหร่สติจะเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา
ยังไม่ชำนาญพอที่จะเห็นว่า ไม่ใช่คนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องนี้ แต่ถึงกระนั้นสติก็เริ่มที่จะเกิดระลึกได้ ค่อยๆ น้อมไปที่จะรู้ว่า ในขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ เป็นเพียงสภาพธรรมชนิดหนึ่งซึ่งปรากฏทางตาเท่านั้น ไม่มีตัวตน และไม่มีบุคคลหนึ่งบุคคลใดที่จะทำวิปัสสนา แต่เป็นเจตสิก ๘ ประเภท ซึ่งโดยปกติแล้วคือมรรค ๕ องค์ หรือเจตสิก ๕ ประเภท ทำกิจในขณะที่เกิดขึ้น เช่น ในขณะนี้ที่ฟัง กำลังเห็น เป็นสภาพรู้ อาการรู้ ธาตุรู้ ซึ่งกำลังรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา ต่างขณะกับที่กำลังได้ยิน ซึ่งเวลาที่หลงลืมสติ จะไม่ระลึกอย่างนี้เลย แต่เวลาที่สติเกิด ไม่หลงลืม ในขณะที่กำลังเห็นนี้เอง เริ่มที่จะระลึกได้ รู้ว่าเป็นเพียงสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ที่กำลังเห็น
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ตัวตนที่จะทำวิปัสสนา แต่มรรค ได้แก่ สติเจตสิก วิตกเจตสิกที่จรดในอารมณ์ที่กำลังปรากฏ และสัมมาวายามะ คือ ความเพียรชอบ ในขณะที่กำลังเห็น เพียรน้อมไปที่จะรู้ว่า ขณะนี้เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้ เจตสิกเหล่านี้ซึ่งเป็นมรรค กระทำกิจปฏิบัติธรรม เจริญขึ้น อบรมขึ้น จนกว่าจะชำนาญ ซึ่งไม่ใช่ตัวตนที่ชำนาญ แต่เป็นสติที่ชำนาญขึ้น ระลึกและไม่หลงลืมบ่อยขึ้น ขณะใดที่สติระลึกทางตา ยังไม่ชำนาญ ในครั้งต่อๆ ไปสติก็จะระลึกทางตาจนกว่าสติจะปฏิบัติธรรม คือ ปฏิบัติกิจของสติและชำนาญขึ้น ว่องไวขึ้น เป็นพละ เป็นกำลัง สามารถที่จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมสืบต่อกันได้ ไม่ว่าจะเป็นทางตาที่เห็น และเป็นทางใจที่คิดนึกถึงสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือว่าจะเป็นทางหูที่กำลังได้ยิน และเป็นทางใจที่กำลังคิดนึกถึงความหมายของคำที่กำลังได้ยิน
สติจะเจริญขึ้น โดยการที่เกิดบ่อยขึ้น กระทำกิจของสติชำนาญขึ้น จนกระทั่งเป็นพละ เป็นการเจริญอบรมของมรรคมีองค์ ๘ ไม่ใช่เป็นตัวตน หรือว่าเป็นบุคคลใดที่มีความสามารถที่จะทำวิปัสสนา ถ้ามรรคมีองค์ ๘ เหล่านี้ไม่เกิดขึ้นกระทำกิจ ขณะนั้นก็จะไม่มีการรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้น ความหมายของความไม่ประมาท คือ ขณะใดที่สติเกิด และระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางหนึ่งทางใด นั่นคือไม่ประมาท ซึ่งประโยชน์สูงสุดของมรณานุสสติ คือ เพื่อไม่ให้ประมาท โดยระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เป็นการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ไม่ใช่เป็นการไม่ประมาทอย่างอื่น แต่ไม่ประมาทโดยสติเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ
โดยความหมายที่เป็นประโยชน์สูงสุด ท่านผู้ฟังจะทราบได้ว่า ท่านเป็นผู้ประมาทหรือไม่ประมาท และเข้าใจความหมายของประมาทด้วยว่า ขณะใดที่หลงลืมสติ ขณะนั้นประมาท ขณะใดที่สติเกิด ขณะนั้นไม่ประมาท
เพราะฉะนั้น การที่จะระลึกถึงความตาย ก็เพื่อที่จะให้เห็นว่า ความตายย่อมจะเกิดขึ้นได้ในวันหนึ่งวันใด ขณะหนึ่งขณะใด ช้าหรือเร็ว ชาติหน้าอาจจะเป็นขณะต่อไป หรือวันต่อไป หรือสัปดาห์ต่อไป เดือนต่อไป ปีต่อไปก็ได้ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ เพราะไม่มีเครื่องหมายให้รู้เลยว่า ชาติหน้าของใครจะเป็นเมื่อไร
ถ้าพูดถึงชาติหน้า คือ หลังจากที่จุติและจะมีการปฏิสนธิ ถ้าชาติหน้าจะเป็นระยะที่ใกล้ที่สุด สั้นที่สุด ก็คือในขณะนี้ ประโยชน์คือทำให้เป็นผู้ที่ไม่ประมาท โดยเมื่อระลึกถึงความตาย ก็เกิดสติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้น การอบรมเจริญสติปัฏฐาน จะทำให้เป็นผู้ที่เจริญกุศลทุกประการ เพราะเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับสภาพธรรมที่เป็นกุศลให้เกิดขึ้นติดต่อกันได้ เพราะมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้อกุศลจิตเกิดขึ้นขณะใดขณะนั้นก็ย่อมเป็นอกุศลธรรม คือ เป็นโลภะบ้าง เป็นโทสะบ้าง เป็นโมหะบ้าง และวันหนึ่งๆ ก็มีมากเหลือเกิน แม้แต่ในขณะที่กระทำการกุศล ก็ไม่ได้หมายความว่า ตลอดเวลาเหล่านั้นอกุศลจิตจะไม่เกิดขึ้นเลย ซึ่งผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐานจะทราบได้ถึงขณะที่ต่างกันของอกุศลจิตและกุศลจิต เพราะปัญญาเป็นสภาพธรรมที่รู้ชัดตามความเป็นจริงในขณะที่สติเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
ขณะที่ให้ทาน สติเกิด สามารถที่จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ ปัญญาเป็นสภาพธรรมที่รู้ตามความเป็นจริงว่า อกุศลเป็นอกุศล ความยินดีพอใจในวัตถุทานที่ประณีต ถ้าเกิดขึ้นเป็นอกุศล และสติเกิดขึ้น จะรู้ว่าขณะนั้นไม่ใช่กุศล เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า อกุศลจิตย่อมมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นบ่อยๆ เนืองๆ แม้ในขณะที่กระทำการกุศล อกุศลจิตก็ย่อมเกิดได้ และการอบรมเจริญสติปัฏฐานต้องไม่ลืมว่า จะต้องระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏที่มีจริง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิต ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงพร่ำสอนที่จะให้เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน ระลึกรู้ลักษณะของกาย ของเวทนา ของจิต ของธรรม และก็ทรงแสดงพระธรรมวินัยอย่างมากในเรื่องที่จะให้เป็นผู้ที่ไม่ประมาทโดยการอบรมเจริญสติปัฏฐาน สำหรับบรรพชิต พระผู้มีพระภาคยิ่งทรงพร่ำสอนให้เป็นผู้ที่เห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย และทรงแสดงธรรมโดยนัยต่างๆ เพื่อที่จะให้เป็นผู้ที่ไม่ประมาทในการที่จะให้สติเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้น ชีวิตของคฤหัสถ์กับบรรพชิตก็ต่างกัน โดยเจตนาที่ต้องการจะอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมในเพศที่ต่างกัน ดังนั้นการอบรมขัดเกลาและการแสดงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงสำหรับบรรพชิต ก็ย่อมเป็นธรรมที่ละเอียดกว่าของฆราวาส ซึ่งใน สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค ทารุขันธสูตรที่ ๑ มีข้อความที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมกับพระภิกษุ
ข้อความมีว่า
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำคงคาแห่งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรเห็นท่อนไม้ใหญ่ท่อนหนึ่ง อันกระแสน้ำพัดลอยมาริมฝั่งแม่น้ำ คงคา แล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายเห็นหรือไม่ ท่อนไม้ใหญ่โน้น อันกระแสน้ำพัดลอยมาในแม่น้ำคงคา
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า
เห็น พระเจ้าข้า ฯ
เป็นชีวิตปกติประจำวันจริงๆ เรื่องของการฟังธรรม เรื่องของการที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังเป็นจริง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ท่านผู้ฟังก็คงจะอยู่ริมแม่น้ำหลายครั้ง และคงจะเห็นท่อนไม้ใหญ่ที่กระแสน้ำพัดลอยมา แต่เมื่อไม่ได้ฟังธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงในขณะนั้น ก็ย่อมจะไม่ตรึกไปในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ไม่ว่าชีวิตประจำวันจะเป็นอย่างไร ขณะไหน พระผู้มีพระภาคก็ทรงชี้แจง แสดงธรรมให้ภิกษุสามารถที่จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้นตามปกติ
ข้อความต่อไป ท่านจะเห็นได้ว่า เป็นเรื่องปกติธรรมดาจริงๆ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ถ้าท่อนไม้จะไม่เข้ามาใกล้ฝั่งนี้หรือฝั่งโน้น จักไม่จมเสียในท่ามกลาง จักไม่เกยบก ไม่ถูกมนุษย์หรืออมนุษย์จับเอาไว้ ไม่ถูกน้ำวนๆ ไว้ จักไม่เน่าในภายใน ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ท่อนไม้นั้นจักลอยไหลเลื่อนไปสู่สมุทรได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่ากระแสน้ำแห่งแม่น้ำคงคา ลุ่มลาดไหลไปสู่สมุทร ฉันใด ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ถ้าท่านทั้งหลายจะไม่แวะเข้าฝั่งข้างนี้หรือฝั่งข้างโน้น ไม่จมลงในท่ามกลาง ไม่เกยบก ไม่ถูกมนุษย์หรืออมนุษย์จับไว้ ไม่ถูกเกลียวน้ำวนๆ ไว้ จักไม่เป็นผู้เสียในภายในไซร้ ด้วยประการดังกล่าวมานี้ ท่านทั้งหลายจักโน้มน้อมเอียงเทไปสู่นิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่าสัมมาทิฏฐิย่อมโน้มน้อมเอียงเทไปสู่นิพพาน ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ฯ
ดูเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งการอบรมเจริญสติปัฏฐานก็เป็นธรรมดา ตามธรรม หรือตามธรรมชาติของสภาพธรรมที่เกิดขึ้น ถ้าสติเกิดขึ้นในขณะนี้ ทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ มีการจรดในลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรมตรงลักษณะของรูปธรรม หรือมีการน้อมระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมซึ่งกำลังเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ ตรงลักษณะที่เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ ปัญญาจะไม่เจริญขึ้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ และที่จะไม่น้อม ไม่เทไปสู่พระนิพพาน ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่จะต้องค่อยๆ เป็นไปทีละเล็กทีละน้อย แล้วแต่สติจะเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ในวันหนึ่งๆ ในเดือนหนึ่งๆ หรือว่าในปีหนึ่งๆ ในภพหนึ่ง ในชาติหนึ่ง มากน้อยเท่าไร ก็เป็นเหตุที่จะทำให้ปัญญาศึกษา พิจารณารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏจริงๆ และก็เพิ่มขึ้นจริงๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง ปัญญาย่อมคมกล้าสามารถที่จะน้อมไปสู่ลักษณะของนิพพานได้
ข้อความต่อไป
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ฝั่งนี้ได้แก่อะไร ฝั่งโน้นได้แก่อะไร การจมลงในท่ามกลางได้แก่อะไร การเกยบนบกได้แก่อะไร มนุษย์ผู้จับคืออะไร อมนุษย์ผู้จับคืออะไร เกลียวน้ำวนๆ ไว้คืออะไร ความเป็นของเน่าในภายในคืออะไร
อย่าลืมว่า การฟังพระธรรมเพื่อให้เข้าใจจริงๆ ถ้าจะฟังเผินๆ จะไม่เข้าใจเลยว่าที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ถ้าท่อนไม้จะไม่เข้ามาใกล้ฝั่งนี้หรือฝั่งโน้น จักไม่จมเสียในท่ามกลาง จักไม่เกยบก ไม่ถูกมนุษย์หรืออมนุษย์จับเอาไว้ ไม่ถูกน้ำวนๆ ไว้ จักไม่เน่าในภายใน
ดูเหมือนกับว่าเข้าใจพอสมควรตามพยัญชนะที่ได้ฟังในเรื่องของท่อนไม้ที่ลอยอยู่ในน้ำ แต่ว่าเข้าใจจริงๆ ชัดเจนหรือเปล่าว่า จุดประสงค์ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงนั้น เพื่อที่จะให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม เพื่อที่จะละความเห็นผิด การยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน
เพราะฉะนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งจึงได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเพื่อที่จะได้เข้าใจชัดเจนจริงๆ ว่า ที่พระผู้มีพระภาคทรงอุปมาฝั่งนี้ก็ดี ฝั่งโน้นก็ดี หรือการจมลงในท่ามกลางก็ดี เป็นต้นนั้น หมายถึงอะไร ในขณะไหน
ในขณะนี้หรือเปล่า เพราะพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้สภาพธรรมทุกกาลตามความเป็นจริง ฝั่งนี้ ฝั่งโน้น หรือว่าการจมลงในท่ามกลาง การเกยบก เป็นในขณะนี้หรือเปล่า