แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 940
ถ. การปฏิบัติสติปัฏฐานที่ว่า เห็น ให้รู้ว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่บุคคล ขออาจารย์ช่วยอธิบายให้เข้าใจด้วย
สุ. การอบรมเจริญปัญญา จะต้องเริ่มจากความเข้าใจในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏให้ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงก่อน ถ้ายังไม่มีความเข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ สติย่อมจะไม่เกิดขึ้น เพราะไม่รู้ว่าจะระลึกรู้อะไร เพราะฉะนั้น ก่อนอื่น จะต้องเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามปกติตามความเป็นจริง จึงจะเป็นปัจจัยให้สติระลึกได้ ที่จะศึกษา ที่จะพิจารณารู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ จนกว่าจะเป็นความรู้ชัด
เรื่องของปัญญาที่จะประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เป็นเรื่องที่จะต้องค่อยๆ เกิดขึ้น ค่อยๆ อบรมขึ้น ค่อยๆ ระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏขึ้น ไม่ใช่เป็นเรื่องทำ ไม่ใช่เป็นเรื่องเพ่ง ไม่ใช่เป็นเรื่องจ้อง แต่ว่าเป็นเรื่องที่จะต้องเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ ในขณะนี้นั่นเอง
สำหรับคำที่ได้ยินได้ฟังบ่อยๆ คงได้ยินคำว่า ธรรม ปรมัตถธรรม และ บัญญัติธรรม ซึ่งหมายความถึงสภาพธรรมทั้งหลายที่กำลังมีอยู่ กำลังปรากฏอยู่ ในขณะนี้นั่นเอง แต่จะต้องมีการศึกษา คือ การฟังและการพิจารณาจนกว่าจะเป็นความเข้าใจชัดเจนจริงๆ และไม่ใช่ว่าเมื่อได้ยินได้ฟังแล้ว ก็คิดว่าเข้าใจแล้ว หรือว่าพอแล้ว เพราะว่าธรรมทั้งหลายเป็นสิ่งที่ละเอียดมาก กำลังปรากฏอยู่ในขณะนี้ ทางตากำลังเห็น เป็นสภาพธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง รู้ชัดในลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ในขณะที่กำลังเห็นนี้แล้วหรือยัง
เมื่อยังไม่รู้ชัด จะต้องอาศัยการฟังเป็นขั้นต้นให้เข้าใจจริงๆ ก่อน สติจึงจะเกิดขึ้นบ้างที่จะระลึกรู้ลักษณะของการเห็น หรือการได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส การคิดนึก ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามปกติตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ก่อนอื่น อย่ารีบร้อน แต่จะต้องฟังและพิจารณาพระธรรมที่ ทรงแสดงให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น
เช่น คำว่า ปรมัตถธรรม เป็นสภาพธรรมที่มีจริงและกำลังปรากฏ กำลังเห็น เป็นสภาพธรรมที่มีจริงกำลังปรากฏ เป็นปรมัตถธรรม ซึ่งหมายความว่า เป็นธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
เมื่อได้ฟังพระธรรมเรื่องของสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ก็อย่าเพิ่งพอใจว่า รู้แล้ว เข้าใจแล้ว เพราะจุดประสงค์ของการฟัง เพื่อให้เข้าใจชัดเจนขึ้นจนกระทั่งประจักษ์แจ้งจริงๆ ในสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลของธรรมที่กำลังปรากฏ
ขณะนี้ทราบว่า ปรมัตถธรรมเป็นธรรมที่มีจริง ไม่ใช่ขณะอื่น แต่ขณะนี้เอง เดี๋ยวนี้เองที่เป็นปรมัตถธรรม เพราะไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เพียงเท่านี้ ก็ควรที่จะได้พิจารณาว่า ในขณะที่กำลังเห็น รู้ชัดจริงๆ อย่างที่ได้ฟังหรือเปล่าว่า สภาพธรรมทั้งหลายไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ต้องพิจารณา เพราะเหตุว่าพระธรรมที่ทรงแสดง แสดงลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง ที่ทนต่อการพิสูจน์ ที่สามารถจะอบรมเจริญปัญญา จนกระทั่งประจักษ์ชัดในลักษณะของสภาพธรรม นั้นๆ ตามความเป็นจริงได้
เพราะฉะนั้น จุดประสงค์ของการศึกษาธรรมโดยละเอียด เพื่อให้เข้าใจชัดและให้สติระลึกรู้จนกระทั่งประจักษ์ชัดแจ้งจริงๆ ในสภาพธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ซึ่งท่านผู้ฟังได้รับฟังและพิจารณา
ก่อนที่จะศึกษาเรื่องปรมัตถธรรม ไม่เคยรู้เรื่องของปรมัตถธรรมมาก่อนว่า หมายถึงสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน และตลอดเวลาที่ไม่รู้ลักษณะของปรมัตถธรรม ก็ต้องยึดถือสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เช่น ในขณะที่เห็น เป็นต้น เห็นเป็นคน เห็นเป็นสัตว์ เห็นเป็นวัตถุสิ่งต่างๆ ซึ่งในขณะนั้นจะกล่าวว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ได้ แม้ว่าพระผู้มีพระผู้มีพระภาคจะทรงแสดงว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่เวลาเห็น เห็นเป็นคน เห็นเป็นสัตว์ เห็นเป็นวัตถุสิ่งต่างๆ
เพราะฉะนั้น จึงต้องฟังให้เข้าใจเพื่อที่จะให้รู้ชัดจริงๆ ว่า ทำไมในขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้จึงไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่วัตถุสิ่งต่างๆ เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา กับสภาพที่กำลังเห็น คือ รู้สิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น
นี่คือสติจะเกิดได้ ถ้ามีความเข้าใจชัดจริงๆ ในความหมายของคำว่า ปรมัตถธรรม เพราะบางท่านเพียงได้ฟังย่อๆ ว่า ธรรมทั้งหลายไหลมาจากเหตุ มีเหตุเป็นแดนเกิด หรือว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา เพียงได้ยินสั้นๆ อย่างนี้ สามารถที่จะแทงตลอดในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เกิดขึ้นและดับไป แต่บุคคลนั้นต้องมีความเข้าใจจริงๆ ว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่เว้น
สิ่งใดสิ่งหนึ่ง คือ สิ่งที่กำลังปรากฏ ทางตาเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่วัตถุสิ่งของ แต่เป็นเพียงสภาพธรรม คือ สิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในขณะนี้ จึงเห็น
สิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ยังไม่ได้ประจักษ์ความดับไปของสิ่งที่กำลังปรากฏ และยังไม่ได้รู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมซึ่งเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เพราะฉะนั้น จึงต้องพิจารณาว่า ปรมัตถธรรม คือ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติตามธรรมดา ปัญญาที่รู้ชัดจนกระทั่งประจักษ์ความดับไปของสภาพธรรมที่เกิดในขณะนี้เป็นธรรมดา นั่นเป็นปัญญาที่สามารถจะประจักษ์ว่า สภาพธรรมที่กำลังปรากฏไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่วัตถุสิ่งของใดๆ ทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น ต้องพิจารณาไปด้วยเรื่อยๆ และต้องรู้ว่า จุดประสงค์ของการ ฟังแล้วฟังอีกเรื่องของ สิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา คือ สิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ให้ทำอย่างอื่น หรือไม่ใช่ให้มุ่งหวังอย่างอื่น เช่น ใครก็ตามที่จะไปจดจ้อง ไปเลือกอารมณ์ ต้องการรู้สิ่งซึ่งไม่ใช่ทางตาที่กำลังเห็นในขณะนี้ ทางหูที่กำลังได้ยินในขณะนี้ ทางจมูกที่กำลังได้กลิ่นในขณะนี้ ทางลิ้นที่กำลังลิ้มรสในขณะนี้ ทางกายที่กำลังกระทบสัมผัสสิ่งที่กำลังปรากฏ หรือ ทางใจที่กำลังคิดนึกในขณะนี้ ถ้ามุ่งไปทางอื่น ก็ไม่มีการอบรมเจริญปัญญาที่จะประจักษ์ชัดว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา
การที่จะเข้าใจเรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน สภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม จะต้องไม่เว้นการพิจารณาสิ่งที่กำลังปรากฏตามปกติในขณะนี้ตามความเป็นจริงนั่นเอง และก่อนที่จะเข้าใจชัดในลักษณะของปรมัตถธรรม ก็มีการยึดถือสิ่งที่ปรากฏ เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นวัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งไม่ใช่ความเห็นที่ถูก เพราะตรงกันข้ามกับที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น จะต้องรู้ตามความเป็นจริงว่า ก่อนที่จะเข้าใจลักษณะของปรมัตถธรรม ทุกท่านรู้เรื่องของบัญญัติธรรม รู้เรื่องของคำ รู้เรื่องของชื่อต่างๆ และไม่ใช่เพียงคำ หรือเพียงชื่อ ยังมีความทรงจำในเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏโดยชื่อ โดยคำต่างๆ ด้วย
เป็นความจริงไหม มีการนึกถึงคำไหม ตามปกติในวันหนึ่งๆ มีการนึกถึงชื่อไหม และไม่ใช่เพียงแต่คำ เพียงแต่ชื่อ แต่ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวของชื่อนั้นและคำนั้น ถ้าสติไม่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ ซึ่งไม่ใช่ชื่อ ไม่ใช่คำ และไม่ใช่เรื่องราวต่างๆ แต่เป็นสภาพธรรมที่มีลักษณะปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
และถ้ายังไม่สามารถที่จะแยกโลกของบัญญัติธรรม สมมติธรรมออกจากปรมัตถธรรม ย่อมไม่สามารถที่จะเข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม ซึ่งเป็นธรรมที่มีจริง ไม่ต้องเรียกชื่ออะไรทั้งหมด เพราะมีลักษณะปรากฏให้รู้ได้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ
เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจสภาพธรรม ๒ อย่างว่า ถ้าขณะใดที่นึกถึงชื่อ นึกถึงคำ นึกถึงเรื่องราวต่างๆ ขณะนั้นไม่ใช่การรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม แต่ว่าขณะใดที่มีการระลึกถึงลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏตามปกติ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ต้องมีลักษณะปรากฏแต่ละทาง ขณะนั้นเป็นปรมัตถธรรม
การอบรมเจริญสติปัฏฐานไม่ใช่เป็นการนึกถึงชื่อ นึกถึงคำ หรือว่านึกถึงเรื่อง แต่เป็นการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้น จุดประสงค์ของการเป็นผู้ที่อบรมเจริญปัญญาที่จะประจักษ์ชัดในลักษณะของสภาพธรรม คือ การฟังและการพิจารณาให้เข้าใจเรื่องสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จนกว่าสติจะเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะที่เป็นปรมัตถ์ของสภาพธรรมนั้น จึงจะเห็นตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
ถ. ที่อาจารย์กล่าวว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับไปเป็นธรรมดา นี่เป็นความรู้ของพระอริยเจ้าทั้งหลาย แต่ว่าปุถุชนไม่ได้รู้อย่างนั้น เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เห็นเป็นตึก เป็นบ้านช่อง เห็นทีไรก็เป็นตึกอยู่อย่างนั้น ถาวร ไม่เห็นดับเลย เพราะฉะนั้น การเห็นของปุถุชนกับการเห็นของพระอริยเจ้า ไม่เหมือนกัน
สุ. ที่ความเห็นของพระอริยเจ้าจะประจักษ์ชัดได้ว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ต้องหมายความว่า เข้าใจว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นหมายถึงอะไร สิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้หมายความถึงตึก หรือคน หรือบ้าน แต่หมายความถึงสภาพธรรมที่มีจริงที่ปรากฏทางตา เป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่ตราบใดที่ยังเห็นเป็นตึก เป็นคน เป็นบ้าน จะไม่มีการดับไปได้เลย
เพราะฉะนั้น จะต้องอบรมเจริญปัญญาระลึกได้ในขณะที่กำลังเห็นจนกว่าจะรู้ว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ และสภาพที่กำลังเห็นมีจริง ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏ แต่เป็นสภาพรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ในขณะนั้นจึงจะค่อยๆ รู้ขึ้นว่า ไม่ใช่เราที่เห็น และสิ่งที่เห็นยังไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะยังไม่ได้คิดถึงรูปร่างสัณฐาน เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏจริงๆ ที่ปรากฏได้ทางตาเท่านั้น
อบรมเจริญปัญญาจนกว่าจะรู้อย่างนี้ได้จริงๆ ในวันหนึ่ง จึงจะประจักษ์ความดับไปได้ แต่ไม่ใช่ให้ไปทำอย่างอื่น หรือว่าไม่ใช่ให้มุ่งจิตไปสู่ความสงบ โดยที่ไม่ระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
ถ. ปุถุชนทั้งหลายเห็นทีไรก็เป็นตึก เป็นบ้านช่อง เป็นสัตว์ บุคคล ทุกทีจะทำอย่างไร
สุ. เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่า ขณะที่ยังเห็นเป็นคน เป็นสัตว์ ขณะนั้นยังไม่ใช่ปัญญา จะต้องฟังเรื่องของสภาพธรรมที่ปรากฏ และมีความมั่นคงที่จะระลึกรู้ ศึกษาสิ่งที่ปรากฏจนกว่าจะปรากฏว่า ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ในขณะที่กำลังเห็น จึงจะรู้ชัดในอรรถที่ว่า สภาพธรรมทั้งหลายไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
ถ. ขณะที่ฟัง ขณะที่ศึกษาก็รู้อยู่ว่า สภาพธรรมทั้งหลายไม่เที่ยง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน นี่โดยการฟัง
สุ. ท่านผู้ฟังกล่าวว่า ก็รู้อยู่ แต่ขณะที่กำลังเห็น เห็นใคร
ถ. ขณะที่กำลังเห็น ก็เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนทุกที
สุ. เพราะฉะนั้น ยังดับไม่ได้ จนกว่าจะระลึกทางตาบ่อยๆ จนกว่าจะรู้ จริงๆ ปรากฏจริงๆ ว่า สภาพธรรมที่ปรากฏเป็นเพียงสิ่งที่สามารถปรากฏเฉพาะ ทางตา ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่วัตถุสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงสิ่งที่สามารถปรากฏเฉพาะทางตาเท่านั้น นี่เป็นสิ่งที่จะต้องศึกษาจนกว่าจะรู้ชัด
มีท่านผู้ฟังที่ถามว่า ทำไมจะเลือกอารมณ์ไม่ได้ในการที่จะเจริญสติปัฏฐาน เพราะมีทั้งกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน และธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน และจะเลือกให้จิตสงบเป็นสมาธิก่อนไม่ได้หรือ จากนั้นจึงจะให้ปัญญารู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ
แต่ว่าอย่าลืม ถ้าเป็นอย่างนั้น เมื่อไรจะมีการตั้งต้นที่จะระลึกสภาพธรรมที่กำลังเห็นในขณะนี้ เพราะว่ารอและหวังว่าจะให้สงบก่อน โดยการที่จะจดจ้องที่หนึ่ง ที่ใดให้เป็นสมาธิ แต่ว่าในขณะที่ชีวิตประจำวันตามปกติ ลืมตาขึ้นมาก็มีการเห็น ขณะนี้มีเสียงกระทบหู ก็มีการได้ยินเสียง เป็นปกติธรรมดาทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น เมื่อไรปัญญาจะเริ่มศึกษา สติจะเริ่มระลึก และค่อยๆ รู้ในวันหนึ่งๆ ก่อนที่จะเลือกอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด
ในวันหนึ่งๆ นี้ ชีวิตย่อมดำเนินไป ก่อนที่จะมีการคิดเลือกที่จะให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิอยู่ที่อารมณ์นั้นหรืออารมณ์นี้ เพราะฉะนั้น ก็ผ่านกิจวัตรประจำวันที่ลืมตาขึ้นมาก็มีการเห็น มีการบริหารรักษาร่างกาย มีการบริโภคอาหาร มีการกระทำกิจต่างๆ ซึ่งในขณะนั้นทั้งหมด ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ล้วนแต่เป็นลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏชั่วขณะจิตแต่ละขณะ ที่ไม่มีวันที่จะกลับมาอีกเลย เป็นชั่วขณะของสังสารวัฏฏ์จริงๆ ซึ่งเกิดและก็ดับไปโดยไม่รู้ เพราะไม่เคยระลึก และเมื่อมีการหวังที่ว่าจะให้จิตสงบ ในขณะที่นั้นก็ไม่มีการศึกษาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเห็นตามปกติ มีการได้ยินตามปกติ และเมื่อไม่มีการศึกษารู้ลักษณะของ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เป็นแต่เพียงความหวังว่า ถ้าสงบแล้วจะรู้ แต่นั่นก็เป็นเพียงความหวัง ตราบใดที่สติไม่ระลึกรู้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ตามปกติ
ด้วยเหตุนี้ ถ้าไม่เข้าใจเรื่องของการอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ลักษณะของ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริง ก็ไม่มีโอกาสที่จะประจักษ์ชัดในลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
ถ้ามีความต้องการความสงบ ในระหว่างนั้นจะมีความเพียรที่จะให้จิตเป็นสมาธิ โดยที่บางท่านก็ไม่รู้ความต่างกันว่า ขณะนั้นเป็นมิจฉาสมาธิ หรือว่าเป็นกุศลจิต ซึ่งถ้าเป็นมิจฉาสมาธิ ไม่ใช่กุศลจิต ขณะนั้นก็ไม่สงบ ถึงแม้ว่าจะจดจ่ออยู่ที่อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ในขณะนั้นไม่มีการศึกษารู้ลักษณะสภาพของความรู้สึก หรือว่าความต้องการ หรือความคิดในขณะนั้น ซึ่งเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยและก็ดับไป ไม่ใช่ตัวตน ถ้าขณะนั้นมีแต่ความต้องการให้จิตจดจ่อเป็นสมาธิอยู่นานๆ และก็หวังรอว่า ปัญญาจะเกิดขึ้นรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่าการที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจตามปกติตามความเป็นจริง ไม่ใช่สิ่งที่ง่าย
เมื่อไม่ใช่สิ่งที่ง่าย ก็จะต้องเริ่มอบรมที่จะต้องรู้ชัด รู้ทั่วในลักษณะของธรรม ไม่ว่าธรรมนั้นจะเป็นความรู้สึก หรือว่าจะเป็นความต้องการ ความพอใจ หรือว่า จะเป็นการคิดนึกในขณะหนึ่งขณะใดก็ตาม ล้วนแต่เป็นสภาพธรรมที่ปัญญาจะต้อง รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนอย่างไร โดยไม่ใช่เพียงขั้นฟังและเข้าใจ แต่จะต้องเป็นสติที่ระลึกรู้ในลักษณะของสภาพธรรมแต่ละลักษณะที่กำลังปรากฏตามปกติ
เพราะฉะนั้น จึงต้องฟังเรื่องของปรมัตถธรรม พร้อมกับการพิจารณาลักษณะของปรมัตถธรรมที่กำลังปรากฏรอบกายในขณะนี้
ไม่มีอะไรเลยที่ปรากฏทางตาที่จะไม่ใช่ปรมัตถธรรม สีสันวัณณะที่กำลังปรากฏ เป็นปรมัตถธรรม เป็นธรรมที่มีจริง มีลักษณะปรากฏให้รู้ แล้วแต่ว่าเมื่อไรปัญญาจะรู้ ซึ่งถ้าไม่อบรมก็ไม่มีวันที่จะรู้ และถ้าหวังที่จะไปทำอย่างอื่น ที่จะเลือกอารมณ์ต่างๆ ก็ไม่มีการที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามปกติตามความเป็นจริง