แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 943

. หลังจากเห็น ก็มีการคิด ขณะนั้นสติสามารถจะเกิดได้ไหม

สุ. สติสามารถระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมทั้งปวง ความคิดมีจริงหรือเปล่า ถ้าเป็นสิ่งที่มีจริง สติสามารถระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง เพราะมีลักษณะให้รู้ว่า ความคิดเป็นสภาพที่กำลังรู้คำ

ขุททกนิกาย มหานิทเทส สารีปุตตสุตตนิทเทสที่ ๑๖ ข้อ ๘๘๓ มีข้อความว่า

... คำว่า สารีบุตร เป็นนาม คือ เป็นชื่อ เป็นเครื่องนับ เป็นเครื่องหมาย เป็นบัญญัติ เป็นโวหาร เป็นชื่อ เป็นความตั้งชื่อ เป็นความทรงชื่อ เป็นเครื่องกล่าวถึง เป็นเครื่องแสดงความหมาย เป็นเครื่องกล่าวเฉพาะแห่งพระเถระนั้น ไม่ใช่แห่งปรมัตถธรรมอื่น

เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจว่า ปรมัตถธรรมเป็นสภาพธรรมที่มีจริง ส่วนชื่อต่างๆ คำต่างๆ เช่น คำว่า สารีบุตร เป็นนาม เป็นเครื่องนับ เป็นเครื่องหมาย เป็นบัญญัติ เป็นโวหาร เพราะหมายความถึงบุตรของนางพราหมณีชื่อสารี เป็นชื่อ เป็นความตั้งชื่อ เป็นความทรงชื่อ เป็นเครื่องกล่าวถึง เป็นเครื่องแสดงความหมาย เป็นเครื่องกล่าวเฉพาะแห่งพระเถระนั้น ไม่ใช่แห่งปรมัตถธรรมอื่น

ถ้าพูดถึงพัดลม เป็นชื่อ เป็นเครื่องหมาย เป็นบัญญัติ เป็นโวหาร เป็นเครื่องกล่าวถึง เป็นเครื่องแสดงความหมาย เป็นเครื่องกล่าวเฉพาะแห่งปรมัตถธรรมนั้น ไม่ใช่ปรมัตถธรรมอื่น

อย่าลืมว่า ต้องมีปรมัตถธรรม มีสภาพธรรมที่มีจริงๆ และมีการคิดถึงปรมัตถธรรมนั้น และก็มีโวหาร มีคำ มีชื่อ ซึ่งเป็นเครื่องนับ เป็นเครื่องหมาย เป็นเครื่องกล่าวถึง เป็นเครื่องแสดงความหมาย เป็นเครื่องกล่าวเฉพาะแห่งปรมัตถธรรมนั้นๆ แต่ว่าชื่อ ไม่มีจริงๆ เป็นแต่เพียงคำ แต่ปรมัตถธรรมนั้นเป็นสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น การที่จะอบรมเจริญปัญญาจะต้องเข้าใจตั้งแต่ขั้นต้นว่า สภาพธรรมใดมีจริง เป็นปรมัตถธรรม ส่วนสภาพธรรมใดไม่มีจริงๆ ก็เป็นเพียงโวหาร เป็นเพียงชื่อ หรือว่าเป็นเครื่องกล่าวถึง เป็นเครื่องหมายของปรมัตถธรรมนั้นๆ

. ฟังดูแล้วรู้สึกว่า บัญญัติทำให้ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานมีความลำบากมากพอสมควร เพราะว่าอยู่ในโลกของบัญญัติมานานมาก ทุกอย่างเมื่อเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสเป็นบัญญัติหมด แต่ถ้าเด็กเพิ่งเกิดใหม่ นำไปไว้ต่างหาก ไม่มีใครเข้าไปเกี่ยวข้อง ไปไว้ในป่า โตขึ้นมา เขาเห็นของต่างๆ เขาไม่เคยรู้จักชื่อเลย จะเป็นการเห็นโดยถูกต้อง เป็นปรมัตถธรรมได้หรือเปล่า เพราะเขาไม่เคยได้ยินว่าบัญญัติเป็นอย่างไร

สุ. โดยมากท่านผู้ฟังคิดถึงชื่อ เป็นคำ ใช่ไหม

. ใช่

สุ. แต่อย่าลืมว่า บัญญัติ หมายความถึงการนึกถึงรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏด้วย มิฉะนั้นแล้วจะไม่มีบัญญัติหรือว่าคำที่จะใช้สำหรับอาการที่ปรากฏนั้น

. เพราะนึกอย่างนั้น ถ้าทำวิธีนี้แล้ว เขาหมดโอกาสที่จะรู้ถึงชื่อหรือบัญญัติ เขาไม่รู้ภาษาอะไรทั้งสิ้น ทุกอย่างคงจะเป็นปรมัตถ์

สุ. ไม่ต้องอยู่ในป่า คนใบ้เห็นแล้วรู้ไหมว่า สิ่งที่เห็นเป็นอะไร หรือแม้แต่สัตว์เดรัจฉาน สุนัข แมว นก ก็รู้ว่าสิ่งใดเป็นอาหาร สิ่งใดไม่ใช่อาหาร สัตว์ทุกชนิด เสือในป่า ก็รู้ว่าสิ่งใดเป็นอาหาร รู้ว่าสิ่งที่มีชีวิตต่างกับสิ่งที่ไม่มีชีวิต

. สัญญาเจตสิก ถ้าจำในปรมัตถ์ที่ถูกต้อง หรืออบรมเจริญสติแล้ว เจริญมรรคแล้ว เมื่อปรากฏโดยภาวะความเป็นนามรูปแล้ว สัญญานี้จะมีคุณมากไหมในการเจริญสติปัฏฐาน หรือทำให้สติเกิดขึ้นครั้งต่อไปได้ถูกต้องหรือเปล่า

สุ. สัญญาเป็นสภาพที่จำ ไม่ลืมว่า เคยประจักษ์ในสภาพนั้นแล้ว ไม่มีการที่จะกลับไปเหมือนไม่รู้ หรือว่าเหมือนไม่เคยประจักษ์ในลักษณะของสภาพธรรมที่ได้ประจักษ์แล้ว

. จะเกื้อกูลให้สติและปัญญาครั้งต่อไปเกิดได้บ่อยขึ้น หรือถูกต้องขึ้นได้หรือเปล่า

สุ. ถ้าน้อมระลึกถึงและไม่ลืม ก็เป็นปัจจัย แต่อย่าลืมว่า มีสภาพธรรมอื่นที่เป็นปัจจัยให้เกิดทั้งอกุศลและกุศลต่างๆ ประเภทด้วย ไม่ใช่ว่าเมื่อประจักษ์แล้ว จะจดจำอยู่ตลอด ไม่ว่าจะมีการเห็น การได้ยินสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็จะไม่มีการเป็นไปตามสังขารขันธ์ที่ปรุงแต่ง ไม่ใช่อย่างนั้น แต่การที่จะประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมอีก และสภาพธรรมอื่น ต้องอาศัยการอบรมเจริญ สังขารขันธ์ทั้งหลายต้องปรุงแต่ง

คงไม่ลืมเรื่องจุดประสงค์ของการศึกษาธรรมว่า เพื่อรู้ลักษณะของสิ่งที่มีจริง ที่ปรากฏทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพื่อให้สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมและศึกษาพร้อมสติ จนกว่าจะเกิดปัญญาที่สามารถประจักษ์ในสภาพที่เป็นปรมัตถธรรม เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

และการที่จะฟังธรรมหรือศึกษาธรรมต่อๆ ไป ก็เพื่อความเข้าใจชัดในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งจะเกื้อกูลให้สติระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ แต่ไม่ใช่เพื่อที่จะเป็นบุรุษเปล่า หรือว่าเป็นการรู้เพียงปริยัติโดยที่การปฏิบัติไม่ตรงกับหนทางที่จะทำให้รู้ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง

. คนที่ฟังและเข้าใจ แต่ปฏิบัติยังไม่แจ้ง จะถือว่าเป็นบุรุษเปล่าหรือเปล่า สุ. ข้อปฏิบัติถูกไหม สำคัญที่การปฏิบัติ

. อย่างฟังที่อาจารย์ว่า ให้มีสติ มีปัญญา พิจารณาให้ชัดให้แจ้ง ถือว่าเป็นบุรุษเปล่าหรือเปล่า

สุ. ไม่ได้ต้องการสิ่งอื่นใช่ไหม ไม่ได้ไปจดจ้องที่อื่นที่จะให้จิตมั่นคงแน่วแน่เป็นสมาธิเสียก่อน หรืออะไร ใช่ไหม

. ใช่

สุ. เพราะฉะนั้น ก็มีเหตุที่จะทำให้ปัญญาสามารถเกิดขึ้นรู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรม สำคัญที่ข้อปฏิบัติถูก

จิตปรมัตถ์

ท่านผู้ฟังคงทราบเรื่องจุดประสงค์ของการศึกษาพระอภิธรรม หรือปรมัตถธรรมแล้วว่า เพื่อให้รู้ว่าสภาพธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็น สภาพธรรมที่มีจริง แต่ว่าสภาพธรรมนั้นๆ เป็นอนัตตา ทั้งๆ ที่ได้ยินได้ฟัง แต่ก็ยังไม่ประจักษ์ เพราะฉะนั้น จุดประสงค์ของการฟังต่อไป ก็เพื่อที่จะให้เข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏยิ่งขึ้น จนกระทั่งเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่จะทำให้สติเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นทางตาในขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ก็เป็นเรื่องของสภาพธรรมที่จะต้องเข้าใจขึ้น จนกระทั่งสติระลึกที่จะน้อมรู้ตามที่เคยได้ยินได้ฟังว่า ขณะที่กำลังเห็นไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เพราะเป็นสภาพรู้ทางตา และสิ่งที่ปรากฏก็เป็นสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถจะปรากฏทางตาเท่านั้น ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนใดๆ ทั้งสิ้น

หรือแม้ในขณะที่กำลังได้ยิน ก็จะต้องฟังเรื่องของสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตนที่กำลังรู้เสียง และเสียงก็เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่งซึ่งปรากฏทางหูเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ในขณะนี้ ตามปกติตามความเป็นจริง การฟังเรื่องของสภาพธรรมที่ปรากฏ เพื่อให้เข้าใจในขณะที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน เพื่อสติจะได้ระลึกถูกต้อง และปัญญาสามารถที่จะเพิ่มความรู้ในลักษณะของ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้ยิ่งขึ้น

ก่อนที่จะได้ศึกษาธรรม ดูเหมือนว่าท่านกำลังอยู่ในโลก กำลังประสบพบเห็นสิ่งต่างๆ ในโลก แต่ว่าตามความเป็นจริง สิ่งที่เข้าใจว่าโลก ทั้งหมดที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายนั้น ถ้าไม่มีสภาพรู้ที่กำลังเห็น ไม่มีสภาพรู้ที่กำลังได้ยิน ไม่มีสภาพรู้ที่กำลังได้กลิ่น ไม่มีสภาพรู้ที่กำลังลิ้มรส ไม่มีสภาพรู้ที่กำลังรู้เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหวที่กำลังปรากฏ ไม่มีสภาพรู้ที่กำลังคิดเรื่อง ต่างๆ ของสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย โลกจะมีได้ไหม

ที่เข้าใจว่าเป็นโลก หรือว่าอยู่ในโลก ทั้งหมดนี้ย่อมไม่ปรากฏเลย ถ้าไม่มีสภาพรู้ แต่เคยนึกถึงไหม ขณะที่กำลังเห็น หรือกำลังเข้าใจว่ากำลังอยู่ในโลก ว่าแท้ที่จริงแล้วโลกจริงๆ ที่จะปรากฏได้นั้นเพราะมีสภาพรู้ ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติศัพท์เรียกสภาพรู้นั้นว่า จิต

ถ้าคิดถึงภาษาไทย คำว่า จิต หรือคำว่า ใจ ดูเหมือนว่าทุกท่านเข้าใจดี เพราะทุกท่านมีจิต มีใจ แต่ว่านั่นเป็นแต่เพียงความคิดเรื่องจิต ไม่ใช่การรู้ลักษณะที่แท้จริงของจิต เพราะท่านยังยึดถือจิตใจของท่านว่าเป็นเรา แต่ตามความเป็นจริงให้ทราบว่า เป็นเพียงสภาพรู้

มีใครสามารถที่จะค้นหาสภาพรู้นี้ได้ไหม บางท่านที่ต้องการวัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหาร สิ่งของที่มีค่า เพชรนิลจินดาต่างๆ ท่านก็รู้แหล่ง ที่จะพบ ที่จะค้นหาว่า ท่านจะพบวัตถุสิ่งนั้นได้ที่ไหน อาจจะเป็นในโลกนี้ ในป่า ในเขา ใต้ดิน หรือว่านอกโลกออกไป ท่านก็ยังสามารถติดตามหามาได้ แต่ว่าท่านจะหาจิตใจพบไหม

จะไปหาจิต หาที่ไหนได้ เพราะจิตเป็นเพียงสภาพรู้ที่เกิดขึ้นรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏและดับหมดไปทันที นี่คือลักษณะที่แท้จริงของจิต ซึ่งเป็นสภาพรู้

เพราะฉะนั้น การที่จะค้นหาจิต ไม่ใช่เป็นการค้นหาวัตถุภายนอก ณ สถานที่หนึ่ง ณ สถานที่ใด แต่เป็นการระลึกรู้ลักษณะของสภาพที่กำลังรู้ คือ กำลังเห็น นี่เป็นจิตชนิดหนึ่งซึ่งรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ว่าสัมผัสกระทบด้วยมือ หรือว่าด้วยปสาทใดๆ ไม่ได้ เพราะเป็นเพียงธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยและดับไปอย่างรวดเร็ว แต่สภาพนี้มีจริง และเป็นสภาพที่มีความสำคัญมาก เพราะถึงแม้ว่าวัตถุภายนอกที่เป็นรูปธรรมทั้งหลายจะปรากฏเป็นความวิจิตรต่างๆ สักเพียงไรก็ตาม ถ้าสภาพรู้ไม่เกิดขึ้นรู้ สิ่งต่างๆ เหล่านั้นก็ไม่ปรากฏ และไม่มีความหมายอะไรเลย

ทุกสิ่งรอบตัวท่าน ดูเป็นสิ่งที่สำคัญ และท่านมีความผูกพัน ท่านมีความหวัง มีความต้องการ มีความปรารถนาในสิ่งที่ปรากฏทางตา ในเสียงที่ปรากฏทางหู ในกลิ่นที่ปรากฏทางจมูก ในรสต่างๆ ที่ปรากฏทางลิ้น ในการสัมผัสที่ปรากฏทางกาย แต่ให้ทราบว่า ถ้าจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ไม่เกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้นๆ ก็ไม่มีการรับรู้อะไรทั้งสิ้น ดีหรือไม่ดี ต้องคิด ต้องพิจารณา ท่านผู้ฟังท่านหนึ่งส่ายหน้าบอกว่าไม่ดี ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ก็ยังจะต้องมีการเห็น มีการได้ยิน มีการได้กลิ่น มีการลิ้มรส มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แต่ทุกขณะนั้นไม่เที่ยง

ท่านชินกับการเห็น ชินกับการได้ยิน ชินกับการได้กลิ่น ชินกับการลิ้มรส ชินกับการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ชินที่จะคิดนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ในวันหนึ่งๆ ในชาติหนึ่งๆ ในความเป็นบุคคลหนึ่งในภพหนึ่งชาติหนึ่ง จนกระทั่งเห็นว่า ถ้าไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีการได้กลิ่น ไม่มีการลิ้มรส ไม่มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่มีการคิดนึกถึงเรื่องต่างๆ เหล่านั้นแล้วไม่ดี คิดว่าเป็นอย่างนั้น ใช่ไหม

แต่ความจริง เพียงจิตไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป ไม่มีการที่จะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และคิดนึกถึงเรื่องราวของสิ่งที่เห็นทางตา ได้ยินทางหู เป็นต้น จะสงบไหม ไม่ต้องมีอะไรปรากฏเลย ดับสนิท ต้องการอย่างนี้หรือเปล่า

พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ทรงแสดงให้รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเพื่อให้เห็นความจริงว่า สภาพธรรมที่ปรากฏย่อมเกิดขึ้นและดับไป เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จึงไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน และสภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้อารมณ์ คือ ในขณะที่กำลังเห็น เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ ไม่ใช่ตัวตน จะต้องศึกษาจนกระทั่งเข้าใจชัดเจนในลักษณะของสภาพรู้หรือธาตุรู้ ซึ่งเป็นจิตที่กำลังเกิดดับ จนกว่าจะประจักษ์ชัด เพราะว่าไม่สามารถจะไปแสวงหาความจริงของจิตที่อื่นได้ นอกจากขณะที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังลิ้มรส กำลังรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส กำลังคิดนึก ในขณะนี้เอง

ทุกคนมีจิต เป็นสภาพรู้ที่กำลังรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดทางหนึ่งทางใด พร้อมที่สติจะเกิดขึ้นและระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ

กำลังเย็น เย็นปรากฏกับจิตซึ่งเป็นธาตุรู้เย็นที่กำลังปรากฏ ปกติธรรมดาอย่างนี้ สติระลึกทันทีได้ ถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้องและไม่หลงลืม ขณะนั้นสติจะระลึกที่สภาพเย็นซึ่งเป็นรูปธรรม เพราะมีลักษณะเย็น เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่งซึ่งเย็น ไม่ใช่เสียง ไม่ใช่กลิ่น แต่สภาพธรรมนั้นเย็น และในขณะนั้นก็มีธาตุรู้ สภาพรู้เย็นซึ่งเป็นจิต ซึ่งสามารถจะรู้ชัดได้ในวันหนึ่ง แต่ต้องเริ่มจากความเข้าใจก่อนว่า จิตเกิดขึ้นรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏทางหนึ่งทางใด

ผู้ฟัง นิพพานเป็นที่ดับกิเลส เป็นที่ดับตัณหา เป็นที่สละอุปธิทั้งปวง เพราะฉะนั้น ผมยังไม่อยากได้นิพพาน เพราะจะต้องสละอุปธิ ถ้าขณะนี้ให้ผมไม่เห็น ไม่ได้ยิน กลุ้มแน่ ถ้าขณะนี้ตาบอด หูหนวก ไม่อยากได้แน่

สุ. เพราะไม่ประจักษ์ชัดว่า ไม่ใช่ตัวตน ใช่ไหม ยังเป็นเราเห็น ยังมีความเป็นเรา เพราะฉะนั้น ก็มีความยินดี มีความต้องการที่จะเห็นต่อไป ยังไม่ประจักษ์ว่า แท้ที่จริงแล้วในขณะนี้ที่กำลังเห็น ต้องมีสภาพรู้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ต้องแยกลักษณะทั้ง ๒ นี้ออกจากกันว่า ในขณะที่กำลังเห็นมีสภาพรู้ สภาพรู้นั้นรู้สิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้นเอง สภาพที่รู้สิ่งที่ปรากฏทางตาจะทำอย่างอื่นยิ่งกว่านี้ไม่ได้เลย เพียงเห็นในขณะนี้ เป็นของจริงแค่เห็นที่กำลังเห็น จะให้เห็นไปคิดไปนึกอะไรก็ไม่ได้

ในขณะที่กำลังเห็น เป็นสภาพธรรมที่เพียงเห็นเท่านั้นเองจริงๆ ไม่ใช่ขณะอื่น และเห็นก็ต้องเห็นด้วย บังคับไม่ให้เห็นก็ไม่ได้ นี่คือความหมายของอนัตตา เพราะฉะนั้น ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรม ซึ่งบางท่านกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคไม่ได้ทรงแสดงพระอภิธรรม ในพระสูตรต่างๆ เป็นเรื่องของโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง และก็เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสบ้าง คิดนึกบ้าง ที่ทรงแสดงทั้งหมดในพระสูตรเป็นพระอภิธรรมทั้งนั้น เพราะว่าเป็น สภาพธรรมที่เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

เปิด  255
ปรับปรุง  16 ต.ค. 2566