แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 947

คามิกะ เรื่องจิต ผมจำภาษาบาลีที่เป็นพุทธพจน์ได้ มีว่าอย่างนี้

เอกจรํ อสรีรํ คูหาสยํ เย จิตฺตํ แปลตามตัวว่า จิตไม่มีตัวมีตน ดวงเดียวเที่ยวไป มีถ้ำเป็นที่อยู่อาศัย ถ้ำในที่นี้พระพุทธโฆษาจารย์ท่านอธิบายว่า หทยวัตถุนี้ คือ ถ้ำ เป็นที่อยู่ของจิต

สุ. ชัดเจน จิตเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นทีละขณะ คือ ทีละดวง และถ้าไม่มีที่อาศัยก็เกิดไม่ได้ ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ต้องอาศัยรูปเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้จิตเกิดขึ้น เพราะจิตไม่ได้เกิดขึ้นนอกร่างกาย หรือนอกรูป

ถ. เวลานี้วิทยาศาสตร์การแพทย์เจริญ สามารถนำเอาพลาสติกมาทำหัวใจแทนหัวใจจริงๆ ของคนได้แล้ว ไม่ทราบว่า จิตอาศัยพลาสติกอยู่ได้อย่างเดิมไหม

สุ. ถ้าศึกษาเรื่องของรูปโดยละเอียดจะทราบว่า รูปทั้งหมดมี ๒๘ รูป และใน ๒๘ รูป มีเพียงรูปเดียวเท่านั้น คือ วัณณะหรือวัณโณ เป็นรูปที่สามารถจะมองเห็นได้ รูปอื่นทั้ง ๒๗ ไม่สามารถที่จะเห็นได้ เช่น จักขุปสาท เป็นรูปที่มีลักษณะพิเศษที่สามารถรับกระทบเฉพาะสี จักขุปสาทจะกระทบกับเสียง หรือกับกลิ่น หรือ กับรูปอื่นๆ ไม่ได้ จักขุปสาทเป็นรูปพิเศษซึ่งมีลักษณะสามารถกระทบเฉพาะ สีสันวัณณะที่ปรากฏทางตา แต่จักขุปสาทมีใครมองเห็น เพราะถ้าเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็ตามด้วยตา เห็นได้เฉพาะวัณณะซึ่งเป็น ๑ ใน ๒๘ รูป จักขุปสาทไม่ใช่วัณณะ แต่เป็นรูปที่อยู่กลางตา มีลักษณะพิเศษที่สามารถรับกระทบสีสันวัณณะต่างๆ

เช่นเดียวกับโสตปสาท อยู่กลางหู เป็นรูปที่มีลักษณะพิเศษที่สามารถรับกระทบเฉพาะเสียง กระทบอื่นไม่ได้ กระทบรสไม่ได้ แต่เวลาที่มองเห็น มองเห็นสิ่งที่ปรากฏเป็นใบหู และอวัยวะส่วนต่างๆ ในช่องหู แต่ไม่สามารถเห็นโสตปสาทได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นรูปใดๆ ก็ตาม ภายในหรือภายนอกที่ปรากฏทางตา รูปหนึ่งรูปเดียวเท่านั้นใน ๒๘ รูป ที่สามารถปรากฏเป็นสิ่งที่มองเห็นทางตาได้

เพราะฉะนั้น หทยวัตถุไม่ใช่สิ่งที่ตามองเห็นเป็นรูปหัวใจ แต่เป็นรูปที่เกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย ตราบใดที่กรรมยังเป็นปัจจัยให้หทยวัตถุรูปเกิดขึ้น หทยวัตถุนั้นเป็นที่อาศัยเกิดของจิตเกือบทั้งหมด เว้นจิต ๑๐ ดวง คือ ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวง ได้แก่ จักขุวิญญาณที่กำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา โสตวิญญาณที่กำลังได้ยินเสียง ในขณะนี้ เป็นต้น ไม่ได้เกิดที่หทยวัตถุ

เพราะฉะนั้น รูปอีก ๒๗ รูป มองไม่เห็น และเวลาที่มีการเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ในภพนี้ ในชาตินี้ คือ ในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น ปฏิสนธิจิตและเจตสิกเป็นวิบาก คือ เป็นผลของกรรม กรรมหนึ่งที่ได้กระทำแล้ว เมื่อจุติจิตของชาติก่อนดับไป กรรมนั้นเป็นชนกกรรมทำให้ปฏิสนธิจิตและเจตสิกเกิดขึ้นพร้อมกับรูป ถ้าในภูมิที่มีขันธ์ ๕ เช่นในมนุษย์นี้ ก็มีกลุ่มของรูป ๓ กลุ่ม เรียกว่า ๓ กลาปะ หรือภาษาไทยใช้คำว่า กลาป คือ กายทสกะกลุ่มหนึ่ง ประกอบด้วยรูป ๑๐ รูป หทยทสกะกลุ่มหนึ่งประกอบด้วยรูปที่เป็นที่อาศัยเกิดของจิต และภาวทสกะกลุ่มหนึ่ง เป็นรูปที่กรรมทำให้มีลักษณะของเพศหญิงหรือเพศชายปรากฏสืบต่อไปในขณะนั้น

ในขณะนั้น ทันทีที่ปฏิสนธิจิตและเจตสิกเกิดขึ้น รูป ๓ กลุ่มนี้เล็กมาก ขณะนั้นไม่ปรากฏว่า เป็นรูปร่างของหัวใจ แต่ว่ารูปนั้นเกิดขึ้นเพราะกรรม เป็นที่อาศัยของจิตในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น เพราะในภูมิที่มีขันธ์ ๕ นามธรรม คือ จิตและเจตสิกจะเกิดโดยไม่อาศัยรูปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ขณะที่ปฏิสนธิจิต เจตสิก และรูปเกิดพร้อมกัน รูปนั้นซึ่งเป็นกลุ่มหนึ่ง คือ หทยทสกะ ประกอบด้วยรูป ๑๐ รูป ซึ่งมีหทยวัตถุซึ่งเล็กมากในขณะนั้นเป็นที่อาศัยเกิดของปฏิสนธิจิตและเจตสิกแล้ว

เพราะฉะนั้น อย่าติดในสิ่งที่มองเห็นว่าเป็นรูปหัวใจ เพราะเมื่อร่างกายเจริญเติบโตขึ้น ก็ปรากฏเป็นส่วนต่างๆ และในส่วนที่เป็นรูปร่างของหัวใจ เฉพาะตรงกลางของรูปนั้น มีรูปที่เกิดเพราะกรรมซึ่งเป็นกลุ่มหนึ่ง ประกอบด้วยรูป ๑๐ รูป เป็นที่เกิดของจิตชื่อว่า หทยวัตถุ ในขณะนั้น รูปนั้นเกิดดับเช่นเดียวกับรูปอื่นๆ ไม่เที่ยงเลย และไม่มีใครสามารถทำให้รูปนั้นเกิด ไม่ใช่ว่าพลาสติกนั้นจะใช้แทนรูปนั้นได้ จะเอาสิ่งอื่นมาทำให้เป็นรูปนั้นไม่ได้ เพราะว่ารูปทั้งหมดที่เกิดเพราะกรรม มีกรรมเท่านั้นเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น ไม่ใช่มีอุตุ ความเย็นหรือความร้อน หรืออาหารที่จะทำให้รูปนั้นเกิดขึ้น เช่น จักขุปสาทของทุกท่านในขณะนี้ อยากให้เกิดหรือไม่อยากให้เกิด ก็ช่วยไม่ได้ เพราะมีกรรมเป็นปัจจัยให้จักขุปสาทเกิดและดับๆ อยู่ตลอดเวลา

โสตปสาทที่เป็นปัจจัยให้เกิดจิตได้ยินในขณะนี้ ก็เกิดขึ้นเพราะกรรม ไม่มีใครสามารถที่จะสร้างโสตปสาท หรือจักขุปสาท หรือรูปใดๆ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะกรรมได้

เพราะฉะนั้น ในขณะที่มีการผ่าตัดหัวใจ หรือว่าเปลี่ยนหัวใจ ถ้าคนนั้นมีจิตเกิดขึ้น ก็มีกรรมที่ทำให้หทยรูปเกิดขึ้น แล้วแต่จะเป็นที่ขั้วหัวใจก็ได้ แต่ไม่ใช่อยู่ในพลาสติกแน่ เพราะนั่นไม่ใช่เป็นรูปที่เกิดขึ้นเพราะกรรม และอย่าลืมว่า รูปนี้เล็ก แต่ละกลาปนี้เล็กมาก สามารถที่จะแตกย่อย สิ่งที่มองเห็นว่าใหญ่โต แข็งแรง มั่นคง ไม่ว่าจะเป็นภูเขาใหญ่ๆ หรือว่าจะเป็นรูปร่างกายซึ่งเล็กไม่มั่นคงเท่าภูเขา หรือว่า สิ่งที่อาจจะบอบบางกว่านั้นอีก เป็นรูปที่มีอายุต่างๆ กัน เช่น ภูเขาก็อาจจะมีอายุหลายพันหลายแสนหลายหมื่นล้านปี สำหรับรูปของมนุษย์ไม่สามารถที่จะตั้งมั่นคงอย่างนั้นได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นรูปใดๆ ซึ่งปรากฏเสมือนว่าใหญ่โตแข็งแรงมั่นคงสักเพียงไร แท้ที่จริงแล้วประกอบด้วยรูปแต่ละรูปซึ่งไม่มั่นคงเลย แม้แต่ธาตุแต่ละธาตุ เวลาที่กระทบสัมผัสดูเสมือนว่าแข็งแรง ถ้าเป็นกระดูกก็คงจะแข็งมากกว่าส่วนอื่น แต่แม้กระนั้นก็เป็นรูปที่ไม่มั่นคง เพราะประกอบด้วยกลุ่มของรูปที่เล็กและละเอียดมากซึ่งสามารถที่จะแตกย่อยออกได้จนถึงเล็กที่สุดเพราะมีอากาศธาตุคั่นอยู่ และกำลังเกิดดับอยู่

การที่จะประจักษ์สภาพที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนของธรรมทั้งหลายที่เป็นจิต เจตสิก รูป จะต้องรู้ลักษณะที่แท้จริง ที่ปรากฏตามความเป็นจริง ตลอดจนกระทั่งถึงการเกิดดับของสภาพธรรม จึงจะปรากฏว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เพราะฉะนั้น รูปใดก็ตามที่เกิดเพราะกรรม มีกรรมเท่านั้นเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น

ถ. แต่ท่านแสดงว่า หทยวัตถุรูปอยู่ในก้อนเนื้อหัวใจเท่านั้น ไม่ได้อยู่ในส่วนอื่นเลย

สุ. ปกติเวลาที่ร่างกายเจริญเติบโต จนกระทั่งมีรูปร่างของหัวใจเกิดขึ้น แต่ก่อนนั้นที่ยังไม่มีรูปร่างของหัวใจปรากฏ ก็มีหทยวัตถุพร้อมกับปฏิสนธิจิตแล้ว ซึ่งเป็นรูปที่มองไม่เห็น แต่หัวใจมองเห็น ใช่ไหม เพราะฉะนั้น สิ่งใดที่เห็น สิ่งนั้นเป็น วัณณรูป ไม่ใช่เป็นหทยวัตถุ

. หทยวัตถุ เรามองไม่เห็น ถูกต้องไม่ได้ แต่อาศัยที่ท่านแสดงไว้ว่า หทยวัตถุอยู่ในก้อนเนื้อหัวใจ เดิมจะมีรูปร่างสัณฐานอย่างไรก็ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครรู้ ในเมื่อหทยวัตถุนี้อาศัยอยู่ในก้อนเนื้อหัวใจเท่านั้น ส่วนอื่นๆ อาศัยอยู่ไม่ได้ เมื่อตัดหัวใจทิ้งแล้ว ทำไมจิตยังมีที่อาศัยอยู่

สุ. หัวใจเป็นหัวใจ หทยวัตถุเป็นหทยวัตถุ หทยวัตถุเป็นรูปซึ่งเกิดเพราะกรรม เกิดดับอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าหทยวัตถุติดไปกับรูปหัวใจที่ถูกตัดออก แต่ขณะนี้เองหทยวัตถุก็เกิดดับ แล้วแต่ว่ากรรมจะทำให้หทยวัตถุซึ่งเป็นที่เกิดของจิตเกิดตรงไหน

. ในเมื่อก้อนเนื้อหัวใจถูกตัดออกไปแล้ว หทยวัตถุจะไปอาศัยอยู่ตรงไหน

สุ. กรรมทำให้เกิด จะที่ขั้วหัวใจ หรือที่หนึ่งที่ใดก็ได้ที่ยังมีอยู่ แต่ไม่ใช่ข้างนอก

การอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ถ้าท่านผู้ฟังไม่ทราบว่า ขณะที่เห็นเป็นจิตที่เห็น ท่านอาจจะไปหาจิตที่หัวใจ ซึ่งขณะนั้นไม่รู้ว่า จิตเป็นสภาพรู้ เพราะฉะนั้น การที่จะรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมซึ่งเกิดดับเพราะเหตุปัจจัยอยู่เรื่อยๆ จะต้องพิจารณาตรงลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ

ถ้ามีท่านที่บอกว่า ถ้าจะรู้ลักษณะของจิต ก็ให้เพ่งที่ตรงหัวใจ เพราะศึกษามาว่า จิตเกิดดับที่นั่น จะสามารถรู้ลักษณะของสภาพรู้หรือธาตุรู้ได้ไหมว่า เป็นอาการรู้ เป็นธาตุรู้ ซึ่งไม่ใช่รูปธรรม เป็นแต่เพียงธาตุรู้ และไปแสวงหาข้างนอกไม่ได้ ที่วัตถุ อื่นๆ ข้างนอกทั้งหมด ไม่มีจิตอยู่ที่นั่น แต่ขณะใดก็ตามที่เห็น เช่น ขณะนี้ ให้รู้ว่า ในขณะนั้น คือ ลักษณะของจิต

เพราะฉะนั้น จิตอยู่ที่ไหน ขณะเห็น จิตอยู่ที่เห็นที่กำลังเห็น คือ กำลังรู้สิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่อยู่ที่หัวใจ ขณะที่ได้ยิน ที่จะรู้ลักษณะของสภาพรู้ ธาตุรู้ อย่านึกถึงหัวใจ มิฉะนั้นแล้วจะมีความเป็นตัวตนว่า หัวใจของเรากำลังอยู่ที่ร่างกายของเรา นั่นไม่ใช่การรู้ลักษณะของจิต แต่ว่าในขณะที่เสียงปรากฏ ชั่วขณะที่เสียงเท่านั้นปรากฏ จะไม่มีสิ่งอื่นปรากฏในขณะที่เสียงกำลังปรากฏเลย แม้แต่ความคิดเรื่องหัวใจก็ไม่มี ชั่วขณะที่เสียงกำลังปรากฏเท่านั้นจริงๆ

เมื่อรู้ว่าจิตอยู่ที่ไหนในขณะที่ได้ยินเสียง คือ ในขณะที่เสียงปรากฏนั่นเอง จิตเป็นสภาพที่กำลังรู้เสียงที่กำลังปรากฏ นี่คือการที่จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพรู้ ธาตุรู้ ในขณะที่กำลังเห็นนี่เอง เป็นจิตที่เห็น ในขณะที่กำลังได้ยินเป็นจิตที่ได้ยิน ในขณะที่กำลังได้กลิ่นเป็นจิตที่ได้กลิ่น ในขณะที่กำลังลิ้มรสเป็นจิตที่กำลังลิ้ม รู้รสที่ปรากฏ ในขณะที่สิ่งที่ปรากฏที่กาย เย็นบ้าง ร้อนบ้าง อ่อนบ้าง แข็งบ้าง ตึงบ้าง ไหวบ้าง ในขณะนั้นจิตอยู่ที่สภาพที่กำลังรู้เย็นที่ปรากฏ ร้อนที่ปรากฏ อ่อนที่ปรากฏ แข็งที่ปรากฏ ตึงหรือไหวที่ปรากฏ

ในขณะที่คิดนึก จิตอยู่ที่ไหน อย่าไปเพ่งที่หัวใจ เพราะไม่ใช่การระลึกรู้ลักษณะของสภาพที่กำลังรู้คำ หรือว่ากำลังคิดเรื่องราวต่างๆ เพราะฉะนั้น การที่จะรู้ลักษณะของนามธรรม ต้องรู้ในอาการรู้ หรือธาตุรู้ หรือสภาพรู้ ไม่ว่าจะเป็นทางตาที่กำลังเห็น ทางหูที่กำลังได้ยิน ทางจมูกที่กำลังได้กลิ่น ทางลิ้นที่กำลังลิ้มรส ทางกายที่กำลังรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ทางใจที่กำลังคิดนึก

อยากจะประจักษ์ความเกิดดับของจิตไหม บางคนก็อยากมาก จนกระทั่งไปเพ่งที่หัวใจ เพราะหวังที่จะประจักษ์การเกิดดับของจิตที่หทยวัตถุ แต่นั่นไม่ตรง เหตุกับผลไม่ตรง เพราะไม่ใช่ปัญญาที่รู้จริงๆ ในลักษณะของสภาพรู้ ธาตุรู้ ในขณะที่ สิ่งหนึ่งสิ่งใดกำลังปรากฏ

. จิตจะเกิดเฉพาะเมื่อมีอารมณ์ หรือเกิดการสัมผัส ถ้าในขณะที่มีอารมณ์เฉยๆ วางเฉย จิตไม่มีใช่ไหม

สุ. มี

. ถ้ามี แต่ไม่ปรากฏ ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น วางเฉยอยู่

สุ. รู้ว่าเฉยไหม ที่ว่าเฉย เป็นสภาพธรรมซึ่งเป็นจิตที่ประกอบด้วยความรู้สึกเฉยๆ ไม่อย่างนั้นจะมีความรู้สึกเฉยได้อย่างไร ถ้าไม่มีจิต แม้แต่ความรู้สึกเฉยก็มีไม่ได้ ที่ว่าเฉยๆ เป็นลักษณะหนึ่งของจิตแล้ว

. หมายถึงว่า สภาพใดก็ดี ธรรมชาติใดก็ดีที่รู้อยู่ในขณะนั้น เราเรียกว่า จิต ส่วนหัวใจหรือหทยวัตถุตามที่บรรยายมา เราสามารถแยกขาดกัน หัวใจก็เป็นหัวใจ แต่หทยวัตถุนี้เป็นธรรมชาติที่กรรมก่อให้เกิดขึ้น อาจจะไม่ต้องอาศัยหัวใจก็ได้

สุ. เวลาปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นในภูมิที่มีขันธ์ ๕ เช่น ในมนุษยภูมิ ทันทีที่ปฏิสนธิเกิด กรรมทำให้กัมมชรูป คือ รูปซึ่งเกิดเพราะกรรม ๓ กลุ่มเกิดพร้อมกันในขณะนั้น คือ กายทสกะ กลุ่มของรูปซึ่งเป็นกาย ๑ กลุ่ม หทยทสกะ กลุ่มของรูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิต ๑ กลุ่ม และภาวทสกะ กลุ่มของรูปที่ทำให้ปรากฏอาการของเพศหญิงหรือเพศชายซึ่งจะซึมซาบอยู่ทั่วทั้งตัวอีกกลุ่มหนึ่ง

เพราะฉะนั้น ก็มีกายทสกะ กลุ่มของกายประกอบด้วยรูป ๑๐ รูป หทยทสกะ กลุ่มของหทยะซึ่งเป็นที่เกิดของจิตประกอบด้วยรูป ๑๐ รูป และภาวทสกะ กลุ่มของภาวรูปประกอบด้วยรูป ๑๐ รูป และเมื่อเจริญเติบโตขึ้น กรรมก็ทำให้กายเจริญเติบโต เพราะฉะนั้น ทั่วทั้งตัวที่เป็นกาย เป็นรูปที่เกิดเพราะกรรมแต่ละกลุ่มอย่างละเอียด ซึ่งรวมกันเกิดเป็นรูปร่างกายปรากฏขึ้น

แต่หทยทสกะ คือ กลุ่มของรูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิต ก็ยังคงเกิดดับเพราะกรรม แทรกอยู่ที่รูปของหัวใจ เช่นเดียวกับจักขุปสาท ซึ่งในขณะที่เกิดขึ้นจะประกอบด้วยรูป ๑๐ รูป เรียกว่าจักขุทสกะ เกิดขึ้นที่กลางตา ไม่ใช่ที่ตา เพราะฉะนั้น กลุ่มของรูปที่สามารถรับกระทบอารมณ์ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็จะซึมซาบแทรกอยู่ตามส่วนต่างๆ

เปิด  248
ปรับปรุง  2 มิ.ย. 2565