แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 965
สุ. ถ้าเป็นวิถีจิตทางหู เมื่อโสตทวารวิถีจิต คือ ตั้งแต่ปัญจทวาราวัชชนจิต โสตวิญญาณ สัมปฏิจฉันนจิต สันตีรณจิต โวฏฐัพพนจิต ชวนจิต และตทาลัมพนจิต ดับไปหมดแล้ว วิถีจิตดับหมดแล้ว ภวังคจิตเกิดต่อคั่นมากหลายขณะ จากนั้น มโนทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้นรำพึงถึงเสียงซึ่งโสตทวารวิถีจิตเพิ่งรู้แล้วก็ดับไปเป็นอารมณ์ และชวนจิตทางมโนทวารวิถี ตทาลัมพนะทางมโนทวารวิถีก็เกิดขึ้น รู้เสียงซึ่งทาง โสตทวารวิถีเพิ่งรู้แล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้น ในขณะนี้จะมีใครทราบความเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วของทางจักขุทวารวิถี ภวังคจิต และมโนทวารวิถี หรือว่าทางโสตทวารวิถีที่ดับไป มีภวังค์คั่น และมโนทวารวิถีก็รู้เสียง ซึ่งทางโสตทวารวิถีเพิ่งรู้แล้วก็ดับไป
การอบรมเจริญสติปัฏฐาน เป็นการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามปกติตามความเป็นจริง เมื่อตามความเป็นจริง ก่อนที่สติจะเจริญขึ้น ทั้งเห็นด้วยและยังไม่ปรากฏว่าดับ ก็มีการได้ยิน และก็ยังมีการคิดนึก รู้ความหมายของเสียงที่ได้ยินด้วยแสดงให้เห็นว่า จิตเกิดดับสืบต่อกันเร็วมาก เพราะฉะนั้น สติปัฏฐานเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตาที่กำลังเห็นก็ได้ โดยที่ไม่ต้องนึกถึงว่า ขณะนี้เป็น ปัญจทวารวิถี หรือว่าเป็นมโนทวารวิถี ไม่จำเป็นต้องคิด เพราะถ้าคิดในขณะนั้น กำลังรู้คำ รู้เรื่อง รู้ชื่อ รู้สมมติบัญญัติ ไม่ใช่เป็นการมนสิการ พิจารณา น้อมที่จะรู้สภาพของสิ่งที่ปรากฏว่า เป็นเพียงสภาพธรรมชนิดหนึ่งที่กำลังปรากฏ และสามารถจะปรากฏได้เฉพาะทางตาในขณะที่กำลังเห็น
เพราะฉะนั้น การอบรมเจริญสติปัฏฐานไม่มีชื่อ ไม่มีบัญญัติเข้าไปคิดนึกคั่นหรือแทรก แต่ก็ห้ามไม่ได้อีก เช่น ในขณะที่กำลังเห็นนี้ สติอาจจะระลึกนิดหนึ่ง รู้ว่า มีสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ ยังไม่รู้อะไรมาก แต่รู้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา จริงๆ แต่ก็แสดงถึงขณะที่มีสติเกิดขึ้น จึงระลึกรู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา มี
ต้องอาศัยการระลึกอีก และพิจารณาน้อมที่จะรู้สิ่งที่ปรากฏทางตาว่า เป็นแต่เพียงสภาพธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งขณะนั้นไม่ใช่เป็นการนึกถึงว่า จักขุวิญญาณดับไปแล้ว สัมปฏิจฉันนะเกิดต่อ สันตีรณะเกิดต่อ โวฏฐัพพนะเกิดต่อ ชวนะขณะนี้กำลังเป็นกุศล ไม่ใช่อย่างนั้นเลย
เวลาที่สติเกิด ระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏเพื่อที่จะรู้ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ใช่เห็น ต้องแยกให้ออก นี่คือการอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม และในขณะนั้นไม่ใช่การนึกว่า ขณะนี้เป็นกุศลจิตทางมโนทวารที่กำลังรู้ และจะตัดวิถีจิตทางปัญจทวารที่เป็นกุศลออกไป ไม่ใช่อย่างนั้น
มหากุศลจิตเกิดได้ทั้ง ๖ ทวาร ในขณะที่กำลังเห็น เป็นมหากุศลจิตที่ประกอบด้วยสติพร้อมด้วยสัมปชัญญะที่รู้ลักษณะของรูปที่กำลังปรากฏได้ สืบต่อกันทั้งทางมโนทวารวิถีและทางปัญจทวารวิถี เพราะไม่ใช่ขั้นคิดนึก แต่เป็นขั้นที่จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จนกว่าสภาพธรรมนั้นจะปรากฏจริงๆ ทาง มโนทวารวิถี ซึ่งหมายความว่า มโนทวารวิถีต้องปรากฏ
ถ. เราจะรู้นามและรูปโดยความเป็นปรมัตถ์ ขณะที่รู้นามหรือรูป ขณะนั้นเป็นวิถีจิตเดียวรู้ หรือว่าเปลี่ยนวิถีใหม่ขึ้นมารู้ใหม่
สุ. หลายวิถี ไม่ใช่วิถีเดียว วิถีจิตหนึ่งที่คิดว่า ๗ ขณะมาก ความจริงดับไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน
ถ. ที่กำลังรู้ของจริงที่กำลังปรากฏอยู่ต่อหน้าต่อตานี้ จะเป็นวิถีไหน
สุ. การอบรมเจริญปัญญาต้องตามลำดับขั้น ฟังดูแล้วเหมือนกับว่า ต้องการที่จะเจาะจงเป็นวิถีๆ ไป แต่ความจริงแล้ว การอบรมเจริญปัญญาขอเพียงขั้นที่จะให้รู้ว่า ลักษณะของนามธรรมนั้นเป็นสภาพรู้เท่านั้นจริงๆ ยังไม่ต้องไปถึงวิถี ไหนๆ เพียงแต่ให้สติระลึกศึกษาและรู้จริงๆ ว่า ลักษณะของนามธรรมซึ่งเกิดขึ้นนั้นเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เพียงเท่านี้ เพียงให้เข้าถึงลักษณะแท้ๆ ของนามธรรม ขอให้เข้าใจให้ชัดเจนว่า นามธรรมนั้นเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้
ในขณะที่กำลังเห็น เวลานี้ก็ปนกันแล้ว ใช่ไหม ถ้าสติไม่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ มีใครสามารถรู้ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่สภาพรู้ แต่สิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏเพราะมีสภาพรู้ที่กำลังเห็น เมื่อฟังและพิจารณาเข้าใจพยัญชนะ แล้ว สติยังจะต้องเริ่มระลึกจนกว่าจะรู้ว่า ธาตุรู้ที่กำลังเห็น ที่เป็นแต่เพียงธาตุรู้ เป็นสภาพรู้เท่านั้น จริงๆ เป็นอย่างไร
ถ. การที่รู้ว่าเป็นตัวตน ผมเข้าใจว่า ไปถึงมโนทวารวิถี คือ คิดถึงรูปร่างที่เก็บไว้ในใจ คือ นำมาเปรียบเทียบ พอเห็นปั๊บ อันนี้กับของเก่าเหมือนกัน ก็เลยรู้ว่าคนนี้ชื่อนี้ สิ่งนี้ชื่ออย่างนั้น จึงเรียกกันถูก การเจริญสติปัฏฐานเป็นเช่นเดียวกันกับอย่างนี้ได้ไหม เพียงแต่ละภาวะที่เคยจำเป็นตัวตน กลับเป็นปรมัตถ์ขึ้นมาแทนตัวตนในขณะนั้นหรือเปล่า เป็นลักษณะนี้หรือเปล่า
สุ. ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานย่อมรู้ว่า สติเกิด หรือว่าหลงลืมสติ และผู้ที่เจริญสติปัฏฐานย่อมรู้ว่า เมื่อสติเกิดแล้ว สำเหนียก สังเกต น้อมพิจารณาที่จะรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏซึ่งไม่ใช่สภาพรู้ ขณะหนึ่ง หรืออาจจะหลายๆ ขณะ หลายวัน หลายเดือน หลายปี หรือว่าบางวัน บางเดือน บางปี ก็ไม่ได้ระลึกอย่างนี้เลย แล้วแต่สติจะเกิดหรือไม่เกิด และไม่ใช่เพียงศึกษารู้ลักษณะของสภาพสิ่งที่กำลังปรากฏเท่านั้น ยังจะต้องน้อมระลึกรู้ธาตุรู้ สภาพรู้ ที่กำลังรู้ คือ กำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏ นี่คือ การอบรมเจริญสติปัฏฐานที่จะรู้ลักษณะจริงๆ
ไม่ต้องไปห่วงกังวลถึงวิถีจิตอะไรทั้งสิ้น แต่ฟังเพื่อที่จะให้เข้าใจว่า ลักษณะของสภาพธรรมไม่ใช่ตัวตนอย่างไร เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็ว และการเกิดสืบต่อของสภาพธรรมใหม่ ทั้งนามธรรมและรูปธรรม ปิดบังการดับไปของนามธรรมและรูปธรรม จึงทำให้ไม่เห็นว่า นามธรรมและรูปธรรมนั้นเกิดขึ้นและดับไปๆ
เพราะฉะนั้น จึงฟังเพื่อให้เข้าใจ เพื่อเป็นปัจจัยให้สติระลึก และในที่สุดก็จะเริ่มเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม และเป็นรูปธรรม
ไม่ต้องห่วงกังวลถึงปัญจทวารวิถี มหากุศลจิตเกิดที่ชวนะ ระลึกรู้ลักษณะของรูป และเมื่อถึงมโนทวารวิถีก็แล้วแต่ว่า จะระลึกรู้ลักษณะของรูปที่ปรากฏ หรือว่าระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมซึ่งเป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ ตามปกติ ตามธรรมดา ไม่ต้องห่วงกังวลว่าถึงวิถีไหน เพราะว่ามหากุศลญาณสัมปยุตต์สามารถระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏได้ทั้ง ๖ ทวาร
เวลานี้ก็สืบต่อกันอยู่ ถ้าสติของใครจะเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นแข็ง อ่อน เสียง สี กลิ่น รส หรือว่านามธรรมที่เห็น สภาพรู้เสียง สภาพรู้อ่อน รู้แข็งที่กำลังปรากฏ ก็เป็นมหากุศลจิตซึ่งเกิดสืบต่อกันได้ทั้ง ๖ ทวาร โดยที่ ไม่จำเป็นต้องแยก
ถ. รูปารมณ์มีอายุเท่ากับ ๑๗ ขณะของจิต ซึ่งทางปัญจทวารวิถีนับตั้งแต่ อตีตภวังค์จนกระทั่งถึงตทาลัมพนะได้ ๑๗ ขณะ รูปารมณ์ก็ดับไปแล้ว และภวังคจิตก็เกิดคั่นนับไม่ถ้วน หลังจากนั้นมโนทวารวิถีจึงเกิดขึ้นรับอารมณ์ต่อจากทางปัญจทวาร ถ้าสติระลึกรู้ในขณะนั้น ยังชื่อว่า ปัจจุบันอารมณ์ หรือยังเป็นปรมัตถอารมณ์หรือเปล่า
สุ. ปัจจุบัน และปรมัตถ์ด้วย แต่ไม่ใช่โดยขณะ โดยสันตติ โดยการสืบต่อ เพราะยังไม่ดับไป ยังปรากฏอยู่ ยังไม่ดับในที่นี้หมายความว่า ยังมีเกิดดับปรากฏอยู่ ที่จริงแล้ว ๑๗ ขณะ โดยอายุของรูป รูปนั้นดับไปหมดแล้ว แต่ก็มีรูปเกิดอีก ๑๗ ขณะ ดับไป และก็มีรูปเกิดอีก ๑๗ ขณะ ดับไป จึงปรากฏให้เห็นเป็นลักษณะของรูปนั้น
ที่ใช้คำว่า ปัจจุบัน มีความหมายหลายอย่าง ในความหมายนี้หมายความถึง ปัจจุบันสันตติ โดยการสืบต่อ ไม่ใช่เมื่อวานนี้ เมื่อปีก่อน เมื่อเดือนก่อน
ถ. รูปารมณ์เกิดขึ้นอีก ทางมโนทวารก็ไม่ได้รับรูปารมณ์นั้น
สุ. ถ้ากล่าวว่า ทางมโนทวารไม่ได้รับรูปารมณ์นั้นอีก ขณะนี้ท่านผู้ฟังเห็นแล้วจะต้องไม่มีการเห็นต่อไป ต้องขาดช่วง แต่นี่เห็นไม่ปรากฏว่าดับ และสิ่งที่ปรากฏซึ่งเป็นรูปารมณ์ก็ไม่ปรากฏว่าดับ จะกล่าวว่า มโนทวารวิถีไม่ได้รับต่อได้อย่างไร
ถ. รูปารมณ์จะต้องเกิดที่ปัญจทวารวิถี สมมติว่า จักขุทวารวิถีเห็น รูปารมณ์ เมื่อรูปารมณ์เกิดขึ้น ๑๗ ขณะของจิต รูปารมณ์นั้นก็ดับไป ถ้ารูปารมณ์เกิดใหม่ รูปารมณ์ที่เกิดใหม่นั้น จิตทางมโนทวารก็ไม่ได้รับรูปารมณ์ใหม่นั้นแล้ว
สุ. ถ้าเป็นปัญญาจริงๆ จะประจักษ์ความเกิดดับ และรู้ว่า เวลาที่กำลังคิดนึกในขณะนั้น ไม่มีเสียง หรือว่าไม่มีสี รวมอยู่ในขณะของวิถีจิตที่กำลังคิดนึก
รูปารมณ์มีอายุ ๑๗ ขณะ และดับไป มโนทวารวิถีจิตรับรู้รูปารมณ์ต่อจาก ปัญจทวารวิถี เพราะฉะนั้น เวลาที่สติระลึกรู้ลักษณะของรูปธรรม ที่จะปรากฏความขาดตอนระหว่างปัญจทวารวิถีและมโนทวารวิถี คือ มโนทวารวิถีปรากฏ รู้รูปที่ต่อจากปัญจทวารวิถีได้ ซึ่งยังชื่อว่าเป็นปัจจุบันอารมณ์ เพราะมีการเกิดดับสืบต่อกันอยู่
อย่างทางตาที่กำลังเห็น ขณะนี้เป็นปัจจุบันหรือเปล่า เวลาที่สติระลึก ได้ทั้ง ๖ ทวาร ไม่มีใครสามารถไปกั้นให้สติปัฏฐานเกิดเฉพาะทางมโนทวารวิถีเท่านั้น ส่วนทางปัญจทวารวิถีไม่ให้เกิด ไม่มีใครสามารถกั้นการเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วมากของวิถีจิตได้ เพราะฉะนั้น เวลาระลึกรู้ลักษณะของรูปารมณ์ ทางมโนทวารระลึกรู้ รูปารมณ์ และทางปัญจทวารก็เห็นรูปารมณ์ สติก็ระลึกรู้ลักษณะของรูปารมณ์ที่ปรากฏทั้งทางปัญจทวารวิถีและทางมโนทวารวิถี
ทางหู ก็เช่นเดียวกัน เสียงปรากฏในขณะนี้ ใครจะแยกว่า ปัญจทวารวิถี และเสียงก็ดับไปใน ๑๗ ขณะ เพราะมโนทวารวิถีเกิดสืบต่อหลังจากที่ภวังค์คั่นแล้ว และมโนทวารวิถีก็รู้เสียงซึ่งทางโสตทวารวิถีเพิ่งได้ยินแล้วดับไป มีใครจะกั้นไม่ให้จิตเกิดดับอย่างนี้ และเมื่อสติระลึกรู้ลักษณะของเสียง ย่อมระลึกรู้ลักษณะของเสียงที่ปรากฏทั้งทางโสตทวารวิถีและทางมโนทวารวิถี โดยที่ไม่แยกเหมือนกัน เพราะว่าเสียงเมื่อปรากฏทางปัญจทวารวิถีแล้ว ก็เป็นอารมณ์ของมโนทวารวิถีจิตต่อ
ถ. ปกติ ทางปัญจทวารวิถี ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นตัวตนทั้งหมด ผมเข้าใจว่า ถ้าเป็นวิถีจิตของวิปัสสนา หรือวิถีจิตของปรมัตถ์ วิถีจิตของปัญญา ทั้งมโนทวารวิถีและปัญจทวารวิถีจะต้องเป็นปรมัตถ์ จะไม่มีตัวตนเข้าปะปนเลย ผมเข้าใจอย่างนั้น จะถูกหรือเปล่า
สุ. เวลาที่สติปัฏฐานเกิด คือ ขณะนั้นไม่หลงลืมที่จะพิจารณาลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ แต่ว่าความเป็นตัวตนจะมี หรือจะคั่น หรือจะแทรก หรือจะประจักษ์ชัด นั่นแล้วแต่ขั้นของปัญญา เพราะขณะนี้อ่อนแข็ง มี สติสามารถที่จะเกิดระลึกรู้ลักษณะที่อ่อนหรือแข็ง รู้ลักษณะ แต่ยังไม่ใช่ปัญญาที่รู้ชัดในสภาพที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน และเกิดดับ
เห็นไหมว่า ต้องมีปัญญาหลายขั้น ข้อสำคัญ ท่านผู้ฟังอย่าเข้าใจโดยชื่อ และเอาไปปะปนกับเวลาที่สติกำลังระลึกรู้ เช่น ลักษณะที่แข็ง ถึงสติจะไม่เกิด แข็งก็ปรากฏ เพราะฉะนั้น ในขณะที่แข็งปรากฏ ขั้นการฟังเห็นว่า เป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด นี่ขั้นการฟัง รู้ว่าแข็งเป็นแข็ง แต่ปัญญาอบรมเจริญจนกระทั่งรู้ใน ปฐวีธาตุ ซึ่งไม่ใช่เรา ไม่ใช่วัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้นหรือยัง
เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งรีบร้อน หรือว่าใจเร็วที่จะเอาปริยัติไปปนกับขณะที่สติระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะจะต้องศึกษาจนกระทั่งเป็นความรู้ที่สามารถแยกขาดสิ่งที่กำลังปรากฏจากนามธรรม ซึ่งเป็นสภาพรู้สิ่งที่กำลังปรากฏนั้น
เช่น ในขณะที่แข็งปรากฏ ถ้าเคยศึกษามาว่า ลักษณะที่แข็งเป็นรูปธรรม บางท่านอาจจะบอกว่า ไม่สงสัย เข้าใจแล้วว่าแข็งเป็นรูปธรรม ลักษณะที่แข็งต้องเป็นรูปธรรม แต่ว่าลักษณะที่รู้แข็ง ไม่ใช่แข็งอย่างไรในขณะที่แข็งกำลังปรากฏ สภาพรู้แข็งต่างกับแข็งที่กำลังปรากฏอย่างไรที่จะรู้จริงๆ ว่า แข็งเป็นรูปธรรม
เหมือนกับทางตาที่กำลังเห็น รูปารมณ์เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็จะต้องเห็นเป็นคนหลายๆ คน เห็นเป็นวัตถุสิ่งต่างๆ ที่จะให้เห็นว่าเป็นรูปารมณ์ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้นจริงๆ ยากที่จะเป็นได้โดยขั้นประจักษ์ แต่โดยขั้นวาจาที่จะกล่าวตาม ก็แสนที่จะง่ายว่า สิ่งที่ปรากฏทางตามีจริง กำลังปรากฏ เป็นสภาพธรรมที่ไม่ปรากฏทางอื่น ไม่ปรากฏทางหู ไม่ปรากฏทางจมูก แต่ว่าเป็นสิ่งที่กำลังปรากฏ ทางตา
แต่ลักษณะของรูปารมณ์แท้ๆ ที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ปรากฏโดยสภาพที่เป็นรูปารมณ์ หรือว่าเพียงแต่กล่าวตามได้ว่า รูปารมณ์กำลังปรากฏ เพราะเป็นลักษณะของสภาพที่สามารถจะปรากฏทางตาเท่านั้น
การอบรมเจริญปัญญาต้องเป็นผู้ที่ตรง เพื่อที่จะได้อบรมเจริญปัญญาถูกต้องขึ้น และรู้ชัดในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมถูกต้องยิ่งขึ้นเป็นขั้นๆ ถ้ายังเห็นว่า เป็นคนหลายๆ คน เป็นวัตถุสิ่งของต่างๆ ก็หมายความว่า ที่เคยพูดและเคยเข้าใจ ขั้นการฟังว่า รูปารมณ์เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา นั่นเป็นเพียงขั้นความเข้าใจที่เป็นปริยัติเท่านั้น เพราะฉะนั้น เวลาที่สติระลึก ต้องเป็นผู้ที่ตรง อุชุปฏิปันโน ต้องตรงจริงๆ ว่า มีการน้อมรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏจนกระทั่งประจักษ์จริงๆ ว่า หาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นวัตถุสิ่งใดๆ ในเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น การอบรมเจริญสติปัฏฐานต้องทั่วทั้ง ๖ ทาง เพราะทั้ง ๖ ทางซึ่งรวมกันติดกันแน่นทำให้เกิดสัญญา ความทรงจำในสัณฐาน ในรูปร่างของสิ่งที่ปรากฏ ประกอบกับการรู้ความอ่อน ความแข็ง โดยการกระทบทางกาย ทำให้เชื่อมโยงทุกสิ่งทุกอย่างรวมเป็นบุคคล เป็นสัตว์ เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ ขึ้น ยากที่จะพลัดพรากให้ กระจัดกระจายออกให้เห็นว่า รูปารมณ์เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา และสิ่งที่อ่อนแข็ง เวลากระทบสัมผัสก็เป็นแต่เพียงธาตุซึ่งไม่ใช่คน ไม่ใช่วัตถุ ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่เสียงที่ปรากฏทางหู ไม่รวมกันเหมือนอย่างแต่ก่อน เพราะฉะนั้น ปริยัติต้องอย่าปน อย่าคิดว่ารู้แล้ว