แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 993
เพราะฉะนั้น โดยชาติมี ๔ คือ กุศล ๑ อกุศล ๑ วิบาก ๑ กิริยา ๑ โดยธรรมหมวด ๓ คือ กุศลธรรม อกุศลธรรม และอัพยากตธรรม
ปรมัตถธรรม มี ๔ คือ จิตปรมัตถ์ ๑ เจตสิกปรมัตถ์ ๑ รูปปรมัตถ์ ๑ และนิพพานปรมัตถ์ ๑ โดยประเภทของธรรมที่เป็นกุศล ธรรมที่เป็นอกุศล และธรรมที่เป็นอัพยากตะ สำหรับจิตทั้งหมด วิบากจิตและกิริยาจิตเป็นอัพยากตธรรม สำหรับเจตสิก วิบากเจตสิกและกิริยาเจตสิกเป็นอัพยากตธรรม เพราะวิบากจิตและวิบากเจตสิก กิริยาจิตและกิริยาเจตสิก ไม่ใช่กุศลและไม่ใช่อกุศล จึงเป็นอัพยากตธรรม รูปธรรม คือ รูปปรมัตถ์ทั้งหมด ไม่ใช่กุศลและไม่ใช่อกุศล เพราะฉะนั้น รูปปรมัตถ์ทุกรูปเป็นอัพยากตธรรม นิพพานปรมัตถ์ ไม่ใช่กุศลและไม่ใช่อกุศล เพราะฉะนั้น นิพพานปรมัตถ์เป็นอัพยากตธรรม
เมื่อศึกษาธรรมต่อไปควรที่จะได้ทราบถึงคำจำกัดความ หรือคำนิยามของศัพท์แต่ละคำ เพื่อจะได้เข้าใจธรรมถูกต้อง ไม่คลาดเคลื่อน เช่น คำว่า อัพยากตธรรม หมายถึงธรรมที่ไม่ใช่กุศลและไม่ใช่อกุศล
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะศึกษาเรื่องของจิตประเภทใดๆ เรื่องของเจตสิกประเภทใดๆ เรื่องของรูปประเภทใดๆ เรื่องของนิพพาน จะต้องทราบว่า เมื่อจำแนกโดยธรรมหมวด ๓ คือ กุศลธรรม อกุศลธรรม และอัพยากตธรรม รูปทั้งหมดไม่ใช่กุศลและอกุศล จึงเป็นอัพยากตะ นิพพาน ไม่ใช่กุศลและอกุศล จึงเป็นอัพยากตธรรมสำหรับจิตและเจตสิกใดที่ไม่ใช่กุศลจิตและอกุศลจิต ไม่ใช่กุศลเจตสิกและไม่ใช่อกุศลเจตสิก ก็ต้องเป็นอัพยากตธรรม ตลอดทั้ง ๓ ปิฎก และในอรรถกถา เพื่อที่จะได้เข้าใจชัดเจนถึงความมุ่งหมาย ซึ่งบางครั้งผ่านคำว่า อัพยากตธรรมบ่อยๆ ก็ควรที่จะได้รับทราบความหมายว่า อัพยากตธรรมนั้น ได้แก่ธรรมอะไรบ้าง
ถ้าจะถามให้ละเอียดเป็นเรื่องๆ เช่น สิ่งที่ปรากฏทางตา โดยธรรมหมวด ๓ เป็นอะไร สีสันวัณณะที่ปรากฏทางตาเป็นอะไร เป็นอัพยากตธรรม
เสียงที่ปรากฏทางหูเป็นอะไร โดยธรรมหมวด ๓ เป็นอัพยากตธรรม
จิตเห็นที่กำลังเห็น โดยธรรมหมวด ๓ เป็นอะไร เป็นอัพยากตธรรม
เพราะเหตุใด เพราะเป็นวิบากจิต จิตใดที่ไม่ใช่กุศลจิต ไม่ใช่อกุศลจิต ต้องเป็นอัพยากตจิต และธรรมอื่นทั้งหมดที่ไม่ใช่กุศลและอกุศล ก็เป็นอัพยากตะ
กิริยาจิต ไม่ใช่กุศลจิตและอกุศลจิต เพราะฉะนั้น เป็นอัพยากตธรรม
ลักษณะของกิริยา คือ จิตนั้นไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล และไม่ใช่วิบาก
กิริยาจิตมีหลายดวง ไม่ใช่มีดวงเดียว สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์มีกิริยาจิต ๒ ดวง คือ ปัญจทวาราวัชชนจิต และมโนทวาราวัชชนจิต
ปัญจทวาราวัชชนจิต เป็นวิถีจิตดวงแรกทางปัญจทวาร มโนทวาราวัชชนจิต เป็นวิถีจิตดวงแรกทางมโนทวาร แสดงให้เห็นว่า ก่อนที่กุศลหรืออกุศลจะเกิดขึ้น กุศลและอกุศลจะเกิดขึ้นทันทีไม่ได้ หรือแม้แต่จิตเป็นภวังค์อยู่ จะมีการเกิดขึ้นรับผลของกรรมทางหนึ่งทางใด จิตจะเกิดขึ้นรับผลของกรรมเป็นวิบากจิตทางหนึ่งทางใดใน ๕ ทางโดยทันทีไม่ได้ ต้องมีจิตดวงหนึ่งซึ่งเกิดก่อน เป็นกิริยาจิต ยังไม่ใช่วิบาก ยังไม่ใช่ผลของกรรม แต่กระทำกิจคิดถึง นึกถึง หรือรำพึงถึงอารมณ์ที่กระทบที่ปสาท เพราะฉะนั้น จึงยังไม่ใช่วิบาก เพราะยังไม่ได้เห็นจริงๆ ยังไม่ได้ยินเสียง เพียงแต่รู้ว่าอารมณ์นั้นกระทบทวารไหน ปสาทไหน เพราะฉะนั้น จึงเป็นกิริยาจิต
สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ มีกิริยาจิต ๒ ดวง กิริยาจิตทั้งหมดมี ๒๐ ดวง แต่ว่าจะค่อยๆ ศึกษาไปตามลำดับ เพราะฉะนั้น กิริยาจิตสำหรับพระอรหันต์ก็แล้วแต่ประเภทอีกว่า เป็นพระอรหันต์ที่ได้ฌานจิตหรือไม่ได้ฌานจิต ได้ถึงอรูปฌานจิตหรือได้เพียงรูปฌานจิต เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นพระอรหันต์ประเภทสุกขวิปัสสกะ ไม่ได้อบรมเจริญสมถภาวนาถึงขั้นความสงบที่เป็นอัปปนาสมาธิ ก็ไม่มีฌานจิตซึ่งเป็นกิริยาจิต
แต่สำหรับบุคคลทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นพระอรหันต์ หรือไม่ใช่พระอรหันต์ จะมีกิริยาจิต ๒ ดวงที่เป็นวิถีจิตดวงแรกทางปัญจทวาร คือ ปัญจทวาราวัชชนจิต และ วิถีจิตดวงแรกทางมโนทวาร คือ มโนทวาราวัชชนจิต
เห็นความวิจิตรของจิตไหม ซึ่งกำลังเกิดดับเวลานี้หลายประเภทสืบต่อกัน และจิตเกิดขึ้นเพียงขณะละ ๑ ดวง ทีละ ๑ ดวง หรือว่าทีละ ๑ ขณะเท่านั้น
ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท จิตตวรรคที่ ๓ ข้อ ๑๓ มีข้อความว่า
ชนเหล่าใดจักสำรวมจิตอันไปในที่ไกล ดวงเดียวเที่ยวไป หาสรีระมิได้ มีถ้ำเป็นที่อยู่อาศัย ชนเหล่านั้นจะพ้นจากเครื่องผูกแห่งมาร
แสดงให้เห็นว่า จิตนี้เกิดขึ้นทีละ ๑ ดวง คือ ทีละ ๑ ขณะเท่านั้น แต่ว่าเพราะการเกิดดับสืบต่อกันเป็นจิตประเภทต่างๆ ตามสัมปยุตตธรรม คือ เจตสิกที่เกิดร่วมด้วย จึงจำแนกจิตออกได้หลายนัย คือ จำแนกออกได้โดยชาติ เป็น ๔ ชาตินัยหนึ่ง และจำแนกออกได้โดยภูมิ คือ โดยขั้นหรือโดยระดับของจิตอีกนัยหนึ่ง ซึ่งโดยนัยของภูมินั้นมี ๔ ภูมิ หมายความถึงขั้นหรือระดับของจิตมี ๔ ขั้น คือ จิตที่เป็นกามาวจรภูมิประเภทหนึ่ง จิตที่เป็นรูปาวจรภูมิประเภทหนึ่ง จิตที่เป็นอรูปาวจรภูมิประเภทหนึ่ง จิตที่เป็นโลกุตตรภูมิประเภทหนึ่ง
นี่เป็นการจำแนกจิตโดยสัมปยุตตธรรม คือ เจตสิกที่เกิดร่วมด้วยตามระดับขั้นของจิตเป็น ๔ ขั้น ซึ่งขั้นที่ต่ำที่สุด คือ กามาวจรจิต หรือกามาวจรภูมิ
สำหรับความหมายของกามาวจรจิต ข้อความใน อัฏฐสาลินี อรรถกถา ธรรมสังคณีปกรณ์ จิตตุปปาทกัณฑ์ อธิบายคำว่า กามาวจร ๔ นัย ว่า
นัยที่หนึ่ง บทว่า กามาวจรํ ได้แก่ จิตอันนับเนื่องในกามาวจรธรรมทั้งหลาย
คือ เป็นจิตที่อยู่ในขั้นของกาม ใช้คำเต็มว่า กามาวจร แต่สามารถตัดบทหลังออกเหลือเพียง กามะ หรือ กาม เท่านั้นได้ เพราะฉะนั้น จิตที่เป็นกามาวจร จิตที่ท่องเที่ยวอยู่ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นจิตขั้นกาม เป็นกามาวจรจิต
ขณะนี้เอง ไม่ได้พ้นไปจากทุกๆ วันนี้เลย จิตไม่ได้ขึ้นไปสู่อีกระดับหนึ่งที่ละเอียดกว่า ประณีตกว่าขั้นกาม เพราะเป็นไปในความสงบที่มีรูปเป็นอารมณ์ตามที่ได้กล่าวถึงแล้วในเรื่องของสมถภาวนาว่า ถ้าจิตสงบมั่นคงถึงอัปปนาสมาธิ มีรูปเป็นอารมณ์ ขณะนั้นจิตพ้นจากระดับของกาม เป็นระดับของรูปาวจรจิต ซึ่งเป็นจิตที่สงบแนบแน่นในอารมณ์ แต่ว่ามีรูปเป็นอารมณ์ และถ้าเป็นระดับที่สูงกว่านั้นอีก คือ จิตที่เป็นความสงบมั่นคงแนบแน่นในอารมณ์ที่ไม่ใช่รูป เพราะฉะนั้น อารมณ์นั้นย่อมละเอียดกว่ารูป จิตที่ถึงขั้นนั้น ระดับนั้น เป็นอรูปาวจรจิต
และยังมีจิตที่ประณีตกว่าจิตที่เป็นอรูปาวจรจิต คือ จิตที่ประจักษ์แจ้งในลักษณะของนิพพาน เป็นโลกุตตรจิต
เพราะฉะนั้น จิตจึงต่างกันโดยภูมิ คือ ระดับขั้นของจิต เป็น ๔ ประเภท คือ เป็นกามาวจรจิตประเภทหนึ่ง เป็นรูปาวจรจิตประเภทหนึ่ง เป็นอรูปาวจรจิตประเภทหนึ่ง และโลกุตตรจิตประเภทหนึ่ง
ท่านผู้ฟังสามารถที่จะพ้นจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หรือว่าให้จิตของท่านพ้นจากกามาวจรจิต เป็นรูปาวจรจิต อรูปาวจรจิต โลกุตตรจิตได้ไหม ถ้าไม่อบรมเจริญสมถภาวนาและสติปัฏฐานที่เป็นวิปัสสนาภาวนา
เพราะฉะนั้น ให้ทราบระดับของจิตของแต่ละท่านตามปกติ ตามความเป็นจริงว่า ยังเป็นไป ยังอยู่ในขั้นที่มีความยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ
คำว่า กาม มี ๒ อย่าง คือ กิเลสกาม ๑ วัตถุกาม ๑
กิเลสกาม ได้แก่ ฉันทราคะ คือ โลภะ ความยินดี ความพอใจ เป็นเจตสิก เป็นกิเลสซึ่งมีลักษณะที่ติด ที่ยินดี ที่พอใจ นั่นคือกิเลสกาม หมายความถึง โลภเจตสิก
ส่วนอีกความหมายหนึ่ง ได้แก่ วัตถุกาม
ชื่อว่ากาม เพราะอรรถว่า อันสัตว์ใคร่ หมายความว่า เป็นสภาพธรรมที่เป็นที่ตั้งของความยินดี ความพอใจ ความปรารถนา
เพราะฉะนั้น วัตถุกาม ได้แก่ วัฏฏะ ซึ่งเป็นไปในภูมิทั้ง ๓ คือ ทั้งในกามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ ไม่พ้นจากกิเลสกามตราบใดที่ยังดับโลภะไม่ได้ แล้วแต่ว่า กิเลสกามนั้นจะเป็นความยินดีพอใจในวัตถุกามขั้นใด
สำหรับในกามาวจรภูมิ ซึ่งได้แก่ กามาวจรจิต เป็นจิตที่ยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะอย่างไม่คลาย และอย่างเหนียวแน่น แม้ว่ารูปจะปรากฏเพียงชั่วขณะที่เล็กน้อยเหลือเกิน คือ ชั่วขณะที่กระทบตา เสียงก็ปรากฏเพียงชั่วขณะที่เล็กน้อยเหลือเกิน คือ ชั่วขณะที่กระทบกับโสตปสาท ดับไปแล้ว หมดแล้ว กลิ่นก็เช่นเดียวกัน เป็นปริตตธรรม คือ เป็นสภาพธรรมที่เล็กน้อย ปรากฏเพียงชั่วขณะที่กระทบจมูก รสก็ปรากฏเพียงชั่วขณะที่กระทบกับชิวหาปสาท ชั่วขณะที่ชิวหาวิญญาณลิ้มรสที่น่าพอใจ เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหวที่กระทบสัมผัสกาย ก็เป็นปริตตธรรม คือ เป็นธรรมที่สั้นเหลือเกิน เล็กน้อยมาก ปรากฏเพียงชั่วขณะที่กระทบกับกายปสาทและดับไป แต่ไม่ประจักษ์ความเล็กน้อยของสภาพธรรมเหล่านี้ จิตจึงมีความยินดีพอใจเหลือเกิน
เช่น ในขณะนี้ไม่ได้มีแต่รูปซึ่งปรากฏทางตา เสียงก็มี เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็งก็ปรากฏชั่วขณะเล็กน้อย ทีละนิดทีละหน่อย เล็กน้อยจริงๆ แต่เพราะเกิดดับสืบต่อจนไม่ปรากฏความเล็กน้อยของสภาพธรรมนั้นๆ เช่น เสียงปรากฏแล้วก็หมด ขณะที่กำลังเห็น เห็นเสียงไม่ได้ ขณะที่กำลังเห็นเป็นสภาพที่รู้สิ่งที่ปรากฏทางตา เสียงไม่มีปรากฏรวมอยู่ในสิ่งที่ปรากฏทางตาเลย ฉันใด ขณะที่ได้ยิน ชั่วขณะที่ได้ยิน สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ไม่ได้รวมอยู่ในเสียงนั้นเลย เพราะฉะนั้น เป็นชั่วขณะเล็กน้อยของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่ปรากฏสืบต่อ และเมื่อมีกิเลสกาม มีความยินดีพอใจในกาม ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ก็ไม่มีวันที่จะหมด ซึ่งจะรู้ได้ว่า รูปใดก็ตามที่เป็นที่พอใจ เห็นแล้วก็น่าจะหมดแล้ว พอใจที่ได้เห็น ก็ควรที่จะเพียงพอแล้ว แต่หาพอไม่ เพราะว่าอยากจะเห็นอีกบ่อยๆ เช่นเดียวกับเสียง เสียงใดที่เป็นที่พอใจ เมื่อเสียงนั้นปรากฏให้พอใจแล้วก็น่าจะอิ่ม หรือว่าน่าจะพอแล้ว แต่ก็ยังไม่พอ ยังอยากจะได้ยินเสียงนั้นอีก
กลิ่นก็เช่นเดียวกัน รส ท่านที่เคยชอบรสอาหารชนิดหนึ่งชนิดใด บริโภคครั้งเดียวพอไหม หรือว่าอยากจะบริโภคซ้ำแล้วซ้ำอีกบ่อยๆ เพราะมีความติด มีความยินดี มีความพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะเป็นประจำ และทุกๆ วัน และก็ซ้ำอยู่นั่นเอง คือ ชอบสิ่งที่ปรากฏทางตาในลักษณะใด ก็อยากจะเห็น สิ่งนั้นเองบ่อยๆ แต่ว่าจะเห็นอยู่ตลอดเวลานี้ได้ไหม เป็นไปได้ไหม ก็ไม่ได้ และที่ไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่า เบื่อ หรือว่าอย่างไร แต่เพราะเหตุปัจจัย ทำให้เห็นอยู่ตลอดเวลาไม่ได้
หรือแม้แต่รสที่ว่า แสนอร่อย ถูกปาก ถูกใจ รับประทานเรื่อยๆ ไปไม่หยุด ได้ไหม ก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน ต้องมีเวลาที่จะหยุด เพราะว่าเมื่อหยุดรสที่พอใจแล้ว ก็ไปพอใจในกลิ่น หรือว่าไปพอใจในเสียง หรือว่าพอใจในสิ่งที่ปรากฏทางตา จะต้องมีการพอใจในรูปบ้าง ในกลิ่นบ้าง ในรสบ้าง ในโผฏฐัพพะบ้าง สลับกันอยู่เรื่อยๆ ไม่มีใครสามารถที่จะพอใจในสิ่งที่ปรากฏทางตา เห็นแต่เพียงสิ่งเดียวอยู่ได้ เพราะทุกท่านสะสมความพอใจไม่ใช่เฉพาะในสิ่งที่ปรากฏทางตา
พอใจทั้งในสิ่งที่ปรากฏทางตา ในเสียงที่ปรากฏทางหู ในกลิ่นที่ปรากฏทางจมูก ในรสที่ปรากฏทางลิ้น ในโผฏฐัพพะที่ปรากฏทางกาย ไม่เคยเบื่อใช่ไหม หรือว่าเบื่อ คิดดีๆ เบื่อไหมที่จะเห็น จะได้ยิน จะได้กลิ่น จะลิ้มรส จะรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และคิดนึกถึงสิ่งที่เคยเห็น เคยได้ยิน เคยได้กลิ่น เคยลิ้มรส เคยกระทบสัมผัส
เพราะฉะนั้น กามาวจรจิต เป็นจิตที่ท่องเที่ยว หรือว่าเป็นจิตขั้นกาม คือ ไม่สามารถที่จะพ้นไปจากความยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ
บางท่านบอกว่า อยากจะทำบุญ และเกิดในสวรรค์ อยากจะเกิดในสวรรค์ พ้นจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะไหม ไม่มีวันที่จะพ้น เพราะอารมณ์นั้นประณีตยิ่งกว่าในมนุษย์ เพราะฉะนั้น ความติด ความพอใจ แม้จะเกิดในสวรรค์ชั้นหนึ่งชั้นใดก็ตาม เต็มไปด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่น่าติด น่าใคร่ น่าพอใจ เพราะประณีตยิ่งขึ้น จึงทำให้มีความพอใจ ใคร่ที่จะเกิดในสวรรค์ชั้นสูงขึ้น
บางท่านก็ยังชอบอารมณ์ที่ดีในโลกมนุษย์ ก็อาจจะยังไม่ต้องการสวรรค์ แต่ไม่ว่าจะเป็นการเกิดในโลกมนุษย์ หรือว่าในสวรรค์ก็ตาม เป็นจิตระดับขั้นกาม คือ ไม่พ้นจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ