แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 999
วันหนึ่งๆ ทุกท่านอยากจะมีแต่กุศลจิต ใช่ไหม แต่ถ้าไม่ได้ศึกษาธรรม ก็อยากจะมีแต่อกุศลจิต คือ ชอบโลภะ อยากจะมีแต่โลภะ ทางตาให้เห็นสิ่งที่น่าดู ทางหูให้ได้ยินเสียงที่ไพเราะ ทางจมูกชอบดอกไม้กลิ่นหอมๆ ทางลิ้นชอบรสอร่อย ทางกายไม่ชอบร้อนนัก หนาวนัก เดี๋ยวจะเป็นหวัด เป็นไข้ ไม่มีใครชอบ เพราะฉะนั้น ทุกคนอยากจะมีแต่โลภะ แต่พอศึกษาธรรมแล้ว แม้แต่จะดูหนังก็กลัว เพราะเหตุใด เพราะไม่อยากจะมีโลภะ แม้ว่ายังมีอยู่ แน่นอน ยังไม่หมด เพราะฉะนั้น ต้องรู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่า การที่จิตก่อนจุติจะเป็นกุศลหรืออกุศล ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ถึงแม้ว่าใครอยากจะอ้อนวอนขอร้องให้กุศลจิตเกิดก่อนจุติ ก็ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ แล้วแต่กรรมซึ่งเป็นชนกกรรม คือ กรรมที่จะให้ผลทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดต่อจากจุติจิต ซึ่งต่อไปจะทราบเรื่องประเภทของกรรมต่างๆ ว่า มีกรรมกี่ประเภท มีกิจอะไรบ้าง และกระทำกิจ หรือให้ผลในกาลไหนบ้าง ซึ่งเป็นอนัตตาทั้งหมด ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลย เพราะฉะนั้น ไม่ควรจะประมาท เพราะรู้ว่าอกุศลล้อมรอบทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ หลงลืมสติขณะใด ไม่พ้นจากอกุศลประเภทหนึ่งประเภทใด
เมื่อเป็นผู้ที่ไม่ประมาท และเห็นว่าช่างมีอกุศลมากจริงๆ จึงเป็นผู้ที่อบรมเจริญกุศลทุกประการโดยไม่ประมาท เมื่อเป็นผู้ที่สะสมเหตุ คือ กุศล โดยไม่ประมาท ย่อมอาจจะเป็นปัจจัยให้กุศลที่เป็นเป็นชนกกรรมทำให้กุศลจิตเกิดก่อนจุติจิตเกิด และเมื่อจุติจิตดับไป ก็เป็นปัจจัยให้กุศลวิบากเกิดในสุคติภูมิ เช่น ชาตินี้เกิดแล้วในสุคติภูมิ ชาติก่อนเตรียมตัวมาหรือเปล่า เตรียมตัวก่อนจะจุติชาติก่อนหรือเปล่า ไม่ทัน แต่ว่ามาแล้ว สู่สุคติภูมิ ตามกรรม
เพราะฉะนั้น ก็เตรียมอย่างนี้แหละ คือ ชีวิตประจำวัน เมื่อยังเป็นผู้ที่มีกิเลสมาก มีอกุศลมาก ก็เป็นผู้ที่อบรมเจริญกุศลทุกประการโดยไม่ประมาท เพราะว่าสังสารวัฏฏ์ข้างหน้ายังอยู่อีกมากมาย ถ้ายังไม่เป็นพระอริยบุคคล
ขอกล่าวถึงข้อความใน อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต จูฬนีสูตร ซึ่งพระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงเรื่องของโลกและจักรวาลไว้ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่โดยละเอียดอย่างที่ท่านผู้ฟังสงสัยใคร่รู้ แต่ก็แสดงให้เห็นว่า การสะสมอบรมพระบารมีของพระผู้มีพระภาคนั้น พระองค์จึงทรงเป็นโลกวิทู
ข้อความใน จูฬนีสูตร ข้อ ๕๒๐ มีว่า
ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีภาคว่า ดูกร อานนท์ สาวกของพระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่าอภิภู ยืนอยู่ใน พรหมโลก ให้พันแห่งโลกธาตุรู้แจ้งได้ด้วยเสียง พระเจ้าข้า ส่วนพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเล่า ทรงสามารถที่จะทำโลกธาตุเท่าไรให้รู้แจ้งได้ด้วย พระสุรเสียง
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ดูกร อานนท์ นั่นสาวก ส่วนพระตถาคตนับไม่ถ้วน ฯ
ท่านพระอานนท์ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคแม้ครั้งที่ ๒ แม้ครั้งที่ ๓
ซึ่งในครั้งที่ ๓ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร อานนท์ เธอได้ฟังเรื่องพันโลกธาตุเพียงเล็กน้อย ฯ
ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าแต่พระสุคต บัดนี้เป็นกาลเวลาแห่งเทศนาที่พระองค์จะพึงตรัส ภิกษุทั้งหลายได้สดับธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคแล้ว จักทรงจำไว้ ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร อานนท์ ถ้าอย่างนั้น เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว
ท่านพระอานนท์ทูลรับสนองพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกร อานนท์ จักรวาลหนึ่งมีกำหนดเท่ากับโอกาสที่พระจันทร์พระอาทิตย์โคจร ทั่วทิศสว่างไสวรุ่งโรจน์ โลกมีอยู่พันจักรวาลก่อน ในโลกพันจักรวาลนั้น มีพระจันทร์พันดวง มีอาทิตย์พันดวง มีขุนเขาสิเนรุพันหนึ่ง มีชมพูทวีปพันหนึ่ง มีอปรโคยานทวีปพันหนึ่ง มีอุตตรกุรุทวีปพันหนึ่ง มีปุพพวิเทหทวีปพันหนึ่ง มีมหาสมุทรสี่พัน มีท้าวมหาราชสี่พัน มีเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดาวดึงส์พันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นยามาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดุสิตพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นนิมมานรดีพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัตตีพันหนึ่ง มีพรหมโลกพันหนึ่ง ดูกร อานนท์ นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างเล็ก มีพันจักรวาล
โลกคูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุอย่างเล็กซึ่งมีพันจักรวาลนั้น นี้เรียกว่า โลกธาตุกลาง มีล้านจักรวาล โลกคูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุอย่างกลางมี ล้านจักรวาลนั้น นี้เรียกว่า โลกธาตุอย่างใหญ่ ประมาณแสนโกฏิจักรวาล
ดูกร อานนท์ ตถาคตมุ่งหมายอยู่ พึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณ แสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้ด้วยเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่มุ่งหมาย ฯ
ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคพึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณ แสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งด้วยพระสุรเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่พระองค์ทรงมุ่งหมายอย่างไร ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร อานนท์ พระตถาคตในโลกนี้พึงแผ่รัศมีไปทั่วโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลเมื่อใด หมู่สัตว์พึงจำแสงสว่างนั้นได้ เมื่อนั้นพระตถาคตพึงเปล่ง พระสุรเสียงให้สัตว์เหล่านั้นได้ยิน พระตถาคตพึงทำให้โลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง หรือพึงทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่พระองค์ทรง มุ่งหมาย ด้วยอาการเช่นนั้นแล ฯ
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสดังนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลว่า
เป็นลาภของข้าพระองค์หนอ ข้าพระองค์ได้ดีแล้วหนอที่ข้าพระองค์มี พระศาสดาผู้มีฤทธิ์ มีอานุภาพมากอย่างนี้
เมื่อท่านพระอานนท์กราบทูลอย่างนี้แล้ว ท่านพระอุทายีได้กล่าวกะท่าน พระอานนท์ว่า
ดูกร อานนท์ ในข้อนี้ท่านจะได้ประโยชน์อะไรถ้าศาสดาของท่านมีฤทธิ์ มีอานุภาพมากอย่างนี้
เมื่อท่านพระอุทายีกล่าวอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระอุทายีว่า
ดูกร อุทายี เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้ ถ้าอานนท์ยังไม่หมดราคะเช่นนี้ พึงทำกาละไป เธอพึงเป็นเจ้าแห่งเทวดาในหมู่เทวดา ๗ ครั้ง พึงเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในชมพูทวีปนี้แหละ ๗ ครั้ง เพราะจิตที่เลื่อมใสนั้น
ดูกร อุทายี ก็แต่ว่าอานนท์จักปรินิพพานในอัตภาพนี้เอง ฯ
จบ อานันทวรรคที่ ๓
ถ. เรื่องของจักรวาล มีพระอาทิตย์ ๑ ดวง พระจันทร์ ๑ ดวง ชื่อว่า จักรวาลหนึ่ง แต่เวลาที่โลกจะแตก พระอาทิตย์ขึ้นมา ๗ ดวง ทั้งแสนโกฏิจักรวาล สงสัยว่า ทำไมโลกจะแตก แสนโกฏิจักรวาลจะต้องแตกพร้อมๆ กัน อีกข้อหนึ่ง พระอาทิตย์ประมาณ ๗ ดวง ก็ต้องเป็น ๗ แสนโกฏิจักรวาล พระอาทิตย์มากมายเหล่านั้นมาจากไหนก็ไม่รู้ และเวลาโลกจะแตกก็แตกพร้อมๆ กัน มีก็มีพร้อมๆ กัน ทำไมเป็นอย่างนั้น
สุ. ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องโลก ไม่ใช่เพื่อให้ยิ่งสงสัย หรือว่าให้ ยิ่งคิด แต่ว่าเมื่อทรงแสดงแล้ว ท่านพระอานนท์กล่าวว่า เป็นลาภของท่าน พระอานนท์ที่มีพระศาสดาที่มีอานุภาพอย่างนี้ แสดงให้เห็นถึงพระอานุภาพของ พระผู้มีพระภาค เพื่อความเข้าใจถูกต้องในพระอานุภาพ และเพื่อความเลื่อมใส
ท่านผู้ฟังอย่าลืม ข้อความใน อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ข้อ ๗๗ อจินติตสูตร
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ ประการนี้ อันบุคคลไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน อจินไตย ๔ ประการเป็นไฉน
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๑ ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน ๑ วิบากแห่งกรรม ๑ ความคิดเรื่องโลก ๑
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ ประการนี้แล ไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน ฯ
จบ สูตรที่ ๗
แทนที่จะคิดเอง ถ้าท่านผู้ฟังจะสนใจ มีข้อความใน มโนรถปุรณี อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ทุติยปัณณาสก์ วรรคที่ ๓ ซึ่งเป็นอรรถกถาของพระสูตรที่ ๑๐ คือ จูฬนีสูตร ก็จะทราบถึงเหตุที่ท่านพระอานนท์กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคถึงเรื่องการที่พระผู้มีพระภาคทรงมีพระอานุภาพมากถึงเช่นนี้ น่าสนใจกว่าที่จะคิดเรื่องโลกเองไหม เพราะเป็นข้อความที่ปรากฏในอรรถกถา
ถ. ความจริงพวกเราปัญญาน้อย ฟังแล้วก็ยังเกิดความสงสัย เรียนถามอาจารย์ว่า ที่ตรัสไว้นั้นจะมีตรัสไว้ที่ไหนอีกไหม ที่ว่า ทุกจักรวาลมีมนุษย์หรือสัตว์อยู่ทุกจักรวาล
สุ. ในพระไตรปิฎก ในที่ต่างๆ
ถ. ถ้าอย่างนั้น ทำให้คิดต่อไปว่า พระพุทธเจ้าน่าจะมีอยู่ทุกจักรวาล ไม่น่าจะมีเฉพาะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้
สุ. จะมีพร้อมกัน ๒ พระองค์ไม่ได้ พระคุณนั้นเกินกว่าที่จะมีพระพุทธเจ้าพร้อมกัน ๒ พระองค์ มิฉะนั้นจะไม่อัศจรรย์เลย สิ่งใดที่มี ๒ อย่างเหมือนกัน จะเป็นสิ่งที่อัศจรรย์ไม่ได้
ถ. หมายความว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราต้องไปโปรดสัตว์ที่จักรวาลอื่นด้วย
สุ. ผ่านไปแล้ว ไม่น่าจะคิดอีกเหมือนกัน คือ ความสนใจของท่านผู้ฟังมีหลายอย่าง เป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ แต่ก็ควรที่จะได้ทราบว่า อะไรที่น่าสนใจ อย่างเสียงที่ว่า จะเป็นไปได้ไหมที่ในแสนโกฏิจักรวาลจะได้ยิน หรือว่าในจักรวาลอื่นจะได้ยินเสียงที่ทรงเปล่งออกมาได้หรือไม่ ถ้าเป็นเสียงคนธรรมดาไม่ได้แน่ ใช่ไหม พูดกันปกติก็ดังอยู่ในห้องเล็กๆ แต่ถ้าใช้เครื่องขยายเสียงก็ยังสามารถที่จะไปได้ไกลกว่านั้น และเสียงบางเสียงต้องแล้วแต่เหตุ อย่างเสียงฟ้าร้องดังๆ อย่างนี้ ได้ยินกันทั่วไหม และถ้าดังยิ่งกว่านั้นอีก จะได้ยินทั่วขึ้นยิ่งกว่านั้นหรือเปล่า ซึ่งนั่นเป็นเสียงที่เกิดจากธรรมชาติ ไม่ใช่เกิดจากพระอานุภาพของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่าลืมว่า จิตเป็นใหญ่ เป็นประธาน และมีความวิจิตรมาก แล้วแต่ว่าจิตที่วิจิตรนั้นจะกระทำสิ่งใดให้วิจิตร ถ้าเป็นจิตของพระสาวก จะทำให้วิจิตรได้ภายในกี่จักรวาล ถ้าเป็นจิตของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงสามารถกระทำให้วิจิตรได้ในกี่จักรวาล นั่นก็เป็นเรื่องความต่างกันของจิต
ถ. ถ้าเรามีศรัทธาอย่างจริงใจ เราก็น่าจะเชื่อได้ว่า พระสุรเสียงของพระองค์คงจะปรากฏในจักรวาลอื่นเช่นเดียวกัน ด้วยอำนาจของวิชาทั้ง ๓
สุ. อย่างเรื่องธรรมดาๆ ก็เห็นว่าธรรมดาเกินไป ไม่สงสัย ใช่ไหม อย่างพระจันทร์ดวงเดียว ทำไมเห็นกันได้มากมาย ทุกคนก็เห็นได้ ไม่ว่าบ้านจะอยู่ทิศเหนือ ทิศใต้ ที่ไหน จังหวัดไหน ประเทศไหน ก็ยังเห็นได้ เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นพระอานุภาพที่จะทรงแสดงให้กว้างขวางตลอดไปจนกระทั่งแม้ในซีกโลกอื่น ด้านอื่น ก็ยังสามารถที่จะปรากฏได้ ก็ไม่เกินพุทธวิสัย
ข้อความใน มโนรถปุรณี อรรถกถา จูฬนีสูตร มีว่า
ถอยจากกัปนี้ไปจนถึงกัปที่ ๓๑
คนสมัยนี้จะอดทนไหม ที่จะอบรมเจริญปัญญาอีก มากกว่า ๓๑ กัปก็ได้ เพราะการที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมของแต่ละบุคคล ถ้าศึกษาชีวประวัติของพระสาวก หรือของพระอัครสาวก ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเห็นได้ว่า นานเหลือเกิน แต่ว่าท่านเหล่านั้นก็เป็นผู้ที่มีความอดทนที่จะอบรมเจริญปัญญา
ข้อความต่อไป
ในสมัยที่ถอยจากกัปนี้ไปจนถึงกัปที่ ๓๑ พระผู้มีพระภาคพระนามว่าสิขี ทรงบังเกิดในพระครรภ์ของพระมเหสีพระนามว่าประภาวดี ของพระราชาพระนามว่า อรุณวัต ในนครชื่อว่าอรุณวดี เมื่อพระญาณแก่รอบแล้ว ก็ได้เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ แทงตลอดซึ่งพระสัมมาสัมโพธิญาณ และได้ทรงแสดงพระธรรมจักร และประทับที่พระนครชื่ออรุณวดี
อยู่มาวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่าสิขี ได้เสด็จไปพรหมโลกก่อนเวลาบิณฑบาต และได้โปรดให้พระอัครสาวกนามว่าอภิภูแสดงธรรมแก่ท้าวมหาพรหม และพรหมบริษัท ขณะที่พระเถระกำลังแสดงธรรมอยู่นั้น หมู่พรหมบริษัททั้งหลายก็พากันยกโทษว่า คือ กล่าวโทษว่า แม้พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่นั้น พระเถระก็แสดงธรรมเสียเอง
เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่ใครจะรู้จิตใจของใครในขณะที่ฟังธรรม ซึ่งช่างมีอกุศลที่จะเกิดได้ในลักษณะต่างๆ ก็เป็นธรรมนั่นเองไม่ว่าพระผู้มีพระภาคจะทรงแสดงด้วยพระองค์เอง หรือว่าพระอัครสาวกจะแสดง พระธรรมก็เป็นพระธรรม คือ เป็นคำที่แสดงถึงสัจธรรม สภาพธรรมที่มีจริง แต่แม้กระนั้น พรหมบริษัททั้งหลายก็ไม่พอใจ และก็กล่าวโทษว่า แม้พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่นั่น พระเถระก็แสดงธรรมเสียเอง
พระศาสดาทรงทราบความที่พรหมทั้งหลายเหล่านั้นไม่พอใจพระอัครสาวก จึงตรัสให้พระอัครสาวกแสดงฤทธิ์ให้ปรากฏแก่พรหมบริษัทนั้น เพื่อให้พรหมบริษัทนั้นรู้สึกในความผิดของตน ซึ่งพระเถระก็รับคำของพระศาสดา แล้วได้แสดงฤทธิ์ต่างๆ ยังโลกธาตุพันหนึ่งให้ได้ยินด้วยเสียง
ข้อความต่อไป
ถามว่า ก็พระเถระทำอย่างไร จึงให้พันแห่งโลกธาตุรู้ คือ ได้ยินได้
แก้ว่า พระเถระเข้านิลกสิณก่อน แล้วแผ่ความมืดไปในที่ทั้งปวง ต่อจากนั้น ครั้นเมื่อความรำพึงเกิดขึ้นแก่สัตว์ทั้งหลายว่า ความมืดนี้มีได้อย่างไร ดังนี้ พระเถระจึงแสดงแสงสว่าง เมื่อสัตว์ทั้งหลายพากันพิจารณาอยู่ว่า นี้แสงสว่างอะไร ดังนี้ พระเถระจึงแสดงตน คือ ปรากฏตนให้เห็น เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายในพันแห่งจักรวาลประคองอัญชลีได้ยืนนมัสการพระเถระนั่นเทียว อยู่แล้ว พระเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ว่า มหาชน จงฟังซึ่งเสียงของเราผู้แสดงอยู่ซึ่งธรรม
เทวดาและมนุษย์ทั้งหมดได้ฟังเสียงของพระเถระ เหมือนท่านนั่งอยู่ในท่ามกลางบริษัทผู้มาประชุมกันแล้วแสดงธรรมอยู่ ฉะนั้น แม้ประโยชน์ได้ปรากฏแก่ชนทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่าสิขี พร้อมกับพระอัครสาวกนามว่า อภิภู ได้กลับมาสู่อรุณวดีนคร และพระผู้มีพระภาคก็ได้เสด็จเที่ยวไปบิณฑบาต เมื่อกลับจากบิณฑบาตในกาลภายหลังภัต ก็ได้ตรัสถามภิกษุสงฆ์ว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย พวกท่านเห็นเราหรือไม่ เมื่อภิกษุชื่อว่าอภิภู ดำรงอยู่ในพรหมโลก กล่าวอยู่ซึ่งคาถาทั้งหลาย
ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นรับแล้วว่า เห็นอยู่ พระเจ้าข้า ดังนี้ กระทำให้แจ้งอยู่ซึ่งความที่แห่งคาถาอันตนได้ยินแล้ว
ไม่ว่าพระเถระจะแสดงธรรม กล่าวคาถาอะไร พระภิกษุทั้งหลายก็กล่าวว่า ท่านเหล่านั้นได้ยินเสียงธรรมที่พระเถระแสดง
พระศาสดาทรงประทานแล้วซึ่งสาธุการว่า ดีละ ดีละ ดังนี้ ยังเทศนาให้จบลงแล้ว
พระสูตรนี้อันพระผู้มีพระภาคพระนามว่าสิขี ตรัสไว้แล้วในที่สุดแห่งกัปที่ ๓๑ แต่กัปนี้ ด้วยประการฉะนี้ก่อน