แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1025
สุ. การจำแนกจิตโดยประเภทของโลกียะและโลกุตตระได้กล่าวถึงแล้ว ต่อไปจะกล่าวถึงการจำแนกจิตโดยประเภทของทวาร
เรื่องของโลก เป็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ถ้าไม่มีจิตเกิดขึ้นเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก โลกย่อมไม่มี เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่ขณะไหน ที่ไหน และมีสติระลึกได้ก็รู้ว่า ลักษณะของโลก คือ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่ถ้าไม่ระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏให้ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ไม่ใช่การรู้จักโลก ไม่ใช่การรู้ลักษณะของโลก แต่เป็นการนึกคิดเรื่องโลก ซึ่งไม่ใช่การรู้ลักษณะที่แท้จริงของสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นการยึดถืออาการสัณฐานของโลกที่ปรากฏโดยความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นโลกที่สมมติขึ้น หรือว่าเป็นโลกโดยนัยของสมมติสัจจะ ไม่ใช่โดยนัยของปรมัตถสัจจะ
ในวันหนึ่งๆ ทุกท่านก็ทราบว่า ท่านอยู่ในโลกของสมมติมาก หรือว่ากำลังรู้ลักษณะของโลกแท้ๆ ซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน แต่การที่จะรู้ความจริงว่า เป็นโลกไหน ก็ต้องอาศัยทวาร หรือทางเพื่อรู้อารมณ์
และถึงแม้ว่าจิตจะเป็นสภาพรู้ ในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นก็เป็นสภาพรู้ แต่ขณะนั้นไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก เพราะปฏิสนธิจิตเป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรมหนึ่งซึ่งทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน เพราะฉะนั้น แม้ว่าปฏิสนธิจิตจะเป็นสภาพที่รู้อารมณ์ แต่เมื่อไม่ใช่อารมณ์ของโลกนี้ โลกนี้จึงยังไม่ปรากฏ และเมื่อปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว กรรมทำให้ภวังคจิตเกิดสืบต่อจากปฏิสนธิจิต ดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนั้นไว้ ภวังคจิตเกิดขึ้นและดับไปๆ
ภวังคจิตเกิดดับสืบต่อจากปฏิสนธิจิต ดำรงภพชาติของความเป็นบุคคลนี้ แต่เพราะยังไม่ได้อาศัยตาเกิดขึ้นเห็น ยังไม่ได้อาศัยหูเกิดขึ้นได้ยิน ยังไม่ได้อาศัยจมูกเกิดขึ้นได้กลิ่น ยังไม่ได้อาศัยลิ้นเกิดขึ้นลิ้มรส ยังไม่ได้อาศัยกายรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และในขณะที่ยังไม่ได้คิดนึกเรื่องราวต่างๆ ทางใจ แม้จิตกำลังเกิดขึ้นและดับไปอยู่เรื่อยๆ ก็ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ลักษณะของจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ ที่กำลังเกิดดับได้ จนกว่าจะมีการเห็นขณะใด โลกนี้ คือ โลกทางตาที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ก็ปรากฏให้รู้ว่า โลกนี้เป็นอย่างนี้ทางตา ขณะใดที่จิตอาศัยหู คือ โสตปสาท เป็นโสตทวารเกิดขึ้นได้ยินเสียงเวลาที่เสียงกำลังปรากฏ ก็รู้ว่า โลกนี้มีเสียงอย่างนี้เกิดขึ้น ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย โดยนัยเดียวกัน
เพราะฉะนั้น การที่จะรู้จักโลกโดยไม่อาศัยทวาร ไม่อาศัยทางที่จิตจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์ของโลก ย่อมเป็นไปไม่ได้ นี่เป็นชีวิตตามปกติตามความเป็นจริงซึ่งจะต้องรู้ว่า การที่โลกปรากฏเป็นโลก ซึ่งเต็มไปด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะต่างๆ นั้น ก็เพราะมีทวาร ซึ่งเป็นทางให้จิตเกิดขึ้นรู้จักโลกในทางนั้นๆ
สำหรับทวารซึ่งเป็นทางที่จะให้จิตเกิดขึ้นรู้จักโลก มีทั้งหมด ๖ ทวาร เป็นรูป ๕ ทวาร และเป็นนาม ๑ ทวาร
สำหรับ ๕ ทวารนั้น คือ จักขุปสาทรูปเป็นจักขุทวาร ๑ โสตปสาทรูปเป็น โสตทวาร ๑ ฆานปสาทรูปเป็นฆานทวาร ๑ ชิวหาปสาทรูปเป็นชิวหาทวาร ๑ กายปสาทรูปเป็นกายทวาร ๑ ทั้งหมดนี้เป็นรูปแต่ละรูปซึ่งมีลักษณะพิเศษ เป็นทางที่จะให้จิตเกิดรู้อารมณ์เฉพาะทวารของตนๆ
แต่ว่าไม่ใช่มีแต่เฉพาะการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสเท่านั้นในวันหนึ่งๆ ยังมีการคิดนึก ซึ่งจิตนั้นเองเกิดขึ้นตรึกนึกถึงอารมณ์ต่างๆ ขณะใด ขณะนั้นเมื่อไม่ได้อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็เป็นมโนทวาร หมายความว่า ใจนั่นเองเป็นทวารของการที่จะตรึกนึกถึงเรื่องราวต่างๆ หรือว่ารับรู้ สิ่งที่ปรากฏต่อจากทางตา ต่อจากทางหู ต่อจากทางจมูก ต่อจากทางลิ้น ต่อจาก ทางกาย
นี่เป็นชีวิตปกติประจำวัน เพราะฉะนั้น ควรที่จะได้ทราบความหมาย ลักษณะของทวาร เพื่อที่จะได้พิจารณาสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า แต่ละขณะ ซึ่งเกิดดับ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนอย่างไร
ขณะนี้คงจะไม่มีท่านผู้ใดคิดถึงจักขุปสาทรูปที่อยู่ที่ตัว เป็นรูปที่มีจริง อยู่ที่กลางตา ซึ่งใน อัฏฐสาลินี รูปกัณฑ์ ข้อความในพระบาลี จักขายตนนิทเทส ข้อ ๕๙๖ มีว่า
รูป ที่เรียกว่า จักขายตนะนั้น เป็นไฉน
จักขุใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้ แต่กระทบได้
จักขายตนะ เป็นคำรวมของจักขุและอายตนะ จักขุ คือ ตา อายตนะ คือ ที่ประชุม ที่เกิด เพราะฉะนั้น จักขายตนะ คือ จักขุซึ่งเป็นที่ประชุม เป็นที่เกิดนั่นเองนี่เป็นข้อความที่กล่าวถึงเรื่องของปสาทรูปแต่ละปสาทรูปโดยละเอียด เพื่อให้เข้าใจลักษณะของจักขุปสาทซึ่งกำลังเป็นอายตนะ เป็นที่ประชุม ที่ต่อของรูปารมณ์ที่กำลังปรากฏในขณะนี้
เวลาที่รูปปรากฏทางตาในขณะที่เห็น จะลืมปัจจัยที่สำคัญ คือ จักขุปสาทไม่ได้ เพราะถ้าไม่มีจักขุปสาทรูป สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาจะปรากฏไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น บางครั้งแทนที่พระผู้มีพระภาคจะทรงแสดงเรื่องของรูปที่กำลังปรากฏ ทางตา หรือเสียงที่กำลังปรากฏทางหู ก็ทรงแสดงถึงปัจจัย คือ สิ่งซึ่งเป็นที่อาศัยที่สำคัญที่จะให้รูปนั้นๆ ปรากฏได้ ซึ่งหมายความถึงปสาทรูปทั้งหลายนั่นเอง ถ้าไม่มีจักขุปสาท สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้จะไม่ปรากฏเลย และถ้าไม่มี โสตปสาทรูป เสียงที่กำลังปรากฏในขณะนี้จะปรากฏไม่ได้เลย
ที่สภาพธรรมหนึ่งๆ ปรากฏขึ้นได้ ก็เพราะมีปัจจัยหลายอย่างทำให้สภาพธรรมนั้นๆ ปรากฏได้ เช่น ทางตา สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาจะปรากฏไม่ได้เลย ถ้าปราศจากรูปซึ่งเป็นจักขุปสาทรูป เพราะฉะนั้น แทนที่จะพูดถึงรูปารมณ์ข้างนอกที่กำลังปรากฏ ก็กล่าวถึงปัจจัยสำคัญซึ่งจะทำให้โลกทางตาปรากฏ ซึ่งได้แก่ จักขุปสาทรูปนั่นเอง
ซึ่งข้อความที่อธิบายจักขายตนะมีว่า
จักขุใดเป็นปสาทรูป
ปสาทรูปเป็นรูปพิเศษ มีลักษณะที่ใสสามารถรับกระทบกับรูปารมณ์ทางตา ถ้าเป็นโสตปสาทรูป ก็เป็นรูปที่มีลักษณะที่ใสพิเศษสามารถรับกระทบเฉพาะเสียงเท่านั้น แต่ละปสาทรูปก็มีคุณสมบัติของตนๆ
อาศัยมหาภูตรูป ๔
ข้อความนี้แสดงว่า ขณะใดที่จักขุปสาทรูปเกิดขึ้น จะเกิดขึ้นลอยๆ โดยไม่อาศัยมหาภูตรูป ๔ ไม่ได้ เพราะมหาภูตรูป ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เป็นประธาน และรูปอื่นอีก ๒๔ รูป เป็นรูปที่อาศัยเกิดกับมหาภูตรูปทั้งสิ้น แม้ จักขุปสาทซึ่งกำลังกระทบกับรูปารมณ์ในขณะนี้ก็ต้องอาศัยเกิดกับมหาภูตรูป ๔
จักขุใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้ แต่กระทบได้
นี่คือลักษณะของสิ่งที่กำลังมีอยู่ในขณะนี้ คือ ไม่มีใครสามารถมองเห็น จักขุปสาทรูปได้ แต่จักขุปสาทรูปเป็นรูปที่กระทบได้ ไม่ใช่กระทบทางกาย แต่กระทบกับรูปารมณ์ รูปที่ปรากฏทางตา ถ้าไม่กระทบจักขุปสาท รูปที่ปรากฏทางตาก็ปรากฏไม่ได้ เพราะฉะนั้น จักขุปสาทเป็นรูปที่กระทบได้ แต่เห็นไม่ได้
ที่เคยเข้าใจว่าเห็นตา ขณะนี้ต้องรู้ตามความเป็นจริงว่า ไม่มีวันที่จะมองเห็นจักขุปสาทรูปได้เลย ทุกอย่างที่ปรากฏทางตาเป็นเพียงรูปารมณ์ เป็นรูปที่ปรากฏให้เห็นได้ทางตา ส่วนปสาทรูปซึ่งเป็นรูปที่กระทบกับรูปารมณ์นั้น เห็นไม่ได้ แต่ว่ากระทบได้
สัตว์นี้เห็นแล้ว (บุคคลที่มีจักขุปสาทเห็นแล้วในอดีต) หรือเห็นอยู่ (คือ กำลังเห็นในขณะนี้) หรือจักเห็น หรือพึงเห็นซึ่งรูปอันเป็นสิ่งที่เห็นได้และกระทบได้ด้วยจักขุใด อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า จักขุบ้าง จักขายตนะบ้าง จักขุธาตุบ้าง จักขุนทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง วัตถุบ้าง เนตรบ้าง นัยนะบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า จักขายตนะ
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดยนัยต่างๆ เพื่อที่จะให้ระลึกรู้ลักษณะของ สภาพธรรมซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ในขณะที่กำลังเห็น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตามให้รู้ว่า รูปที่ปรากฏทางตากระทบกับจักขุปสาท ทำให้มีการเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขึ้น
สำหรับข้อความที่อธิบายความหมายของพยัญชนะต่างๆ ของจักขุ มีคำอธิบายว่า
ในพระบาลีมีคำว่า ด้วยจักขุใด เป็นต้น มีความย่อดังต่อไปนี้
สัตว์นี้เห็นแล้วในอดีต
ไม่ใช่เฉพาะตัวท่าน ใครที่ไหน ขณะไหนก็ตาม จะเป็นโลกนี้ โลกไหนก็ตาม ในอดีตเนิ่นนานมาสักเท่าไรก็ตาม
สัตว์นี้เห็นแล้วในอดีต หรือเห็นอยู่ในปัจจุบัน หรือจักเห็นในอนาคตซึ่งรูป มีประการดังกล่าวแล้วนี้ด้วยจักขุใด อันเป็นกรณะ (คือ เป็นเหตุ) ถ้าว่าสัตว์นี้พึงมีจักขุไม่แตกทำลาย เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะพึงเห็นรูปอันถึงคลองด้วยจักขุนี้ หรือเห็นแล้วซึ่งรูปอดีตด้วยจักขุส่วนอดีต หรือเห็นอยู่ซึ่งรูปปัจจุบันด้วยจักขุส่วนปัจจุบัน หรือ จักเห็นซึ่งรูปอนาคตด้วยจักขุส่วนอนาคต
แค่นี้ก็ทำให้ระลึกได้ถึงความไม่เที่ยงของจักขุปสาทในขณะนี้ว่า กำลังเกิดดับ ที่เห็นแล้วเป็นอดีต ทั้งสิ่งที่ปรากฏทางตาและทั้งจักขุปสาทเองก็ดับไปด้วยเมื่อครู่นี้ เพราะฉะนั้น ที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ก็เป็นรูปารมณ์ซึ่งกำลังปรากฏในขณะนี้พร้อมทั้ง จักขุปสาทซึ่งกำลังมีอยู่ คือ ยังไม่ดับไป และขณะนี้เองจักขุปสาทและรูปารมณ์ก็กำลังเกิดดับ ที่เป็นอดีตก็เป็นอดีตแล้ว ที่กำลังเป็นปัจจุบันในขณะนี้ ครู่ต่อไป ขณะต่อไปก็เป็นอดีตแล้ว และสิ่งที่กำลังเห็นในขณะนี้ ก็เป็นอนาคตสำหรับอดีตเมื่อครู่นี้ เพราะฉะนั้น ทั้งจักขุปสาทและรูปารมณ์ในขณะนี้ กำลังเกิดดับ
ในพระบาลีนี้ มีคำ ปริกัป ดังนี้ว่า ถ้ารูปนั้นพึงมาสู่คลองแห่งจักขุไซร้ สัตว์นี้ก็พึงเห็นรูปนั้นด้วยจักขุ
ไม่มีใครจะบังคับว่า ไม่ให้เห็นสิ่งที่ปรากฏเฉพาะหน้าทางตาที่กระทบกับ จักขุปสาท เวลาที่ฟ้าแลบ ไม่มีใครจงใจ ตั้งใจ หรือรู้ล่วงหน้าก่อนว่า ฟ้าจะแลบขณะใด แต่กระนั้นถ้ารูปนั้นมาสู่คลองแห่งจักขุ คือ กระทบกับจักขุปสาทเมื่อไร ก็มีการเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนั้น หรือว่าถ้าต้องการเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็หันจักขุปสาทไปสู่สิ่งนั้น ก็ย่อมจะมีการเห็นสิ่งนั้น เพราะรูปนั้นกระทบกับจักขุปสาท
นี่เป็นสิ่งที่เป็นปกติในชีวิตประจำวัน เพราะจักษุปสาทเป็นรูปที่กระทบกับ รูปารมณ์ที่ปรากฏทางตา เมื่อมาสู่คลองแห่งจักขุ คือ อยู่เฉพาะหน้า หรือว่ากระทบกับจักขุปสาท ก็ต้องมีการเห็น
นี้เรียกว่า จักขุบ้าง ด้วยอรรถว่า บัญชาการเห็น
หมายความว่า ถ้าไม่มีจักขุ ไม่สามารถที่จะมีการเห็นได้
นี้เรียกว่า จักขายตนะบ้าง ด้วยอรรถว่า เป็นถิ่นที่เกิด และเป็นที่ประชุมแห่งธรรม มีผัสสะ เป็นต้น
ที่เป็นจักขายตนะ เพราะจักขุวิญญาณที่ทำกิจเห็นไม่ได้เกิดที่อื่น แต่เกิดที่ จักขุปสาท ในขณะที่กำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา
โดยชื่อ โดยพยัญชนะ ไม่สงสัยเลย เข้าใจลักษณะของจักขุวิญญาณซึ่งเป็นสภาพเห็น หรือรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา เกิดพร้อมกับเจตสิก ๗ ดวง และก็ดับที่จักขุปสาทในขณะที่กำลังเห็นในขณะนี้ แต่ว่าลักษณะจริงๆ ของจักขุวิญญาณซึ่งเป็นสภาพรู้ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนที่กำลังเห็น
นี่เป็นประโยชน์ของการที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องของทวาร ทางที่จิตจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์ต่างๆ เพื่อที่จะให้รู้ลักษณะสภาพของจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ หรือธาตุรู้ ในขณะที่กำลังเห็นที่จักขุปสาท มิฉะนั้นแล้วก็จะปนกับทางใจทันที เห็นคน แต่ถ้ามีการระลึกรู้ลักษณะของสภาพที่ปรากฏที่จักขุปสาท และจักขุวิญญาณเห็นที่จักขุปสาท จะไม่ปรากฏว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน เพราะขณะนั้นเป็นแต่เพียงสภาพเห็น หรือสภาพที่รู้สิ่งที่ปรากฏทางตา
ถ้าไม่รู้อย่างนี้ ไม่ได้ศึกษาเรื่องของทวาร คือ ทางรู้อารมณ์ของจิต โดยละเอียด จะไม่รู้เลยว่า จิตเกิดดับสืบต่อทางจักขุทวาร เมื่อจิตเกิดขึ้นเห็นรูปารมณ์ ดับไปแล้ว ภวังคจิตเกิดสืบต่อ และจิตทางมโนทวารก็เกิดขึ้นรู้สิ่งที่ปรากฏทาง จักขุทวารสืบต่อจากทางจักขุทวาร ซึ่งเป็นการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก เพราะฉะนั้นจึงควรทราบประโยชน์ของการที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องของทวารโดยละเอียด เพื่อไม่ให้ปะปนกันระหว่างจักขุทวารและมโนทวาร โสตทวารและมโนทวาร ฆานทวาร ในขณะที่กลิ่นปรากฏและมโนทวารเกิดสืบต่อ ชิวหาทวารในขณะที่รสปรากฏและ มโนทวารที่เกิดสืบต่อ หรือทางกายที่กระทบสัมผัสเย็น ร้อน อ่อน แข็งทางกายทวาร และมโนทวารเกิดสืบต่อ
ถ้าไม่ศึกษาโดยละเอียดจะไม่รู้ว่า ทวารแต่ละทวารย่อมกระทำกิจต่างๆ กัน