แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1082

โดยนัยของสัมปยุตต์ และวิปปยุตต์ หมายความถึงสัมปยุตต์ที่เป็นอกุศล ๔ และที่เป็นโสภณ ๑

สำหรับอกุศลสัมปยุตต์ ๔ คือ

ทิฏฐิคตสัมปยุตตจิต เกิดร่วมกับความเห็นผิด เป็นโลภมูลจิตประเภทหนึ่ง

ปฏิฆสัมปยุตต์ คือ จิตที่เกิดขึ้นร่วมกับโทสะ เป็นปฏิฆสัมปยุตต์

วิจิกิจฉาสัมปยุตต์ เป็นโมหมูลจิตที่เกิดร่วมกับความสงสัย ลังเล ไม่แน่ใจ

อุทธัจจสัมปยุตต์ เป็นโมหมูลจิตที่เกิดร่วมกับอุทธัจจเจตสิก ซึ่งลักษณะของอุทธัจจเจตสิกในขณะนั้นปรากฏให้รู้ว่า เป็นลักษณะของอุทธัจจสัมปยุตต์

และที่เป็นโสภณสัมปยุตต์ คือ ญาณสัมปยุตต์

ผัสสเจตสิกเกิดกับจิตใดก็เป็นเช่นเดียวกับจิตนั้น เช่น ถ้าผัสสเจตสิกเกิดกับ โลภมูลจิตทิฏฐิคตสัมปยุตต์ ผัสสะนั้นก็เป็นทิฏฐิคตสัมปยุตต์ และถ้าขณะใด ผัสสเจตสิกเกิดร่วมกับโทสมูลจิต ขณะนั้นผัสสเจตสิกนั้นก็เป็นปฏิฆสัมปยุตต์

วิจิกิจฉาสัมปยุตต์ อุทธัจจสัมปยุตต์ ญาณสัมปยุตต์ ก็โดยนัยเดียวกัน

โดยโสภณ อโสภณ จิตใดเป็นโสภณ ผัสสเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิตนั้นก็เป็นโสภณ จิตใดเป็นอโสภณ ผัสสเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิตนั้นก็เป็นอโสภณ

โดยโลกียะ โลกุตตระ ผัสสเจตสิกเกิดกับโลกียจิตก็เป็นโลกียะ ผัสสเจตสิกเกิดกับโลกุตตรจิตก็เป็นโลกุตตระ เพราะฉะนั้น แม้ผัสสเจตสิกก็เป็นโลกุตตรธรรมในขณะที่กระทบกับนิพพาน มีนิพพานเป็นอารมณ์

เพราะฉะนั้น ถ้าได้ศึกษาเรื่องของสภาพธรรมโดยละเอียดยิ่งขึ้นเท่าที่สามารถจะเข้าใจได้ในตอนต้น ก็จะเห็นความเป็นอนัตตายิ่งขึ้น

ขอกล่าวเรื่องของปัจจัยบ้างตามสมควร เพราะถ้าได้ทราบเรื่องของปัจจัย จะทำให้เห็นความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมทั้งหลายว่า สภาพธรรมแต่ละประเภทเกิดขึ้นเพราะมีปัจจัย ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ลอยๆ และสภาพธรรมที่เกิดแล้ว เป็นปัจจัยที่จะให้สภาพธรรมอื่นเกิดในขณะนั้นพร้อมกัน หรือว่าเป็นปัจจัยที่จะให้ สภาพธรรมอื่นเกิดขึ้นข้างหน้าในอนาคต แม้ในอีกแสนโกฏิกัปป์ ผัสสะในขณะนี้เอง ก็จะเป็นปัจจัยได้ถึงอย่างนั้น

สำหรับเรื่องของปัจจัย ท่านผู้ฟังจะยินได้ฟังตั้งแต่ต้นทีเดียวว่า สภาพธรรมที่เป็นสังขารธรรมต้องอาศัยปัจจัยจึงเกิดขึ้น ถ้าไม่มีปัจจัยก็ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้น ก็ได้ยินคำว่า ปัจจัย บ่อย นับตั้งแต่ได้รู้ลักษณะของสังขารธรรม

สำหรับปรมัตถธรรม มี ๔ คือ จิตปรมัตถ์ เจตสิกปรมัตถ์ รูปปรมัตถ์ นิพพานปรมัตถ์ เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมนั่นเองเป็นปัจจัยที่ทำให้สภาพปรมัตถธรรมอื่นเกิดขึ้นพร้อมกันกับตน หรือว่าอาจจะเกิดขึ้นภายหลังที่ สภาพธรรมที่เป็นปัจจัยนั้นดับไปแล้ว

ปัจจัยทั้งหมดโดยประเภทใหญ่ๆ มี ๒๔ ปัจจัย ไม่จำเป็นที่จะต้องฟังแบบท่อง หรือว่าตั้งใจที่จะจำชื่อทั้งหมด แต่ควรที่จะเพียงเริ่มพิจารณาให้เข้าใจในเหตุผลของสภาพธรรมที่กำลังศึกษาให้ละเอียดขึ้น เพื่อการศึกษาต่อไปในแต่ละประเภท เมื่อถึงโอกาส

การศึกษาเรื่องปัจจัย จะต้องศึกษาถึงลักษณะของจิตแต่ละดวงซึ่งเกิดดับ สืบต่อกัน ถ้ายังไม่ทราบว่า จิตดวงไหนเกิดและดับไป เป็นปัจจัยให้จิตดวงไหนเกิดต่อ ก็ไม่สามารถรู้ว่า ในจิตดวงก่อนซึ่งเกิดและดับไปเป็นปัจจัยอะไรที่จะทำให้จิตดวงต่อไปเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น การที่จะรู้ปัจจัยของจิต จะต้องรู้ลักษณะของจิตแต่ละประเภท แต่ละดวง และจะรู้ว่าในจิตแต่ละประเภทแต่ละดวงนั้นเป็นปัจจัยอะไรแก่เจตสิกซึ่งเกิดร่วมกัน หรือว่าแก่สภาพของจิต เจตสิก ซึ่งจะเกิดในภายหลัง

เรื่องปัจจัยจะขอกล่าวโดยโดยย่อ เพียงเพื่อจะให้คุ้นเคยกับชื่อ และให้เข้าใจสภาพของปัจจัยนั้นๆ ตามสมควร

สำหรับปัจจัยทั้งหมด ๒๔ ปัจจัย บางปัจจัยจะชินหูมาก เช่น ปัจจัยที่ ๑ เหตุปัจจัย

ได้ยินคำว่า เหตุ บ่อยๆ และเมื่อศึกษาโดยปรมัตถธรรมก็ทราบว่า สภาพธรรมที่เป็นเหตุ ได้แก่ เจตสิก ๖ ประเภทเท่านั้น จิตทั้งหมดไม่ใช่เหตุ เป็นนเหตุ รูปทั้งหมดไม่ใช่เหตุ เป็นนเหตุ นิพพานก็ไม่ใช่เหตุ เป็นนเหตุ และเจตสิกอื่นอีก ๔๖ ดวงก็ไม่ใช่เหตุ เป็นนเหตุ เพราะฉะนั้น เฉพาะเจตสิก ๖ ดวง คือ โลภเจตสิก ๑ โทสเจตสิก ๑ โมหเจตสิก ๑ เป็นอกุศลเหตุ ๓ ถ้าโลภเหตุเกิดขึ้นขณะใด จะให้จิตเป็นกุศลไม่ได้ เพราะโลภเหตุเป็นอกุศลเหตุ โทสเหตุ โมหเหตุ ก็เช่นเดียวกัน

สำหรับอโลภเจตสิก ๑ อโทสเจตสิก ๑ อโมหเจตสิก ๑ เป็นโสภณเหตุ ไม่ใช้คำแคบๆ ว่า กุศลเหตุ เพราะเจตสิก ๓ ดวงนี้ สามารถเกิดกับกุศลจิตก็ได้ กุศลวิบากจิตก็ได้ หรือว่ากิริยาจิตซึ่งดีงาม ประกอบด้วยเหตุที่ดีงามก็ได้ เช่น จิตของพระอรหันต์ที่ไม่มีกุศลอีกต่อไป แต่จิตของท่านประกอบด้วยจิตที่ดีงาม เพราะฉะนั้น อโลภเจตสิก อโทสเจตสิก อโมหเจตสิก เป็นโสภณเหตุ เพราะเป็นกุศลก็ได้ เป็นกุศลวิบากก็ได้ เป็นกิริยาก็ได้

เมื่อกล่าวถึงผัสสเจตสิก ซึ่งเป็นเจตสิกหนึ่งในอัญญสมานเจตสิก ๑๓ หรือในสัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๗ ซึ่งเกิดกับจิตทุกดวง จะทราบว่า ผัสสเจตสิกไม่ใช่ เหตุปัจจัย เป็นปัจจัยอื่นแต่ไม่ใช่โดยความเป็นเหตุอย่างโลภะ โทสะ โมหะ หรือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เหตุ แต่เพราะผัสสะกระทบจึงนำมาซึ่งผล เช่น เกิดความยินดีบ้าง หรือความโกรธบ้าง ทำให้เกิดการประทุษร้ายบ้าง ทำให้เกิดอกุศลกรรมทางกาย ทางวาจาบ้าง หรือกุศลกรรมทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง เพราะผัสสะเป็นผัสสาหาร เป็นอาหารปัจจัย ไม่ใช่เหตุปัจจัย เพราะว่าไม่ใช่เจตสิก ๖

นี่คือปัจจัยที่ ๑ ที่ได้ยินบ่อยๆ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะในปิฎกไหน ถ้ามีคำพูดถึงเรื่องเหตุปัจจัย ให้ทราบทันทีว่า ได้แก่ เจตสิก ๖ ดวง เจตสิกอื่นจะเป็นเหตุปัจจัยไม่ได้ และข้อความในพระไตรปิฎกก็ต้องสอดคล้องกันทั้งหมดด้วย

ปัจจัยที่ คือ อารัมมณปัจจัย

โลกนี้เกิดขึ้นเป็นไป และมีภพมีชาติสืบต่อไปเรื่อยๆ เพราะยังไม่ได้ดับเหตุ ยังมีเหตุปัจจัยเป็นปัจจัยที่สำคัญ เป็นปัจจัยแรกที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง แต่ปัจจัยที่ ๒ ที่สำคัญ คือ อารัมมณปัจจัย

ได้ยินได้ฟังบ่อย ใช่ไหม อารมณ์ คือ สิ่งที่จิตรู้ สิ่งที่จิตกำลังรู้

ทางตา สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นอารมณ์ของจักขุวิญญาณที่เห็น ทางหู เสียงเป็นอารมณ์ของโสตวิญญาณที่กำลังได้ยิน ซึ่งในวันหนึ่งๆ ทุกท่านปรารถนาอารมณ์ ต่างๆ ทางตาก็ต้องการเห็นสิ่งต่างๆ ทางหูก็ต้องการได้ยินเสียงต่างๆ ทางจมูก ก็ต้องการได้กลิ่นต่างๆ ทางลิ้น อร่อยอีกแล้ว ต้องการที่จะได้รสต่างๆ ทางกายต้องการที่จะกระทบสัมผัสสิ่งต่างๆ ทางใจก็คิดนึกอยู่เสมอด้วยความต้องการ แม้จะไม่รู้ว่า ในขณะที่เพียงคิดก็เป็นโลภมูลจิตแล้วที่คิด

โลภมูลจิตเป็นประจำ ไม่ว่าจะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือแม้ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แต่ทางใจ คิดขณะใด ถ้าขณะนั้นไม่ใช่กุศลประเภทหนึ่งประเภทใด ทั้งทาน หรือศีล หรือความสงบของจิต หรือสติปัฏฐาน ให้ทราบว่า เป็นโลภมูลจิต ยินดีในอารมณ์ที่กำลังปรากฏในขณะที่คิด

ทุกท่านคิดเรื่องที่ท่านต้องการหรือเปล่า ไม่ทราบเลยว่า เพราะต้องการจึงคิดเรื่องนั้น โดยทั่วไปในวันหนึ่งๆ ถ้าขณะนั้นไม่ใช่โทสมูลจิตก็ต้องเป็นโลภมูลจิต ให้เห็นความเกิดขึ้นบ่อยๆ เนืองๆ เพราะว่าทุกท่านคิดเนืองๆ บ่อยๆ ด้วยโลภะซึ่งเป็นเหตุ และเหตุนั้นเองปรารถนาซึ่งอารมณ์ เพราะว่าโลภะเป็นสภาพที่ยินดี ต้องการอารมณ์ต่างๆ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

ผัสสะเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นอารัมมณปัจจัยให้เกิดจิตและเจตสิกที่กำลังรู้ผัสสะได้ไหม

การศึกษาต้องพิจารณาในเหตุผล ถ้าเหตุผลถูก ตรวจสอบได้กับพระไตรปิฎก แต่ถ้าเหตุผลไม่ถูก กลับไปตรวจสอบกับพระไตรปิฎกจะไม่ตรง

อารัมมณปัจจัย หมายความถึงสิ่งซึ่งเป็นอารมณ์ เป็นปัจจัยให้เกิดจิตและเจตสิกซึ่งกำลังรู้อารมณ์นั้น หรืออีกนัยหนึ่ง จิตและเจตสิกกำลังรู้สิ่งใด สิ่งนั้นเป็นปัจจัยโดยเป็นอารมณ์ เป็นอารัมมณปัจจัยให้แก่จิตและเจตสิกที่กำลังรู้อารมณ์นั้น

เพราะฉะนั้น อารัมมณปัจจัย ไม่ใช่อื่นไกลจากสิ่งซึ่งกำลังเป็นอารมณ์ เพราะสิ่งใดที่จิตกำลังรู้ สิ่งนั้นเป็นปัจจัยให้เกิดจิตนั้นโดยเป็นอารมณ์ของจิตนั้น จิตไม่มีอารมณ์เกิดไม่ได้ จิตไม่รู้อารมณ์เกิดไม่ได้

ข้อความในพระไตรปิฎก อุปมาจิตเหมือนกับคนที่มีร่างกายอ่อนแอ จะลุกขึ้นต้องอาศัยไม้เท้า หรือสิ่งที่จะช่วยพยุง คือ อารมณ์ ฉันใด จิตจะปราศจากอารมณ์ไม่ได้ ฉันนั้น จิตเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ ก็ต้องรู้อารมณ์ จึงต้องอาศัยอารมณ์เกิดขึ้น ไม่มีอารมณ์เกิดไม่ได้ ถ้าเสียงไม่เกิด จะให้จิตได้ยินเกิด เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ที่โสตวิญญาณจะเกิด ก็เพราะว่ามีเสียงเป็นปัจจัยให้เกิดโสตวิญญาณ โดยเสียงนั้นเป็นอารัมมณปัจจัยของโสตวิญญาณ

อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยที่สำคัญ เพราะจิตเป็นสภาพที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ และเมื่อจิตเป็นสภาพที่รู้อารมณ์ ก็มีความต้องการอารมณ์ แสวงหาอารมณ์ไม่สิ้นสุด เพราะฉะนั้น จึงทรงแสดงอารัมมณปัจจัยเป็นปัจจัยที่ ๒ ซึ่งผัสสเจตสิกเป็นสภาพที่มีจริง และสามารถที่จะเป็นอารัมมณปัจจัยของจิตที่กำลังรู้ลักษณะของผัสสเจตสิกในขณะนั้นได้

สำหรับตัวท่าน เฉพาะตัวท่าน ผัสสเจตสิกเป็นอารัมมณปัจจัยแล้วหรือยัง เป็นแล้วหรือยัง

ผู้ฟัง ผัสสะเป็นนามธรรม เป็นอารมณ์ให้จิตให้สติระลึกรู้ได้

สุ. เวลาที่สติเกิด ระลึกรู้สภาพธรรมอะไร

ผู้ฟัง รูปบ้าง นามบ้าง

สุ. เคยระลึกรู้ลักษณะของผัสสะไหม

ผู้ฟัง ไม่เคย

สุ. เพราะฉะนั้น ผัสสะยังไม่เป็นอารัมมณปัจจัยแก่จิต

ธรรมเป็นเรื่องที่จะต้องคิด ไม่ใช่เรื่องท่อง ถ้าไม่เข้าใจในเหตุผลเพียงแต่จำ ก็ลืมได้ แต่ถ้าเข้าใจจริงๆ พิจารณาจริงๆ จะไม่ผิด

สภาพธรรมทุกอย่างเป็นอารมณ์ของจิตและเจตสิกได้ ปรมัตถธรรม ๔ คือ จิตปรมัตถ์ เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ มีจริงๆ กำลังรู้ กำลังได้ยิน เป็นสภาพที่ได้ยิน เป็นสภาพที่รู้ เพราะฉะนั้น ถ้าสติระลึกตรงลักษณะของสภาพรู้ หรือธาตุรู้ ก็จะรู้ลักษณะของนามธรรมที่เป็นจิตได้ และสำหรับเจตสิกต่างๆ ก็มีลักษณะเฉพาะของเจตสิกแต่ละประเภท เช่น เวทนาเจตสิกเป็นสภาพที่รู้สึก สัญญาเจตสิกเป็นสภาพ ที่จำ โลภะเป็นสภาพที่ต้องการ โทสะเป็นสภาพที่หยาบกระด้าง เพราะฉะนั้น เมื่อเจตสิกแต่ละประเภทมีลักษณะอาการปรากฏขณะใด สามารถที่จะเป็นอารมณ์ คือ ให้จิตเกิดขึ้นรู้ลักษณะของเจตสิกนั้นๆ ได้

เพราะฉะนั้น จิตเป็นอารัมมณปัจจัยได้ เจตสิกทั้งหมดเป็นอารัมมณปัจจัยได้ รูปเป็นอารัมมณปัจจัยได้ นิพพานเป็นอารัมมณปัจจัยได้ ปรมัตถธรรมทั้งหมดเป็นอารัมมณปัจจัยได้ แม้นิพพานก็เป็นอารัมมณปัจจัยของโลกุตตรจิต

นอกจากนั้นธรรมอื่นซึ่งไม่ใช่ปรมัตถธรรม เช่น บัญญัติต่างๆ ก็เป็น อารัมมณปัจจัยด้วย กำลังเห็นอะไร เห็นเก้าอี้ เก้าอี้เป็นบัญญัติสำหรับสิ่งที่มีรูปร่างสัณฐานที่ปรากฏทางตาอย่างนั้น ที่ใช้คำว่าเก้าอี้ นึกถึงคำว่าเก้าอี้ ขณะนั้นไม่ใช่ปรมัตถธรรม เป็นบัญญัติ แต่ก็เป็นอารมณ์ของจิตได้ทางใจ ไม่ใช่ทางตาที่เห็น ไม่ใช่ทางหูที่ได้ยิน

เพราะฉะนั้น สภาพธรรมทุกชนิด ทั้งปรมัตถธรรมและบัญญัติธรรม เป็นอารัมมณปัจจัยขณะที่จิตกำลังรู้สภาพธรรมนั้นๆ

ที่กำลังคิดถึงทุกวันๆ คิดถึงอะไร คิดถึงปรมัตถธรรม หรือบัญญัติ คิดถึงปรมัตถ์บ้างหรือไม่ แต่ไม่ว่าที่จิตกำลังรู้สิ่งใด ขณะนั้นสิ่งนั้นเป็นอารัมมณปัจจัยแก่ จิตนั้น

เพราะฉะนั้น ผัสสเจตสิกเป็นอารัมมณปัจจัยได้ไหม ได้ เป็นหรือยัง ยัง

ต้องรู้ตามความเป็นจริง เป็นได้ แต่ยังไม่เป็น เพราะสติยังไม่ได้ระลึกรู้ตรงลักษณะของผัสสเจตสิก เพียงเข้าใจเรื่องของผัสสะ และใช้คำว่า ผัสสะ นึกถึงชื่อว่า ผัสสะ ซึ่งในขณะนั้นให้ทราบว่า ยังไม่ได้มีผัสสเจตสิกที่เป็นปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ เพียงแต่ว่ามีบัญญัติ คือ ความจำในเสียงของคำว่าผัสสะเป็นอารมณ์

นี่คือสภาพธรรมตามความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน เพราะเสียงต่างๆ เป็นคำและเสียงต่างๆ เป็นชื่อ เพราะฉะนั้น เวลาที่ทุกท่านมีการคิดนึกเกิดขึ้น ก็คิดนึกถึงชื่อ คิดนึกถึงคำ ด้วยสัญญาความจำในเสียงต่างๆ ที่ทำให้เกิดการคิดนึกถึงสัตว์ บุคคลต่างๆ ตามเสียงต่างๆ นั้น เช่น ได้ยินคำว่า นก คิดถึงสัตว์ชนิดหนึ่ง ได้ยินคำว่า แมว จะคิดถึงนกหรือเปล่า ก็ไม่คิด เพราะฉะนั้น เสียงต่างๆ ก็เป็นคำที่ทำให้จำ หรือว่านึกถึงรูปร่างสัณฐานของสิ่งต่างๆ วัตถุต่างๆ

ปัจจัยที่ ๓ คือ อธิปติปัจจัย

ชื่อของปัจจัยต่างๆ ฟังคุ้นหูในภาษาไทย แต่ยังไม่ทราบว่า โดยสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้แก่อะไร เช่น อธิปติในภาษาไทยใช้คำว่า อธิบดี ธรรมที่เป็นปัจจัยโดยเป็นใหญ่

สภาพธรรมทั้งหลายไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน และสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริงก็เป็นสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมบ้าง รูปธรรมบ้างเท่านั้น แต่ว่าสภาพธรรมที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นนามธรรมหรือรูปธรรมก็ตาม อาศัยกันและกันเกิดขึ้นโดยปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง

เปิด  266
ปรับปรุง  2 มิ.ย. 2565