แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1091

ถ. ยิ้มเพราะโทสะได้ไหม

สุ. โทสมูลจิตเกิดพร้อมกับโทมนัสเวทนา ไม่ได้พูดถึงลักษณะอาการที่ปรากฏ พูดถึงจิตที่ทำให้เกิดการยิ้มหรือแย้มจริงๆ ไม่ใช่แกล้งหรือว่าแสร้ง ใจในขณะนั้นรู้ได้เลยว่าไม่ได้ยิ้ม เพราะฉะนั้น คนอื่นจะรู้ได้ไหมว่า ถึงจะแกล้งอย่างไร ก็ยังไม่ใช่ยิ้ม คนที่เห็นจะรู้ไหม

เพราะฉะนั้น บุคคลนั้นรู้เองว่า เวทนา ความรู้สึกในขณะนั้นเป็นโสมนัสหรือโทมนัส ต้องยอมรับตามความเป็นจริงว่า เวลาที่โทสมูลจิตเกิด ต้องเกิดพร้อมกับโทมนัสเวทนา เมื่อเกิดพร้อมกับโทมนัสเวทนา จะแกล้งหรือแสร้งอย่างไรตนเองก็ ทราบว่า เวทนาในขณะนั้นเป็นโทมนัส เป็นความไม่แช่มชื่น เป็นความไม่สบายใจ เมื่อตนเองยังรู้ คนอื่นจะรู้ไหม บางคนไม่ต้องเล่าความทุกข์ยากให้คนอื่นฟัง เพียงผิดสังเกตนิดเดียวคนอื่นก็ทราบว่า คนนี้กำลังไม่สบายใจ เป็นอย่างนั้นไหม

ถ. ผมสนใจที่ว่า แสร้งหัวเราะ ทำไมจึงต้องแสร้งหัวเราะ อยากให้อาจารย์แก้ไขว่า เมื่ออารมณ์เป็นอย่างนี้ บางทีทางฝ่ายโลกจำเป็นต้องหัวเราะเพื่อ กลบเกลื่อนความจริงที่เกิดขึ้นในใจ ซึ่งทางโลกอาจจะถูกก็ได้ เพื่อให้ผู้ที่อยู่ใกล้เคียงได้เห็นบรรยากาศที่ดีขึ้นจึงต้องหัวเราะขึ้นมา แต่สภาพความเป็นจริงนั้นเป็น โทมนัสเวทนา ซึ่งเป้าหมายที่ถูกต้องเราควรจะมนสิการหรือแก้ไขใจอย่างไรในขณะนั้น สำหรับนักปฏิบัติ

สุ. เป้าหมายในพระพุทธศาสนา คือ การอบรมเจริญปัญญาให้รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ความเป็นจริง คือ สัจธรรม เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น ถ้าท่านผู้ฟังขาดการพิจารณาจะไม่ทราบเลยว่า เป้าหมายของการเป็นพุทธศาสนิกชนผู้มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะคืออย่างไร

ถ้าจะพิจารณา ท่านผู้ฟังได้รับผลอะไรจากการเคารพสักการะในพระรัตนตรัย เริ่มจากพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า การที่ท่านนอบน้อมสักการะ มีความเชื่อมั่นในพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณของ พระผู้มีพระภาคนั้น ท่านได้รับประโยชน์อะไรจากการนอบน้อมสักการะ และที่มี พระธรรมเป็นสรณะ คือ เป็นที่พึ่ง ท่านได้รับประโยชน์ที่แท้จริงอย่างไร ตลอดจนกระทั่งถึงพระสงฆ์ ท่านได้รับประโยชน์อะไรจากการมีพระสงฆ์เป็นสรณะหรือว่า เป็นที่พึ่ง

ธรรมเป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาจนตรง จนรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง มิฉะนั้นจะคลาดเคลื่อนทั้งหมด และไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้

เริ่มจากพระสงฆ์ ท่านได้รับประโยชน์อะไร ได้รับผลอะไรจากการมีพระสงฆ์เป็นสรณะ ทุกท่านเคารพนอบน้อมในพระภิกษุสงฆ์ แต่ได้รับประโยชน์อะไร เคยพิจารณาไหม ประโยชน์อะไรที่ควรจะได้รับ หรือว่าไม่ได้รับอะไรเลย เพราะฉะนั้น การเคารพสักการะจะได้ผลไหม ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างถูกต้อง

เป้าหมายของพระพุทธศาสนิกชน อย่าลืม สัจธรรม การรู้ลักษณะของ สภาพธรรมถูกต้องตามความเป็นจริง ซึ่งถ้าไม่ศึกษาพระธรรมไม่มีทางที่จะรู้ได้เลย หมดปัญญาจริงๆ สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะพิจารณา สภาพธรรมจนประจักษ์แจ้งตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นๆ

หรือว่าท่านได้รับประโยชน์อะไรจากพระเครื่อง ถ้าไม่ใช่พระภิกษุสงฆ์ มีไหม ต้องพิจารณาจริงๆ

ถ. ประโยชน์ของพระเครื่องสำหรับผู้ที่ใช้มาแล้ว ฟังๆ มาก็มาก บางคนมีพระเครื่องแขวนที่คอ เพื่อนฝูง ๕ คน ๑๐ คน ไปเที่ยวด้วยกัน ซึ่งอีก ๕ นาทีต่อไปจะเกิดเรื่องตีกัน ทะเลาะกัน ยิงกัน คนที่มีพระเครื่องสมเด็จเกิดปวดท้องขึ้นมาไปห้องน้ำ ก็พ้นอันตรายไป นี่ก็เป็นประโยชน์ของพระเครื่อง

สุ. นี่เป็นประโยชน์จริงๆ หรือเปล่า เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาประโยชน์ที่แท้จริงว่า ให้เกิดกุศลจิต หรือให้เกิดอกุศลจิต ต้องพิจารณาโดยละเอียดจริงๆ เพราะว่าท่านผู้ฟังมีความติด มีความพอใจในวัตถุ ปรารถนารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ปรารถนาลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ซึ่งเป็นเรื่องของโลภมูลจิต ถ้าไม่รู้ตามความเป็นจริงอย่างนี้จะไม่รู้เลยว่า ที่ท่านปรารถนาต้องการประโยชน์จากสิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้นเพื่อโลภมูลจิตทั้งสิ้น ซึ่งนี่จะเป็นประโยชน์ที่แท้จริงของการมีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ได้ไหม ในเมื่อทุกสิ่งที่ปรารถนาหรือต้องการเป็นเรื่องของโลภะทั้งหมด

เพราะฉะนั้น การเป็นพุทธศาสนิกชนที่มีเป้าหมาย จะต้องเข้าใจด้วยว่า เพื่อสัจธรรม มิฉะนั้นแล้วท่านก็เจริญโลภะ เพราะว่าทุกอย่างที่ต้องการที่ท่านคิดว่า ท่านได้มาจากพระรัตนตรัย ล้วนเป็นโลภมูลจิตทั้งนั้น ซึ่งประโยชน์จริงๆ ต้องทราบว่าไม่ใช่เพื่อเพิ่มหรือเพื่อโลภะ แต่เพื่อกุศลทุกประการที่จะเจริญขึ้น

ถ. ขอขอบคุณท่านอาจารย์ที่ได้อธิบายอย่างดีที่สุด ที่เคารพพระสงฆ์ เพราะได้รู้ความจริง นี่คือประโยชน์ แต่ที่ผมถาม คือ เมื่อรู้ว่าโทมนัสเวทนาเกิดขึ้นในใจแล้ว เฉพาะหน้าเราจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบ หรือจะย่อยโทมนัสเวทนาลงไปอย่างไร

สุ. จุดประสงค์ คือ ให้รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง คือ สัจธรรม เพราะฉะนั้น ทางเดียวที่ดีที่สุด คือ ระลึกรู้ลักษณะของโทมนัสเวทนา หรือลักษณะของโทสะ หรือลักษณะของจิตในขณะนั้นตามความเป็นจริงว่า เป็น สภาพธรรมชนิดหนึ่งๆ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยและก็ดับไป

นี่คือสัจธรรม ไม่ใช่ให้ไปทำอย่างอื่นให้เป็นที่นิยมชมชื่น หรือให้หลอกผู้อื่นต่อไป หรือว่าให้ทำอะไรต่างๆ แต่ว่าต้องรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ส่วนใครจะทำอะไรนั้น เป็นเรื่องของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ซึ่งสติปัญญาต้องรู้ตามความเป็นจริงว่า เป็นสภาพธรรมแต่ละชนิด แต่ละลักษณะ ที่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

สำหรับสหชาตาธิปติปัจจัย จิตทั้งหมดมี ๘๙ ดวง แต่เป็นสหชาตาธิปติปัจจัยไม่ใช่ทั้ง ๘๙ ดวง ต้องเป็นจิตที่มีกำลัง คือ เป็นชวนจิต และต้องประกอบด้วยเหตุ ๒ เหตุขึ้นไป

เจตสิกเป็นสหชาตาธิปติปัจจัยได้ไหม ได้

เจตสิกที่เป็นสหชาตาธิปติปัจจัย ได้แก่ ฉันทเจตสิก วิริยเจตสิก และ ปัญญาเจตสิก

รูปเป็นสหชาตาธิปติปัจจัยได้ไหม ไม่ได้

นิพพานเป็นสหชาตาธิปติปัจจัยได้ไหม ไม่ได้ เพราะสหชาตาธิปติปัจจัย หมายถึงนามธรรมที่เกิดร่วมกัน ได้แก่ จิตและเจตสิกเท่านั้น

จิตและเจตสิกเกิดร่วมกันก็จริง แต่ในบางกาล ในบางครั้ง สภาพธรรมบางอย่างในขณะนั้นเกิดขึ้นเป็นหัวหน้า สภาพธรรมที่จะเป็นหัวหน้า เป็นอธิบดี เป็นใหญ่ได้ ได้แก่ สภาพธรรมเพียง ๔ อย่าง คือ สภาพธรรมที่เป็นเจตสิก ได้แก่ ฉันทเจตสิก วิริยเจตสิก ปัญญาเจตสิก และสภาพธรรมที่เป็นจิตได้แก่ ชวนจิต ๕๒ ดวง

ถ. สติหลงลืมบ่อย มาจากสาเหตุอะไร

สุ. อวิชชาหมดหรือยัง

ถ. ยัง

สุ. มากไหม

ถ. ปกติก็มาก

สุ. โลภะมากไหม

ถ. มาก แต่บางครั้งสติก็มีมาก ที่หลงลืมบ่อยเป็นเพราะ...

สุ. วันหนึ่งๆ กุศลจิตเกิดมาก หรืออกุศลจิตเกิดมาก เฉพาะวันนี้ ถ้ายังนึกถึงวันก่อนไม่ได้

ถ. อกุศลจิตเกิดเป็นประจำ นานๆ จะเกิดกุศลจิตสักครั้ง

สุ. วันนี้ยังเป็นอย่างนี้ คือ วันนี้อกุศลจิตก็ยังเกิดมาก อวิชชาก็มาก วันก่อนก็คงเหมือนวันนี้ และวันก่อนๆ ในอดีต ในแสนโกฏิกัปป์ก็เหมือนวันนี้

และยังสงสัยหรือ ว่าทำไมจึงได้หลงลืมสติมากนัก ในเมื่อมีเหตุปัจจัยที่เป็นอกุศลสั่งสมมาเนิ่นนานแสนนานที่จะให้หลงลืมสติอยู่เรื่อยๆ

ถ. นิวรณ์ ๕ กามฉันทนิวรณ์ที่ทอนกำลังปัญญา หรือทอนการเจริญ สติปัฏฐาน ผมคิดว่า ปกติเรามีความยินดีพอใจในกามคุณ ๕ เป็นอย่างยิ่ง เพราะสิ่งนี้หรือไม่จึงทำให้หลงลืมสติมาก ไม่ยินดีในการศึกษาธรรม สดับพระธรรมเท่าที่ควร

สุ. คำตอบเหมือนกัน เคยพอใจมาแล้วในอดีตมาก เคยมีอวิชชามาแล้วในอดีตมาก เพราะฉะนั้น ย่อมมีปัจจัยให้เกิดอวิชชาและโลภะในปัจจุบันมาก

ทำไมต้องกังวล แทนที่สติจะระลึกทันที เมื่อไม่ค่อยเกิดก็ยังสงสัยว่า ทำไมไม่ค่อยเกิด เมื่อไม่ค่อยเกิดก็เกิดเดี๋ยวนี้ เท่านั้นเอง

มัวไปนั่งคิดว่า ทำไมไม่เกิด แทนที่สติจะระลึกทันที ถ้าระลึกเดี๋ยวนี้ทันที หมดปัญหา ไม่ต้องไปคิดว่า ทำไมไม่เกิดๆ ก็สงสัยอยู่อย่างนั้น ซึ่งเปล่าประโยชน์ แต่ที่จะให้สติมีกำลังเพราะระลึกทันทีในขณะนี้

ต่อไปนี้เลิกสงสัยอย่างนั้น อาจจะเกิดสงสัยอีก ก็ให้ทราบว่า ทางเดียว คือ สติระลึกทันที ถ้าสงสัยอีก ก็ระลึกทันทีอีก เท่านั้นเอง

ถ. ความยินดีพอใจในกามฉันทนิวรณ์ ผมคิดว่า กามฉันทนิวรณ์นี้ร้ายกาจ ทำลายปัญญา หรือทำลายความยินดีในการเจริญสติปัฏฐาน วิธีที่จะทอนหรือทำลายกามฉันทนิวรณ์ให้ลดหรือเบาบางไปจะทำอย่างไร ผมยังมองไม่เห็นเลย จะประพฤติอย่างไรดี

สุ. อยากจะทอน จะทอนอย่างไร

ถ. นิวรณ์ทั้ง ๕ นี้ ผมเห็นว่า กามฉันทนิวรณ์เป็นหลักใหญ่ที่สุด

สุ. ระลึกทันที สติปัฏฐานเกิด ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทันที เป็นหนทางเดียวหรือเปล่าที่จะต้องให้แน่ใจจริงๆ เพราะท่านผู้ฟังหลายท่านพยายามหาวิธีอื่น พยายามทอนอย่างนี้ ทำอย่างนั้น พยายามทุกอย่าง แต่ว่าไม่ใช่หนทางที่จะดับกิเลส แม้ว่าจะพยายามแสวงหาทางอื่นเพียงใดก็ตาม หนทางเดียวที่จะทอนได้จริงๆ จนกระทั่งสามารถดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท คือ สติปัฏฐานเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ทันที นี่เป็นหนทางเดียว

ผู้ฟัง อาจารย์กล่าวมาหลายปีให้สติระลึกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสกับอชิตมาณพว่า อกุศลมีกามราคะ มานะ ทิฏฐิ อวิชชา และทุจริตทั้งหลายย่อมไหลเข้าไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้มีสติ เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง ให้มีสติระลึกรู้ อาจารย์บรรยายมาตั้ง ๑๐ กว่าปีแล้ว ให้ระลึกอยู่ที่ ตรงนี้

เปิด  241
ปรับปรุง  2 มิ.ย. 2565