แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1105
สุ. จิตมีลักษณะเดียวคือเป็นสภาพรู้ หรือธาตุรู้ เพราะฉะนั้น การที่จะประจักษ์ลักษณะของจิตที่ว่าไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ต้องรู้ในอาการรู้ ซึ่งเป็นลักษณะของจิต ถ้าไปรู้ในอาการอื่น ไม่มีทางที่จะเข้าใจในสภาพรู้ได้
ผู้ฟัง เคยโต้เถียงกับผู้บรรยายว่า โดยสภาวะของจิต จิตเป็นสภาพที่รู้อารมณ์ ไม่ใช่จะไปสั่งอะไรได้ แต่ท่านก็ไม่ยอม ท่านบอกว่า สั่งนะโยม ที่โยมนั่งอยู่อย่างนี้ เพราะจิตสั่ง ท่านว่าอย่างนั้น ฆราวาสก็เหมือนกัน ฆราวาสที่ท่านบรรยายธรรมก็ว่าจิตสั่ง เดี๋ยวนี้ก็ยังบรรยายอย่างนี้อยู่ทางวิทยุ
สุ. ในจิต ๘๙ ดวง และในวิถีจิตทุกขณะ ตรวจสอบได้ว่าจิตแต่ละขณะนั้นมีอะไรเป็นอารมณ์ แม้แต่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น เพราะกรรมเป็นปัจจัย ปฏิสนธิจิตมีอารมณ์เดียวกับจิตที่ใกล้จะจุติของชาติก่อน เพราะฉะนั้น ปฏิสนธิจิตกำลังมีอารมณ์นั้น เกิดขึ้นขณะเดียวและดับ ไม่ได้สั่งอะไร เพราะว่าจิตเป็นสภาพรู้ แม้แต่ กัมมชรูปซึ่งเกิดเพราะปฏิสนธิจิตเป็นสหชาตปัจจัย ในขณะนั้น กัมมชรูปเกิดพร้อม อุปาทขณะของปฏิสนธิจิต คือ ทันทีที่ปฏิสนธิจิตเกิด กัมมชรูปก็เกิดพร้อมกันใน อุปาทขณะ ขณะนั้นก็ไม่ได้สั่ง ภวังคจิตก็มีอารมณ์เดียวกับปฏิสนธิจิต รู้อารมณ์เดียวกับปฏิสนธิจิต จะสั่งได้ไหม เพราะฉะนั้น ภวังคจิตก็สั่งไม่ได้ จนกระทั่งวิถีจิต แต่ละดวงก็มีอารมณ์และมีกิจการงานเฉพาะของจิตนั้นๆ ซึ่งเป็นสภาพรู้อารมณ์ แต่ละขณะ
ผู้ฟัง ที่อาจารย์กรุณาอธิบาย ผมเห็นด้วย แต่มีผู้ฟังอื่นที่ยังเข้าใจไขว้เขว อีกมาก แม้แต่ในการสนทนาธรรม เขาก็ยังเถียงเรื่องจิตสั่งนี้ ปรมัตถธรรมมี ๔ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน นิพพานนั้นเราไม่ต้องพูดถึง แค่จิต เจตสิก รูป ๓ ปรมัตถ์ ถ้าจิตเป็นผู้สั่ง อะไรเป็นผู้รับคำสั่ง เจตสิกหรือ เจตสิกก็ต้องเกิดพร้อมกับจิตจะไปรับคำสั่งจากจิตอีกอย่างไร ส่วนรูปก็เป็นสภาวธรรมที่รู้อารมณ์ไม่ได้ เมื่อรูปรู้อารมณ์ไม่ได้ จะไปรับคำสั่งจากใครได้
สุ. และโดยเฉพาะสหชาตปัจจัย จิตเป็นสหชาตปัจจัยทำให้จิตตชรูปเกิดพร้อมกันในอุปาทขณะ เพราะฉะนั้น ไม่มีโอกาสจะสั่ง เพราะว่าเกิดพร้อมกัน
ผู้ฟัง ที่ฟังอยู่ทุกวันนี้ ท่านก็อ้างอยู่ว่า จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน เพราะฉะนั้น ที่เคลื่อนไหวอยู่นี้เพราะจิตสั่งทั้งนั้น แต่ผมไม่เห็นด้วย ผมเห็นด้วยตามแนวทางที่อาจารย์บรรยายนี้
สุ. เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมต้องละเอียดจริงๆ ไม่ใช่เพื่อเหตุอื่น นอกจากเพื่อให้พิจารณาจนกว่าจะเข้าใจแจ่มแจ้งถูกต้องตามความเป็นจริง มิฉะนั้นแล้วการศึกษาธรรมไม่มีประโยชน์ ถ้าไม่ใช่ศึกษาเพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมตรงตามที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้ และตรงตามลักษณะของสภาพธรรมซึ่งสามารถพิสูจน์หรือประจักษ์แจ้งได้ เพียงแต่ให้ทราบว่า เป็นเรื่องที่ละเอียด และท่านผู้ฟังต้องพิจารณาไตร่ตรองจนกว่าจะเป็นความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง
สำหรับเรื่องของสหชาตปัจจัย จะทำให้เข้าใจเรื่องของจิตและจิตตชรูปว่า จิตเป็นสหชาตปัจจัยของจิตตชรูป คือ เป็นปัจจัยให้จิตตชรูปเกิดพร้อมกับอุปาทขณะของจิต
สำหรับหมวดที่ ๕ คือ มหาภูตรูป ๔ เป็นสหชาตปัจจัยให้เกิดอุปาทายรูป
อย่าลืม นอกจากมหาภูตรูป ๔ เป็นสหชาตปัจจัยให้เกิดมหาภูตรูป ๔ โดยต่างก็เป็นสหชาตปัจจัยแล้ว ในหมวดที่ ๕ มหาภูตรูป ๔ เป็นสหชาตปัจจัยให้เกิด อุปาทายรูป ๔ เพราะฉะนั้น นอกจากธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ซึ่งเป็นมหาภูตรูป ๔ เกิดขึ้นแล้ว ยังเป็นสหชาตปัจจัยให้สี กลิ่น รส โอชา และอุปาทายรูปอื่นในกลุ่มหรือในกลาปนั้นเกิดขึ้นพร้อมกันกับมหาภูตรูปนั้น เพราะว่ามหาภูตรูปเป็นสหชาตปัจจัยให้เกิดอุปาทายรูป
สำหรับหมวดที่ ๖ ก็ได้กล่าวถึงแล้วว่า ในปฏิสนธิกาล หทยวัตถุเป็นสหชาตปัจจัยแก่ปฏิสนธิจิต แต่ในปวัตติกาล หทยวัตถุจะเป็นสหชาตปัจจัยให้เกิดจิตไม่ได้ คือ หลังจากที่ปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว จิตดวงต่อๆ ไปก็ต้องอาศัยรูปเกิดขึ้น ในขณะที่เป็นภวังคจิต ไม่เห็น ไม่ได้อาศัยจักขุปสาท ไม่ได้เกิดที่จักขุปสาท ในขณะที่เป็นภวังค์ก็ไม่ได้ยิน เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นจิตก็ไม่ได้เกิดที่โสตวัตถุ ไม่ได้เกิดที่โสตปสาท แต่ในขณะที่เป็นภวังค์ จิตเกิดที่หทยวัตถุซึ่งไม่ได้เกิดพร้อมกับจิต เพราะว่าหลังจากปฏิสนธิขณะ ที่รูปจะเป็นปัจจัยได้จะต้องเป็นปัจจัยเฉพาะในฐีติขณะ ไม่ใช่ใน อุปาทขณะ เพราะฉะนั้น สำหรับภวังคจิตจะอาศัยหทยวัตถุซึ่งเกิดก่อนเป็นที่เกิด หรือแม้แต่จักขุวิญญาณที่กำลังเห็นในขณะนี้ ก็ต้องอาศัยปสาทรูปซึ่งเกิดก่อนเป็นที่เกิด
รูปทุกรูป นอกจากปฏิสนธิขณะแล้ว จะเป็นปัจจัยโดยเป็นวัตถุก็ดี โดยเป็นทวารก็ดี โดยเป็นอารมณ์ก็ดี จะเป็นได้เฉพาะในขณะที่เป็นฐีติขณะ แต่ในอุปาทขณะ รูปจะเป็นปัจจัยไม่ได้
ปัจจัยต่อไป คือ ปัจจัยที่ ๗ อัญญมัญญปัจจัย
ภาษาไทยเคยใช้ไหมคำนี้ อัญญมัญญะ มีใช้ไหมในภาษาไทย ไม่มี อาจจะมีคำคล้ายคลึง แต่ไม่ใช่ ความหมายคนละอย่าง
สำหรับอัญญมัญญปัจจัย หมายความถึงสภาพธรรมที่ต่างอาศัยพึงพิงซึ่งกันและกันจึงจะเกิดขึ้นและตั้งอยู่ได้ ซึ่งมีคำอุปมาว่า เหมือนไม้ ๓ อัน ที่จะตั้งอยู่ได้ต้องอาศัยซึ่งกันและกันค้ำกันอยู่จึงจะตั้งอยู่ได้ ฉันใด สำหรับสภาพธรรมที่เป็น อัญญมัญญปัจจัย ก็คือ สภาพธรรมนั้นต่างอาศัยซึ่งกันและกัน ซึ่งมี ๓ หมวด คือ
หมวดที่ ๑ จิตทุกดวงและเจตสิกทุกดวง เป็นอัญญมัญญปัจจัยซึ่งกันและกัน
แสดงให้เห็นว่า จิตจะเกิดโดยไม่มีเจตสิกไม่ได้ และเจตสิกจะเกิดโดยไม่มีจิตไม่ได้ และนอกจากจะเป็นอัญญมัญญปัจจัยแล้ว ยังต้องเป็นสหชาตปัจจัย คือ ต้องเกิดพร้อมกันด้วย หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า จิตและเจตสิกนอกจากจะเกิดพร้อมกัน คือ เป็นสหชาตปัจจัยแล้ว ยังต้องเป็นอัญญมัญญปัจจัย คือ ต้องอาศัยซึ่งกันและกันด้วย
จิตต้องอาศัยเจตสิกหรือเปล่า อาศัย เพราะเจตสิกเป็นอัญญมัญญปัจจัยของจิต เจตสิกอาศัยจิตหรือเปล่า อาศัย เพราะจิตเป็นอัญญมัญญปัจจัยของเจตสิก นี่คือ หมวดที่ ๑
หมวดที่ ๒ มหาภูตรูป ๔ เป็นอัญญมัญญปัจจัยของมหาภูตรูป ๔
หมวดที่ ๓ ปฏิสนธิจิตและเจตสิก ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ เป็นอัญญมัญญปัจจัยของปฏิสนธิหทยวัตถุ
ถ้าแสดงโดยปัจจัย คือ นอกจากจะเป็นสหชาตปัจจัยแล้ว ยังเป็นอัญญมัญญปัจจัยด้วย ซึ่งมีเพียง ๓ หมวดที่เป็นสภาพธรรมที่ต่างต้องอาศัยพึ่งพิงซึ่งกันและกัน
อัญญมัญญปัจจัยต่างกับสหชาตปัจจัยไหม
ต่างกัน เพราะว่าสภาพธรรมบางอย่างเกิดพร้อมกันจริง แต่ไม่ได้เป็น อัญญมัญญปัจจัย เช่น จิตและเจตสิกเป็นปัจจัยให้จิตตชรูปเกิดขึ้นโดยสหชาตปัจจัย แต่ว่าจิตและเจตสิกไม่ได้เป็นอัญญมัญญปัจจัยของจิตตชรูป เนื่องจากจิตตชรูปอาศัยจิตเกิดเพราะมีจิตเป็นสมุฏฐาน แต่ว่าจิตตชรูปไม่สามารถทำให้จิตเกิดได้ คือ เมื่อจิตเกิดขึ้น จิตนั้นเป็นสหชาตปัจจัยให้จิตตชรูปเกิด แต่ว่าจิตตชรูปไม่ได้เป็นปัจจัยให้จิตเกิด เพราะฉะนั้น จิตตชรูปไม่เป็นอัญญมัญญปัจจัยให้กับจิตและเจตสิก หรือ จิตตชรูปไม่เป็นสหชาตปัจจัยให้กับจิตและเจตสิก ถูกไหม แม้สหชาตปัจจัย จิตตชรูปก็ไม่ได้เป็นปัจจัย แต่จิตตชรูปเป็นปัจจยุปบัน เพราะว่าจิตและเจตสิกเป็นสหชาตปัจจัยให้จิตตชรูปเกิด จิตตชรูปนั้นเกิดเพราะจิต เพราะจิตเป็นสมุฏฐาน แต่จิตนั้นไม่ได้เกิดเพราะจิตตชรูป
เพราะฉะนั้น สำหรับจิตตชรูป ไม่เป็นสหชาตปัจจัย แต่เป็นสหชาตปัจจยุปบัน และไม่เป็นอัญญมัญญปัจจัย เพราะว่าจิตตชรูปไม่ได้เป็นปัจจัยให้จิตเกิด
จิตเป็นอัญญมัญญปัจจัยของจิตตชรูปหรือเปล่า
ไม่เป็น เพราะอัญญมัญญะ หมายความว่า ทั้งปัจจัยและปัจจยุปบันต่างต้องอาศัยกันและกัน จิตตชรูปอาศัยจิต แต่จิตไม่ได้อาศัยจิตตชรูปเกิด จิตเป็นปัจจัยให้จิตตชรูปเกิด แต่จิตตชรูปไม่ได้เป็นปัจจัยให้จิตเกิด เพราะฉะนั้น จิตและเจตสิกเป็นสหชาตปัจจัยของจิตตชรูป แต่จิตและเจตสิกไม่ได้เป็นอัญญมัญญปัจจัยของจิตตชรูป จิตตชรูปเป็นสหชาตปัจจัยของจิตหรือเปล่า
อย่าลืม จิตตชรูปเป็นรูปซึ่งเกิดเพราะจิตเป็นสมุฏฐาน เพราะฉะนั้น จิตตชรูปไม่ใช่สหชาตปัจจัยของจิต แต่เป็นสหชาตปัจจยุปบัน เพราะว่าจิตเป็นสหชาตปัจจัยให้จิตตชรูปเกิด
เป็นเรื่องละเอียดจริงๆ ถ้าท่านผู้ฟังรู้สึกว่าละเอียดเกินไป ยังไม่อยากจะสนใจ ก็ไม่เป็นไร เพียงแต่ให้ทราบว่า นี่คือสภาพธรรมซึ่งเคยยึดถือว่าเป็นเรา เป็นตัวตน แต่ว่าแต่ละขณะนี้ จิต เจตสิกเกิดดับ รูปเกิดดับ และโดยเป็นปัจจัยต่างๆ รูปใน ขณะนี้จึงเป็นอย่างนี้ หรือว่านามธรรม คือ จิตและเจตสิก ในขณะนี้จึงเป็นอย่างนี้
สำหรับอัญญมัญญปัจจัย ง่าย คือ ปัจจยุปบันจะต้องเป็นที่อิงอาศัยให้เกิดปัจจัยด้วย และปัจจัยต้องเป็นที่อิงอาศัยให้เกิดปัจจยุปบันด้วย มิฉะนั้นแล้วก็เป็นได้เพียงสหชาตปัจจัย แต่เป็นอัญญมัญญปัจจัยไม่ได้
ปัจจัยอื่นๆ ต่อไป ไม่ยาก เป็นเรื่องที่เคยได้กล่าวถึงแล้ว แต่ว่าเมื่อแสดงโดยชื่อ ก็ดูเหมือนยาก เช่น ปุเรชาตปัจจัย
ปุเร แปลว่า ก่อน
ชาตะ แปลว่า เกิด
เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่จะเป็นปัจจัยต้องเกิดก่อน ไม่ใช่เกิดพร้อมกัน เป็นปุเรชาตปัจจัย ไม่ใช่สหชาตปัจจัย ถ้าสหชาตปัจจัย ต้องเกิดพร้อมกันในอุปาทขณะ ถ้าปุเรชาตปัจจัย สภาพธรรมที่จะเป็นปัจจัยได้ต้องเกิดก่อน ซึ่งพอจะทราบได้ใช่ไหมว่าได้แก่อะไร ก็ได้แก่ รูปที่จะเป็นปัจจัยให้จิตเกิดได้นั้น รูปนั้นต้องเกิดก่อน นอกจาก อุปาทขณะของปฏิสนธิจิตเท่านั้นที่เป็นขณะพิเศษ ซึ่งรูปสามารถจะเป็นปัจจัยใน อุปาทขณะ หลังจากนั้นแล้วต้องเป็นปัจจัยได้เฉพาะในฐีติขณะทั้งหมด เพราะฉะนั้น รูปทุกรูปจึงเป็นปุเรชาตปัจจัยเมื่อเป็นปัจจัยให้จิตเกิด นี่ก็ไม่ยาก ปัจจัยต่อๆ ไป ไม่ยาก เพียงแต่ว่าต้องละเอียด
ถ. … (ได้ยินไม่ชัด)
สุ. ก็เป็นเรื่องที่ควรรู้ เป็นนามเป็นรูป แต่ก็ควรรู้ เป็นเรื่องที่จะรู้ลักษณะของนามและรูปนั่นเอง แม้แต่การประจักษ์การเกิดดับของรูปก็ต้องทราบว่า ไม่ใช่ใน อุปาทขณะ เป็นเรื่องที่จะต้องรู้ตามความเป็นจริง แต่ทำไมจึงว่าเกิดและดับ เพราะปรากฏเป็นอารมณ์ แต่ที่จะปรากฏเป็นอารมณ์ได้ ไม่ใช่ในอุปาทขณะ
รูปมีอายุ ๑๗ ขณะของจิต และถ้านับขณะย่อย คือ อุปาทขณะ ฐีติขณะ ภังคขณะของจิตดวงหนึ่งๆ ก็เป็น ๕๑ ขณะย่อย ในอุปาทขณะของจิตก็เป็น อุปาทขณะของรูป เพราะฉะนั้น ที่เป็นฐีติขณะนั้นก็ ๔๙ ขณะย่อย ซึ่งจะปรากฏเพราะว่ารูปในขณะที่เป็นอุปาทขณะนั้นอ่อนมาก ไม่สามารถที่จะเป็นแม้ทวาร หรือวัตถุ หรืออารมณ์ได้
ท่านผู้ฟังกล่าวว่า เรื่องของปัจจัยทั้งหมด ก็คือนามธรรมและรูปธรรมเท่านั้นเอง ซึ่งก็เป็นความจริง เพราะถ้าจะกล่าวว่า ศึกษาปรมัตถธรรม หรือจะกล่าวว่า ศึกษาปัจจัย ก็มีความหมายอย่างเดียวกัน เพราะว่าปรมัตถธรรมนั่นเองต่างเป็นปัจจัยซึ่งกันและกันเกิดขึ้นเป็นไปทั้งนามธรรมและรูปธรรม แต่แม้จะรู้ว่าเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม การที่จะละการยึดถือนามธรรมและรูปธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล หรือเป็นเรา ก็เป็นเรื่องยากที่จะเป็นไปได้ ไม่ใช่ว่าเมื่อรู้ว่าเป็นนามธรรมและเป็นรูปธรรมแล้ว จะหมดการยึดถือนามธรรมและรูปธรรมว่าเป็นตัวตน
เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดยละเอียดสำหรับใคร ไม่ใช่สำหรับอุคฆฏิตัญญูบุคคลซึ่งสามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้โดยรวดเร็ว และไม่ใช่สำหรับวิปัญจิตัญญูบุคคล แต่สำหรับผู้ที่ต้องฟัง ต้องพิจารณา และต้องอบรมเจริญปัญญาอีกนานกว่าจะประจักษ์แจ้งว่า นามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน และยิ่งรู้เรื่องของปัจจัยมากเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้มีเครื่องประกอบที่จะปรุงแต่งให้ปัญญาสามารถเกิดขึ้นละการยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้ มิฉะนั้นแล้ว ถึงแม้ว่าสติจะเกิดบ้าง ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ที่จะดับความยึดถือว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน ถ้าเครื่องประกอบหรือสังขารขันธ์ยังปรุงแต่งไม่พอ ยังไม่ถึงกาลที่สมควร ก็ไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้
เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีใครสามารถไปเร่งรัด หรือทำอย่างอื่น นอกจากจะฟัง พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงแล้วโดยละเอียด และในขณะที่ฟังนี้เอง อาจจะมีขณะซึ่งสติปัฏฐานเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามที่กำลังได้ยินได้ฟังก็ได้ เพราะเข้าใจแล้วว่า ไม่มีอะไรนอกจากนามธรรมและรูปธรรมเท่านั้น ซึ่งสำหรับผู้ที่เข้าใจแล้ว การศึกษาเรื่องปัจจัย ก็คือ การศึกษาปรมัตถธรรมนั่นเอง เพราะปรมัตถธรรมโดยย่อก็มีนามธรรมและรูปธรรมเท่านั้น เพราะฉะนั้น การที่จะศึกษาเรื่องของนามธรรมและรูปธรรมให้เข้าใจ ก็คือ ให้รู้ในสภาพที่เป็นปัจจัยของนามธรรมและรูปธรรม ไม่ใช่เพียงแต่ศึกษาโดยจำนวน หรือว่าโดยชื่อ