แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1112

ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย

วันอาทิตย์ที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๒๔ ต่อวันอาทิตย์ที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๒๕


. ทางใต้น้ำท่วม เขาให้ไปช่วยบริจาคทำบุญ แม้เสื้อผ้าเก่าๆ หรือเงินทองให้ไปบริจาคที่พระบรมรูปทรงม้า ผมก็ไป จิตเกิดสลับไปสลับมา ก็มีสติระลึกรู้ เดี๋ยวกุศล เดี๋ยวอกุศล ครั้งแรกจะบริจาคเงินจำนวนหนึ่งและเสื้อผ้า เพราะจากการศึกษารู้ว่า จะได้อารมณ์ที่ดี และภพชาติที่ดี รูป รส กลิ่น เสียงที่ดี เกิดโลภะ อยากได้ แต่เมื่อนึกถึงที่อาจารย์บรรยาย หรือที่อ่านในพระไตรปิฎกว่า กามคุณ ๕ นี้ โหดร้ายทารุณ จะต้องช่วงชิงต่อสู้กัน ไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ มีแต่ทุกข์ฝ่ายเดียว ไม่ใช่ปัญญาที่จะสิ้นภพชาติ เมื่อคิดแค่นี้แล้วทำให้นึกถึงการเจริญสติปัฏฐานที่เคยรู้มา ทำให้เกิดความปรารถนาแรง อธิษฐานให้เกิดปัญญาเพื่อรู้แจ้งซึ่งไตรลักษณ์ ทำให้คิดกลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้ จึงไม่รู้ว่า เป็นอารมณ์ที่เป็นอธิปติปัจจัย เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล กลับไปกลับมา

สุ. กลับไปกลับมา หมายความว่าอะไร

. ครั้งแรกยินดี อยากจะได้ภพชาติที่ดี ได้รูป รส กลิ่น เสียงที่ดี สุดท้ายเมื่อพิจารณาแล้วรู้ว่า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่เหมาะ ไม่ควร คิดถึงท่าน พระทัพพมัลลบุตร อ่านสูตรนี้แล้ว มานึกถึงการเจริญสติปัฏฐานเพื่อการสิ้นภพชาติ การบำเพ็ญบารมีของพระอริยบุคคลต่างๆ ทำให้ละคลาย ปรารถนาเหมือนอย่างท่านเหล่านั้น

สุ. นี่เป็นตัวอย่างของสภาพธรรมที่เป็นอนัตตาโดยแท้จริง ในขณะใดที่ปัญญาเกิด ก็มีลักษณะความเข้าใจ นิพพานเป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยชั่วคราว ชั่วครู่ แต่อย่าลืมว่า เคยมีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยและอารัมมณูปนิสสยปัจจัยมานานแสนนาน เพราะฉะนั้น กว่าการอบรมเจริญกุศลญาณสัมปยุตต์จะมั่นคงจนกระทั่งนิพพานจะเป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยจริงๆ ได้ ก็ต้องกินเวลานานมากตามเหตุตามปัจจัยซึ่งเคยมีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเป็น อารัมมณาธิปติปัจจัยและอารัมมณูปนิสสยปัจจัยมาแล้วเนิ่นนาน ก็ปรากฏตามความเป็นจริงว่า บางครั้งก็คิดถึงการอบรมเจริญปัญญา ขณะนั้นกุศลและนิพพานก็เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัย แต่พอจิตหวนคิดถึงผลของบุญกุศล การเกิดในสวรรค์ การที่จะได้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่ดี ก็เป็นเพราะรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเคยเป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยและอารัมมณูปนิสสยปัจจัยมาจนเนิ่นนานแล้ว ก็มีกำลังที่จะเกิดขึ้นโดยอนันตรูปนิสสยปัจจัย

เป็นชีวิตตามความเป็นจริง ซึ่งทุกท่านจะพิสูจน์ได้ จนกว่าจะถึง โลกุตตรธรรมเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็แสดงว่า ได้อบรมเจริญกุศลญาณสัมปยุตต์จนกระทั่งสามารถประจักษ์แจ้งลักษณะของนิพพาน เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยของ โลกุตตรมรรคจิต ผลจิตได้จริงๆ

ถ้าเป็นมหากุศลญาณวิปปยุตต์ จะไม่มีการคิดถึงการรู้แจ้งลักษณะของนิพพาน หรือการพากเพียรอบรมเจริญปัญญาที่จะดับกิเลส เพราะเป็นเพียงมหากุศลญาณวิปปยุตต์เท่านั้น อาจจะมีอุปนิสัยในการที่จะให้ทานบ้าง รักษาศีลบ้าง แต่ยังไม่อบรมเจริญปัญญาถึงขั้นที่จะดับกิเลส

. เวลาที่คนหลับหมดแล้ว ผมก็ศึกษา อ่านพระไตรปิฎก เมื่อเข้าใจแล้ว จิตสงบ ผมก็ฝึกหัดนั่งสมาธิบ้าง บางทีตอนกลางคืน มีเสียงก๊อกแก๊กขึ้นมานิดหน่อย ขณะนั้นเกิดสติ แต่ไม่ได้รู้ที่เสียง ไปรู้ว่าที่เราได้ยินนั้น เพราะมีปัจจัยอันนี้เกิดขึ้นแล้ว การได้ยินเกิดจากอันนี้ มิฉะนั้นการได้ยินจะเกิดขึ้นไม่ได้ คือ รู้ว่าเพราะมีเหตุอันนั้น จึงเกิดแน่ๆ รู้อย่างนี้จะจัดเป็นปัญญาได้ไหม

สุ. เป็นปัญญาขั้นพิจารณา เพราะที่เสียงจะปรากฏได้ เพราะโสตปสาท เป็นนิสสยปัจจัยของโสตวิญญาณ ไม่ใช่ตัวตน ขณะนั้นจะเห็นหรือว่าจะรู้ลักษณะของปัจจัยที่ได้ศึกษามาแล้ว คือ นิสสยปัจจัย เป็นธรรมที่อาศัยของปัจจยุปบันธรรม ถ้าโสตปสาทไม่มี ไม่เป็นที่อาศัย โสตวิญญาณจะเกิดขึ้นได้ยินเสียงไม่ได้เลย และเสียงเป็นอารัมมณปัจจัย ถ้าเป็นเสียงเพราะ ต้องการเสียง เสียงนั้นเป็นอารัมมณาธิปติปัจจัย ได้ยินเสียงเพลงเพราะๆ ก็อยากจะฟังต่อๆ ไป ขณะนั้นเสียงนั้นก็เป็นอารัมมณูปนิสสยปัจจัยชักจูงให้จิตเกิดขึ้นยินดีพอใจในเสียงนั้นเกิดสืบต่อไปอีก พอใจต่อไปอีก ก็เป็นอารัมมณูปนิสสยปัจจัย

เพราะฉะนั้น ทบทวนปัจจัยในชีวิตประจำวันจริงๆ ได้ แต่อย่าลืมว่า ขณะนั้นเป็นขั้นคิด ไม่ใช่สติปัฏฐานที่รู้ลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตน ซึ่งเป็นนามธรรมและรูปธรรม แต่ละลักษณะ เพราะว่าไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดสามารถที่จะยับยั้งการคิด ถ้าคิดถูกก็เป็น สัมมาสังกัปปะ เป็นมหากุศลจิต แต่ว่าไม่ใช่การรู้ลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตนของนามธรรมและรูปธรรม

สติจะต้องระลึกรู้ลักษณะที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมทั้ง ๖ ทวาร ขณะที่คิด ไม่ใช่พยายามหยุดไม่ให้คิด แต่ให้เริ่มระลึกรู้ว่า ขณะที่คิดไม่ใช่ขณะที่ลักษณะของนามธรรมกำลังปรากฏแก่สติ หรือว่าลักษณะของรูปธรรมกำลังปรากฏ แต่ขณะนั้นเป็นเรื่องของนามธรรมและรูปธรรม

ในวันหนึ่งๆ ก็มีลักษณะที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมปรากฏ สลับกับเรื่องของนามธรรมและรูปธรรมนั้นๆ เพราะฉะนั้น เรื่องไม่ใช่นามธรรมและรูปธรรม แต่จิตที่กำลังคิดเรื่องเป็นนามธรรม

ต้องอบรมเจริญไปอีกเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดความสงสัยในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม

สภาพธรรมที่เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัย เป็นอารัมมณูปนิสสยปัจจัยของกุศลหรืออกุศล จะรู้ได้เมื่อสติปัฏฐานระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้น แต่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะรู้ง่าย เพราะว่าจิตเจตสิกเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว ซึ่งนี่เป็นเหตุที่บางท่านถามว่า ขณะนั้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล แต่ใครจะตอบได้ ในเมื่อทั้งกุศลและอกุศลก็เกิดดับสลับกันไปอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้น ที่จะรู้ชัดจริงๆ ได้ คือ สติระลึก และปัญญาเริ่มพิจารณา ก็จะเป็นหนทางที่ทำให้รู้จริงๆ ว่า จิตในขณะที่มีอารัมมณาธิปติปัจจัยเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยนั้น เป็นปัจจัยของกุศลจิต หรือของอกุศลจิต

อย่าลืม รูปที่ดีทั้งหมดเป็นอารัมมณปัจจัยของกุศลจิตได้ แต่เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยของกุศลจิตไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าเกิดยินดีพอใจ ติดใจในรูปหนึ่งรูปใดซึ่งเป็นรูปที่ดี อย่าเข้าใจผิดว่าขณะนั้นเป็นกุศลจิต ต้องเป็นโลภมูลจิตเพราะว่ารูปที่ดีเป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยของโลภมูลจิต แต่ไม่เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยของกุศลจิต

ทุกท่านมีรูปที่ดี แล้วแต่ว่ารูปที่ดีนั้นจะเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลหรืออกุศล เป็นอารมณ์ของกุศลจิตก็ได้ถ้าไม่ติด ถ้าสละให้เป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่น สามารถสละได้ ไม่ติด สามารถบริจาค ในขณะนั้นรูปที่ดีนั้นเป็นอารมณ์ของกุศลจิตได้ แต่เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยของกุศลจิตไม่ได้ เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยของโลภมูลจิตได้ ติดแล้วทันที

เพราะฉะนั้น นี่เป็นความต่างกันที่จะต้องเข้าใจ อารัมมณปัจจัย อารัมมณาธิปติปัจจัย อารัมมณูปนิสสยปัจจัย

สำหรับอุปนิสสยปัจจัย ประเภทที่ ๒ คือ อนันตรูปนิสสยปัจจัย คำอธิบายมีว่า เหมือนอนันตรปัจจัย คือ สภาพธรรมได้แก่ จิตและเจตสิกซึ่งเกิดขึ้นและดับไปแล้ว เป็นปัจจัยให้จิตและเจตสิกขณะต่อไปเกิดขึ้นติดต่อกันไม่มีระหว่างคั่น และมีกำลัง เพราะฉะนั้น สำหรับอนันตรูปนิสสยปัจจัย องค์ธรรม คือ สภาพธรรมที่เป็นปัจจัยเหมือนอนันตรปัจจัย ซึ่งได้แก่ จิตทุกดวงและเจตสิกทุกดวงที่เกิดก่อนๆ เว้นจุติจิตของพระอรหันต์ เป็นปัจจัยให้จิตทุกดวงและเจตสิกทุกดวงที่เกิดหลังๆ เกิดขึ้น

ท่านผู้ฟังยังไม่เห็นกำลังของอนันตรปัจจัย เพราะว่าดูเป็นธรรมดา ธรรมชาติ เมื่อเกิดมาแล้วก็ไม่เคยขาดจิตเจตสิกเลย แต่ที่จิตเจตสิกขณะใดเกิดปรากฏมีกำลังขึ้น ให้ทราบว่า ถ้าจิตดวงก่อนไม่ดับไป จิตดวงนั้นก็เกิดไม่ได้ แสดงว่าการดับของจิตดวงก่อนมีกำลังจึงทำให้จิตดวงหลังและเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยนั้นเกิดขึ้นได้

ถ้าจะเอาอย่างย่อ ก็ย่อ ถ้าจะต้องการให้ละเอียด ก็มีการพิจารณาเรื่องของ อนันตรูปนิสสยปัจจัยว่า เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นติดต่อกันไม่มีระหว่างคั่นและมีกำลัง

จะเห็นได้ว่า การเห็นหรือจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ ต้องในขณะที่สภาพธรรมนั้นๆ กำลังปรากฏ เช่น ในขณะนี้ ทุกครั้งที่ศึกษาเรื่องของธรรมจะไม่พ้นจากขณะนี้ เพราะว่าสภาพธรรมต้องกำลังปรากฏอยู่ทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทาง คือ ทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ ซึ่งพร้อมที่จะให้พิสูจน์ แม้แต่อนันตรปัจจัย จิตและเจตสิกซึ่งเกิดและดับไปเป็นปัจจัยให้จิตและเจตสิกดวงต่อไปเกิดขึ้น ดูเหมือนเป็นธรรมดา แต่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า อนันตรปัจจัยนั่นเองเป็นอนันตรูปนิสสยปัจจัย เป็นที่อาศัยที่มีกำลัง

เพราะฉะนั้น สำหรับอนันตรูปนิสสยปัจจัยที่จะรู้หรือที่จะเข้าใจ คือ ในขณะนี้เอง อนันตรปัจจัย พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า เป็นอนันตรูปนิสสยปัจจัย การเกิดขึ้นและดับไปของจิตดวงก่อนเป็นสภาพธรรมที่มีกำลัง ทำให้จิตและเจตสิกดวงต่อไปเกิดขึ้น

พ้นจากขณะนี้ไหม ถ้าไม่พิจารณา หรือว่าไม่เจริญสติปัฏฐาน ไม่สามารถรู้ความสำคัญของอนันตรูปนิสสยปัจจัยเลย แต่ถ้าสติสัมปชัญญะเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ เห็น เป็นสภาพธรรมอย่างเหนึ่ง แต่ท่านผู้ฟังก็ได้ยินเสียงอีก ไม่ใช่มีแต่เห็น เวลาที่สติสัมปชัญญะเกิด จะระลึกรู้ลักษณะของ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ว่าต้องทำอะไรเลย ทุกๆ ท่านปกติธรรมดา แต่สติระลึกรู้ลักษณะของการเห็นว่า ต่างกับขณะที่ได้ยิน

เพราะฉะนั้น ในขณะนี้เอง ไม่มีใครที่สามารถยับยั้งการเกิดขึ้นเห็นและก็ดับไป และก็มีจิตทางทวารอื่นหลังจากที่ภวังคจิตเกิดคั่นแล้ว เกิดขึ้นได้ยินเสียงที่กำลังปรากฏ ขณะที่ดูเหมือนว่าทั้งเห็นด้วยและได้ยินด้วยให้ทราบว่า จิตเกิดและดับไป และก็เกิด และก็ดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว ถ้าอารมณ์ไม่ปรากฏว่าเปลี่ยนแปลง ก็ยากที่จะรู้ได้ว่า จิตเห็นต้องดับไป จิตได้ยินจึงจะกำลังได้ยินเสียงที่ปรากฏได้

เพราะฉะนั้น ควรที่จะได้พิจารณาเรื่องของอนันตรูปนิสสยปัจจัยว่า การเกิดขึ้นและดับไปของจิตดวงก่อนเป็นสภาพธรรมที่มีกำลังทำให้จิตดวงต่อไปเกิดขึ้น เริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิขณะ ซึ่งเป็นขณะแรกของจิตในภพนี้ ในชาตินี้ ทุกท่านมีปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น เป็นขณะแรกในภพนี้ ในชาตินี้ ต่างกันหรือไม่ต่างกัน ถ้าโดยประเภท เป็นผลของ มหากุศล จิตที่ทำกิจปฏิสนธิเป็นมหาวิบาก ทำกิจปฏิสนธิในสุคติภูมิ เป็นมนุษย์

ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม อกุศลวิบากทำกิจปฏิสนธิในอบายภูมิ ๔ ภูมิ คือ เกิดในนรก หรือว่าเป็นเปรต หรือเป็นอสุรกาย หรือเป็นสัตว์เดรัจฉาน นั่นเป็นผลของอกุศลกรรม เพราะฉะนั้น อกุศลวิบากทำกิจปฏิสนธิในอบายภูมิ แต่สำหรับในสุคติภูมิ คือ ภูมิมนุษย์ ปฏิสนธิจิตเป็นมหาวิบาก เป็นผลของมหากุศล แล้วแต่ว่าจะเป็น มหาวิบากดวงไหนใน ๘ ดวง เพราะว่ามหากุศลจิตซึ่งเป็นเหตุมี ๘ ดวง ประกอบด้วยปัญญา ๔ ดวง ไม่ประกอบด้วยปัญญา ๔ ดวง ประกอบด้วยอุเบกขาเวทนา ๔ ดวง ประกอบด้วยโสมนัสเวทนา ๔ ดวง เป็นอสังขาริก ๔ ดวง เป็นสสังขาริก ๔ ดวง

ปฏิสนธิจิตของแต่ละท่านต้องเป็น ๑ ใน ๘ ดวง แต่ถ้าพิจารณาดูกรรมซึ่งทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นพร้อมกัมมชรูป และเมื่อเติบโตขึ้นกัมมชรูปก็ปรากฏทางตาให้เห็นรูปร่างสัณฐานที่ต่างกัน กรรมยังจำแนกให้สภาพของรูปธรรมต่างกันถึงอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ปฏิสนธิจิตของแต่ละบุคคล แม้ว่าโดยประเภทจะเป็นมหาวิบาก ๑ ใน ๘ดวงก็จริง แต่ความละเอียดของการสะสมของปฏิสนธิจิตของแต่ละคนก็ย่อมวิจิตร แต่เป็นสิ่งซึ่งมองไม่เห็น สามารถเห็นได้เพียงรูปร่างสัณฐานภายหลังที่เจริญเติบโตขึ้น แต่ว่าลักษณะของมหาวิบากจิตซึ่งเป็นผลของกรรมที่ทำให้ปฏิสนธิ ก็ย่อมต่างกันไป

เมื่อปฏิสนธิจิตดับแล้ว อนันตรปัจจัย การดับไปของปฏิสนธิจิตเป็น อุปนิสสยปัจจัย เป็นสภาพธรรมที่มีกำลังที่ทำให้จิตดวงต่อไปเกิดขึ้นเหมือนกับ ปฏิสนธิจิต แล้วแต่ว่าปฏิสนธิจิตของใครจะสะสมประสบการณ์ หรือว่าการเห็น การได้ยิน โลภะ โทสะ โมหะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ ต่างกันมากน้อยอย่างไร เมื่อดับไปแล้ว อนันตรปัจจัยเป็นอุปนิสสยปัจจัย เป็นสภาพธรรมที่มีกำลังที่ทำให้ มหาวิบากจิตลักษณะเดียวกัน ประเภทเดียวกัน เกิดขึ้นทำกิจภวังค์สืบต่อจาก ปฏิสนธิจิต

ไม่มีใครสามารถจะยับยั้งอนันตรูปนิสสยปัจจัย ซึ่งเมื่อปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว ก็เป็นปัจจัยให้ภวังคจิตเกิดต่อ ไม่ว่าจะเป็นในภพไหนภูมิไหนทั้งสิ้น ก่อนที่จะมี การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส หรือว่าการคิดนึกเรื่องต่างๆ ทางใจ

เปิด  237
ปรับปรุง  19 ต.ค. 2566