แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1133

ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย

วันอาทิตย์ที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๒๕


เพราะฉะนั้น ส่วนใหญ่แล้วจิตเกิดที่หทยวัตถุ จะเปลี่ยนที่เกิดก็แต่เฉพาะในขณะที่ทำกิจเห็น กระทำทัสสนกิจ เป็นจักขุวิญญาณเพียงขณะเดียวทางทวารตา หรือถ้าเป็นทางหู ก็เฉพาะโสตวิญญาณซึ่งเกิดขึ้นกระทำกิจได้ยินเสียง ขณะที่ได้ยิน ขณะเดียวเท่านั้นที่ทำสวนกิจ ที่เกิดขึ้นที่โสตปสาท นอกจากนั้น ทันทีที่จักขุวิญญาณเกิดที่จักขุปสาทดับไป โสตวิญญาณเกิดที่โสตปสาทดับไป จิตอื่นที่เกิดต่อ เปลี่ยนที่เกิดแล้ว คือ เกิดที่หทยวัตถุ

หรือก่อนนั้น เวลาที่เป็นวิถีมุตตจิต จิตนั้นก็เกิดที่หทยวัตถุ หรือเวลาที่วิถีจิตขณะที่ ๑ เกิด เป็นปัญจทวาราวัชชนจิต ก็เกิดที่หทยวัตถุ เฉพาะเวลาที่จักขุวิญญาณเกิดเท่านั้นจึงเกิดที่จักขุวัตถุ โสตวิญญาณเกิดที่โสตวัตถุ ฆานวิญญาณเกิดที่ฆานวัตถุ ชิวหาวิญญาณเกิดที่ชิวหาวัตถุ กายวิญญาณเกิดที่กายวัตถุ ชั่วขณะนั้นเท่านั้น ที่ปสาทเป็นวัตถุ คือ เป็นที่เกิดของจิต ๑ ใน ๑๐ ดวง นอกจากนั้น จิตต่อๆ ไปเกิดที่หทยวัตถุ โดยหทยวัตถุเป็นปุเรชาตปัจจัยแก่กุศลจิต อกุศลจิต หรือกิริยาจิต หรือหสิตุปปาทจิตของพระอรหันต์

อกุศลจิตเป็นปัจฉาชาตปัจจัยหรือเปล่า

เป็น

จิตทุกดวง นอกจากปฏิสนธิจิต เป็นปัจฉาชาตปัจจัย แม้ว่าจะเกิดภายหลังรูป ก็อุปถัมภ์รูป

อกุศลจิตเป็นอาเสวนปัจจัยหรือเปล่า

เป็น

แต่ต้องจำกัดว่า ชวนจิตขณะที่ ๑ เป็นอาเสวนปัจจัย ชวนจิตขณะที่ ๒ เป็นปัจจยุปบัน

ชวนจิตขณะที่ ๒ เป็นอาเสวนปัจจัย ชวนจิตขณะที่ ๓ เป็นปัจจยุปบัน

ชวนจิตขณะที่ ๓ เป็นอาเสวนปัจจัย ชวนจิตขณะที่ ๔ เป็นปัจจยุปบัน

ชวนจิตขณะที่ ๔ เป็นอาเสวนปัจจัย ชวนจิตขณะที่ ๕ เป็นปัจจยุปบัน

ชวนจิตขณะที่ ๕ เป็นอาเสวนปัจจัย ชวนจิตขณะที่ ๖ เป็นปัจจยุปบัน

ชวนจิตขณะที่ ๖ เป็นอาเสวนปัจจัย ชวนจิตขณะที่ ๗ เป็นปัจจยุปบัน

ชวนจิตขณะที่ ๗ เป็นอาเสวนปัจจัยหรือเปล่า

อาเสวนปัจจัย ได้แก่ กุศลจิต หรืออกุศลจิต หรือกิริยาจิต อย่าลืม เว้น วิบากจิตทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นรูปาวจรวิบาก อรูปาวจรวิบาก โลกุตตรวิบาก หรือกามาวจรวิบาก ไม่เป็นอาเสวนปัจจัย เพราะฉะนั้น ชวนจิตดวงที่ ๗ เป็น อาเสวนปัจจัยหรือเปล่า ถ้าเป็น ต้องมีชวนจิตขณะที่ ๘

เมื่อชวนจิตดวงที่ ๗ ดับไป แต่อารมณ์ยังไม่ดับ เป็นปัจจัยทำให้ตทาลัมพนจิต ซึ่งเป็นวิบากจิตเกิดขึ้น วิบากจิตทั้งหมดมีกรรมเป็นปัจจัยทำให้เกิด เพราะฉะนั้น ตทาลัมพนจิตซึ่งเป็นวิบากเกิดขึ้น รู้อารมณ์ต่อจากชวนจิต แต่ชวนจิตดวงที่ ๗ ไม่ได้เป็นอาเสวนปัจจัยให้กับตทาลัมพนจิต เพราะว่าตทาลัมพนจิตเป็นวิบากจิต

ตทาลัมพนจิตเกิดที่ไหน

เกิดที่หทยวัตถุ ตอบได้ไม่ยากเลย

ไม่ว่าจะเป็นจิตประเภทไหน ชื่ออะไรก็ตาม จะเคยได้ยินมาก่อน หรือไม่เคยได้ยินมาก็ตาม ถ้าไม่ใช่จักขุวิญญาณ ๒ ดวง โสตวิญญาณ ๒ ดวง ฆานวิญญาณ ๒ ดวง ชิวหาวิญญาณ ๒ ดวง กายวิญญาณ ๒ ดวง ต้องเกิดที่หทยวัตถุทั้งหมด ในภูมิที่มีขันธ์ ๕

ตทาลัมพนจิตเป็นปัจฉาชาตปัจจัยหรือเปล่า

เป็น ง่ายมาก คือ จิตทุกดวงที่นอกจากปฏิสนธิจิตและอรูปวิปากจิต ๔ แล้ว เป็นปัจฉาชาตปัจจัยแก่รูปซึ่งเกิดก่อนทั้งนั้น

ตทาลัมพนจิตเป็นอาเสวนปัจจัยหรือเปล่า

ไม่เป็น

เพราะอะไร

เพราะเป็นวิบากจิต

หลังจากตทาลัมพนจิตดับไปแล้ว จิตอะไรเกิดต่อโดยอนันตรปัจจัย

ภวังคจิตเกิด ไม่มีใครยับยั้งได้ จะไม่ให้ภวังคจิตเกิดได้ไหม ถ้าตทาลัมพนจิตดับไปแล้ว ถ้าไม่มีภวังคจิตเกิดคั่น จิตที่เกิดต่อเป็นอะไร

เวลาที่วิถีจิตทางปัญจทวารดับหมด โดยตทาลัมพนจิตก็ดับ รูปซึ่งเกิดตั้งแต่ อตีตภวังค์ คือ ทันทีที่รูปเกิดก็กระทบกับปสาทและกระทบกับอตีตภวังค์ มาดับพร้อมกับการดับของตทาลัมพนะ เพราะว่าตั้งแต่อตีตภวังค์จนถึงตทาลัมพนจิต จิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้น รูปนั้นก็ดับ เป็นอดีต เมื่อรูปนั้นดับไปแล้ว จิตต้องเป็นภวังค์ แต่ถ้าภวังคจิตไม่เกิด จะเป็นอะไร ก็ต้องเป็นจุติจิตเกิด

เพราะฉะนั้น เวลานี้ ยังไม่มีจุติจิตเกิด ก็ต้องเป็นภวังคจิตเกิดต่อ คั่นอยู่หลายขณะก่อนที่มโนทวารวิถีจิตจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์ต่อจากทางตาซึ่งกำลังเห็น ทุกครั้งที่ วิถีจิตทางทวารหนึ่งทวารใดเกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่ปรากฏทางทวารนั้นๆ ดับไปแล้ว ภวังคจิตต้องเกิดคั่น ไม่อย่างนั้นจะทำอย่างไร รูปดับไปแล้วทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ถ้าภวังคจิตไม่เกิด จุติจิตต้องเกิด แต่เพราะว่าจุติจิตยังไม่เกิด จิตดวงต่อไปก็ทำภวังคกิจ ดำรงภพชาตินั้นอยู่ก่อนที่วิถีจิตต่อไปจะเกิด และเมื่อวิถีจิตทางปัญจทวารดับไปแล้ว ภวังคจิตเกิดคั่นแล้ว วิถีจิตอื่นจะเกิดต่อทันทีไม่ได้ นอกจากมโนทวารวิถีจิต จะให้โสตทวารวิถีเกิดขึ้นได้ยินเสียงต่อจากภวังคจิตซึ่งคั่นจักขุทวารวิถีจิตที่ดับไปแล้วไม่ได้

ถ้าเป็นทางตา เมื่อจักขุทวารวิถีจิตดับไปแล้ว ภวังคจิตเกิดคั่นหลายขณะ การรู้อารมณ์ทางตาซึ่งดับไปเป็นปัจจัยให้ภวังคจลนะไหว เมื่อภวังคจลนจิตดับไปแล้ว เป็นปัจจัยให้ภวังคุปัจเฉทเกิดขึ้น เป็นกระแสภวังค์ดวงสุดท้าย และดับไป เมื่อ ภวังคุปัจเฉทดับไปแล้ว มโนทวาราวัชชนจิต คือ จิตที่รำพึงถึงอารมณ์ทางใจเกิดขึ้น รำพึงถึงอารมณ์ที่ทางจักขุทวารวิถีที่ดับไปก่อนรู้

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าทางตาจะเห็นอะไร ท่านคิดถึงสิ่งที่เห็นทางตา นึกถึงรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏทางตา ถ้าเห็นเทป ก็นึกถึงรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ ทางตา ถ้าเห็นคน ก็นึกถึงรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ว่าสิ่งนั้นที่ปรากฏทางตาดับไปแล้ว มีภวังคจิตคั่นแล้ว มโนทวารวิถีต้องเกิดต่อ รู้อารมณ์เดียวกับที่ปรากฏทางตาหรือทางหูซ้ำอีก แต่เพราะว่าไม่ใช่รูปกระทบจักขุปสาท ไม่ใช่เสียงกระทบโสตปสาท เพราะฉะนั้น สำหรับทางใจที่เป็นมโนทวารวิถี วิถีจิตที่จะเกิด คือ

มโนทวาราวัชชนจิตเป็นวิถีจิตแรก รำพึงถึงอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดซึ่งแล้วแต่ว่ามโนทวารวิถีทวารนั้นจะเกิดต่อจากวิถีไหนของปัญจทวาร เมื่อมโนทวาราวัชชนจิต ดับไปแล้ว เป็นปัจจัยให้ชวนจิตเกิดทันที แล้วแต่ว่าจะเป็นกุศลจิตหรือจะเป็นอกุศลจิตสำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ และสำหรับผู้ที่เป็นพระอรหันต์ก็เป็นกิริยาจิต ไม่ใช่ กุศลจิตและอกุศลจิตอีกต่อไป

เป็นความจริงไหมที่ว่า มโนทวารวิถีหลังจากที่ภวังคจิตเกิดคั่นกับปัญจทวารวิถีหนึ่งวิถีใดแล้ว จะรู้อารมณ์ที่ทางปัญจทวารวิถีรู้ก่อน ซ้ำอีก

ทางหูได้ยินเสียงอะไร ทางโสตทวารวิถีจิตดับไปหมดแล้ว เสียงนั้นก็ดับแล้ว ภวังคจิตก็เกิดคั่น แต่มโนทวารวิถีจะเกิดต่อ โดยรำพึงถึงเสียงที่ทางโสตทวารวิถีเพิ่ง ได้ยินและดับไป นี่เป็นเหตุที่ได้ยินคำไหนก็นึกถึงความหมายของคำนั้น เพราะว่า มโนทวารวิถีจะต้องเกิดต่อจากทางปัญจทวารวิถี วิถีหนึ่งวิถีใดก็ตามทุกครั้งที่ทาง ปัญจทวารวิถีดับไป

โสตทวารวิถีจิตได้ยินเสียงอะไร ดับไป หมดแล้วทางโสตทวารวิถี ภวังคจิตเกิดคั่นแล้ว มโนทวารวิถีก็เกิดต่อ โดยมีเสียงที่โสตทวารวิถีเพิ่งได้ยินนั่นเองเป็นอารมณ์ก่อนที่จะรู้ว่าเสียงที่ได้ยินมีความหมายว่าอะไร

เพราะฉะนั้น สำหรับทางมโนทวารวิถี มีวิถีจิตเกิดน้อยกว่าทางปัญจทวารวิถี เพราะว่าทางปัญจทวารวิถีมีปัญจทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้นรำพึงถึงอารมณ์ที่กระทบ ทางทวารหนึ่งทวารใดใน ๕ ทวาร ปัญจทวาราวัชชนจิตจะไม่เกิดทางมโนทวารวิถีเลย

สำหรับทางปัญจทวารวิถี นอกจากจะมีปัญจทวาราวัชชนจิต ยังมี จักขุวิญญาณ หรือโสตวิญญาณ แล้วแต่ว่าจะเป็นทางทวารไหน หลังจากนั้นมี สัมปฏิจฉันนจิต สันตีรณจิต โวฏฐัพพนจิต ชวนจิต และตทาลัมพนจิต

แต่สำหรับทางมโนทวารวิถี ปัญจทวาราวัชชนจิตไม่สามารถเกิดทางมโนทวารวิถีได้ เพราะฉะนั้น จิตที่รำพึงถึงอารมณ์ทางมโนทวารเป็นวิถีแรก จึงเป็น มโนทวาราวัชชนจิต เป็นวิถีจิตดวงแรกทำอาวัชชนกิจ

มโนทวาราวัชชนจิตเป็นชาติอะไร

ชาติกิริยา

เกิดที่ไหน

หทยวัตถุ

เป็นอาเสวนปัจจัยหรือเปล่า

ไม่เป็น

เพราะเหตุใด

เพราะว่าเวลาที่ทำอาวัชชนกิจ มโนทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวทางมโนทวาร

ท่านผู้ฟังนั่งๆ อยู่ ถึงแม้จะไม่ได้เห็นอะไร ไม่ได้ยินอะไร ไม่ได้กลิ่นอะไร ไม่ได้ลิ้มรสอะไร ไม่ได้รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสอะไร คิดนึกอยู่เสมอโดยที่ไม่รู้ตัว เวลาที่ถามว่ากำลังคิดอะไร ก็ยากที่จะตอบ บางทีก็ตอบไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าในขณะที่ตอบไม่ได้นั้น ไม่ได้คิด เพราะถ้ากล่าวถึงสภาพที่คิด คือ วิตกเจตสิก ซึ่งขณะที่จิตคิดจะมีการคิดแม้ว่าไม่ได้คิดเป็นคำ วิตกเจตสิกเกิดพร้อมกับสัมปฏิจฉันนจิตและจิตอื่นๆ ที่ต่อจากนั้น เว้นไม่เกิดกับทวิปัญจวิญญาณเท่านั้น

เพราะฉะนั้น ให้เห็นสภาพของวิตกเจตสิก ซึ่งมีลักษณะตรึก หรือจรดในอารมณ์ มโนทวาราวัชชนจิตซึ่งเป็นวิถีจิตแรกทางมโนทวาร ไม่เกิดหลายครั้ง เกิดขึ้นขณะเดียวและดับไป เมื่อมโนทวาราวัชชนจิตดับแล้ว ชวนจิตเกิดต่อทันที คือ เป็นกุศลหรือเป็นอกุศลสำหรับผู้ที่เป็นปุถุชน และเป็นกิริยาจิตสำหรับผู้ที่เป็นพระอรหันต์ โดยไม่ต้องมีจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ ไม่ต้องมีสัมปฏิจฉันนจิต ไม่ต้องมีสันตีรณจิต ไม่ต้องมีโวฎฐัพพนจิต ก็เป็นกุศลหรืออกุศล แล้วแต่ว่ามโนทวาราวัชชนจิตจะมนสิการให้วิถีจิตใดเกิดต่อ คือ จะเป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิตสำหรับผู้ที่เป็นปุถุชน รวดเร็วไหม ทั้งทางปัญจทวารและมโนทวารที่กุศลจิตหรืออกุศลจิตจะเกิด

ทางปัญจทวารในขณะที่เห็นและรูปยังไม่ดับ พอถึงชวนจิตต้องเป็นกุศลหรืออกุศลอย่างหนึ่งอย่างใด แต่ให้เห็นสภาพของโมหะ ความไม่รู้ว่า แม้อกุศลจิตเกิดแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นอกุศล ทุกขณะที่เห็นและหลงลืมสติ จะเป็นกุศลจิตได้ไหม ก็ไม่ได้

ขณะที่เห็น และสติไม่ได้ระลึกเป็นไปในทาน จะเป็นกุศลได้ไหม ก็ไม่ได้อีก ถ้าขณะนั้นกุศลจิตไม่เกิดระลึกเป็นไปในทาน ในศีล ในสมถะคือความสงบ หรือใน สติปัฏฐาน ให้ทราบว่าอกุศลจิตเกิดแล้ว แต่แม้กระนั้นก็ไม่มีใครทราบว่า ในขณะที่เห็นอกุศลจิตก็เกิดแล้ว เพราะฉะนั้น อกุศลจิตจะมากสักเท่าไร เพราะถึงแม้ว่าจะเกิดแล้วก็ยังไม่รู้ว่าเกิดแล้ว เห็น รู้ แต่เวลาเป็นอกุศลไม่รู้ว่า ทางปัญจทวารเมื่อ จักขุวิญญาณดับ สัมปฏิจฉันนจิตดับ สันตีรณจิตดับ โวฏฐัพพนจิตดับ อกุศลเกิดแล้ว

สำหรับมโนทวารวิถี มโนทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้นทางปัญจทวารได้ไหม

ท่านที่เคยศึกษาเรื่องของจิตปรมัตถ์มาแล้ว โดยจิตประเภทต่างๆ ก็ทราบว่า จิตบางดวงทำกิจ ๒ กิจ บางทีจิตหลายๆ ดวง ทำกิจอย่างเดียวกัน เช่น อกุศลจิตทำชวนกิจได้อย่างเดียว หรือมหากุศลจิต ๘ ดวง ก็ทำชวนกิจได้กิจเดียว ทำกิจอื่นไม่ได้เพราะฉะนั้น จิตที่ทำชวนกิจจึงมีกุศลจิตบ้าง อกุศลจิตบ้าง หรือกิริยาจิตของ พระอรหันต์ก็ทำชวนกิจ แสดงว่าจิตหลายๆ ดวงทำกิจเดียว และจิตบางดวงก็สามารถทำได้หลายๆ กิจ

สำหรับมโนทวาราวัชชนจิต จิตประเภทนี้ ชาตินี้ เจตสิกประกอบเท่านี้ กระทำกิจได้ ๒ กิจ คือ ถ้าเกิดทางปัญจทวารวิถีทำโวฏฐัพพนกิจ ถ้าเกิดทางมโนทวารวิถี ทำอาวัชชนกิจ

สำหรับมโนทวาราวัชชนจิตสามารถเกิดได้แม้ในภูมิที่ไม่มีรูป เพราะฉะนั้น ในระหว่าง ๒ ชื่อ คือ โวฏฐัพพนะและมโนทวาราวัชชนะ ควรจะใช้ชื่อไหนเป็นชื่อประจำ เพราะว่าโดยกิจซึ่งเป็นอาวัชชนกิจ มโนทวาราวัชชนจิตสามารถจะเกิดได้แม้ใน อรูปพรหมภูมิ

ที่ใดก็ตามซึ่งมีจิต ก่อนที่วิถีจิตจะเกิด ต้องมีมโนทวาราวัชชนจิตเกิด แม้ว่าไม่มีรูปเลย ไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยินใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น เมื่อกิจนี้เป็นกิจที่สามารถจะเกิดได้ในภูมิต่างๆ โดยทั่วไปทุกภูมิที่มีนามธรรม แม้ว่าจะทำกิจได้ ๒ กิจ ก็เรียกว่า มโนทวาราวัชชนจิต แต่ให้ทราบว่า มโนทวาราวัชชนจิตนี้เกิดทางปัญจทวารก็ได้ โดยทำโวฏฐัพพนกิจ ไม่ใช่ทำอาวัชชนกิจทางปัญจทวาร

เพราะฉะนั้น มโนทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้นกระทำกิจรู้อารมณ์ทางปัญจทวารได้ โดยทำโวฏฐัพพนกิจ ไม่ใช่อาวัชชนกิจ

ปัญจทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางมโนทวารได้ไหม

ไม่ได้

นี่เป็นความต่างกันของจิตที่ทำอาวัชชนกิจ ซึ่งมี ๒ ดวง โดยชื่อก็แสดงลักษณะของจิตแล้วว่า ปัญจทวาราวัชชนจิต ตายตัวว่า สามารถจะรำพึงถึงอารมณ์ได้เฉพาะ ๕ อารมณ์ที่กระทบทวารทั้ง ๕ เท่านั้น จึงชื่อว่า ปัญจทวาราวัชชนจิต ไม่สามารถจะเกิดทางมโนทวารได้

เพราะฉะนั้น สำหรับจิตที่ทำอาวัชชนกิจเป็นกิจแรกของ ๖ ทวาร มี ๒ ดวง คือ ปัญจทวารวัชชนจิต ๑ ดวง ทำอาวัชชนกิจทางปัญจทวาร และมโนทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง ทำอาวัชชนกิจทางมโนทวาร

มโนทวาราวัชชนจิตเกิดที่ไหน ที่หทยวัตถุ

เป็นปัจฉาชาตปัจจัยได้ไหม ได้

เป็นอาเสวนปัจจัยได้ไหม ไม่ได้

เปิด  208
ปรับปรุง  19 ต.ค. 2566