แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1142

ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษา มหามกุฏราชวิทยาลัย

วันอาทิตย์ที่ ๒๐ มิถุนายน ต่อวันอาทิตย์ที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๒๕


ในขณะนี้จะรู้ได้เลยว่า ไม่มีใครเป็นตัวตนที่สามารถจะบังคับบัญชาสิ่งหนึ่ง สิ่งใดขณะหนึ่งขณะใดได้เลย ได้ยินเกิดขึ้น ไม่ใช่บังคับไม่ให้ได้ยิน เพราะบางท่านเข้าใจว่า การรู้อริยสัจธรรมก็โดยไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กำลังกระทบสัมผัส และไม่รู้สภาพที่คิดนึก

ได้สนทนากับท่านผู้หนึ่ง ท่านบอกว่า ท่านเป็นผู้ที่สนใจในการปฏิบัติ ได้เรียนถามท่านว่า เวลาท่านปฏิบัติท่านทำอย่างไร

ท่านบอกว่า ไม่ให้เห็น ไม่ให้ได้ยิน ไม่ให้ได้กลิ่น ไม่ให้ลิ้มรส ไม่ให้รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่ให้คิดนึก เรียนถามท่านว่า ถ้าเช่นนั้นจะให้รู้อะไร เมื่อไม่รู้สิ่งที่มี จริงๆ ที่กำลังปรากฏ ซึ่งถ้าสติระลึกจะรู้ทันทีว่า เป็นอนัตตาทั้งหมด ได้ยินเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นวิบาก เพราะบังคับไม่ได้ มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นได้ยินก็ต้องได้ยินเสียงที่กำลังปรากฏ มีเหตุปัจจัยที่จะให้ได้กลิ่น จะไม่ให้ได้กลิ่นสิ่งนั้นเป็นไปไม่ได้เลย นี่คือสภาพที่เป็นอนัตตา ซึ่งมีลักษณะที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เป็นอริยสัจธรรม เป็นสัจธรรมเพราะเป็นสภาพธรรมที่มีจริง

ถ้าใช้ภาษาบาลีว่า สัจธรรม ดูเหมือนอยู่ในตำรา แต่สัจธรรมเมื่อเป็นภาษาไทย ตามลักษณะของสภาพธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ทางตากำลังเห็นเป็นสิ่งที่มีจริง ทางหูกำลังได้ยินเป็นสิ่งที่มีจริงเป็นสัจธรรม ที่จะรู้ว่าเป็นวิบากก็เมื่อสติเกิด ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนั้น และปัญญารู้สภาพธรรมนั้นตามความเป็นจริง จึงจะรู้ว่า ขณะใดเป็นวิบาก ขณะใดเป็นกุศล และขณะใดเป็นอกุศล

อย่างท่านที่ทำกุศล และมีอกุศลเกิดแทรกจนลักษณะของกุศลเกือบไม่ปรากฏ เช่น ในขณะที่ให้ โกรธ ไม่พอใจ บางท่านกล่าวว่า ไม่รู้เลยว่าขณะนั้นเป็นกุศลเพราะว่าสภาพของจิตที่ผ่องใสไม่ปรากฏ มีแต่ลักษณะที่โกรธ กระด้างในขณะนั้น เพราะว่าลักษณะของโทสะเกิดสลับจนกระทั่งมีลักษณะของโทสะปรากฏมากกว่าลักษณะของกุศลซึ่งเป็นช่วงขณะที่สั้นมาก แต่สติสามารถระลึกรู้ลักษณะของอกุศลว่าสภาพนั้นเป็นอกุศล และสติปัฏฐานก็สามารถระลึกรู้ลักษณะสภาพของกุศลจิต ซึ่งผ่องใสปราศจากสภาพที่หยาบกระด้างในขณะนั้นได้ว่า ขณะนั้นเป็นลักษณะของกุศล ฉันใด เวลาที่สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ เป็นสภาพรู้ทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็รู้ว่าขณะนั้นเป็นวิบาก ไม่ใช่กุศลและ ไม่ใช่อกุศล

เพราะฉะนั้น พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงทั้งหมดสามารถพิสูจน์ได้ ในชีวิตประจำวัน ถ้าไม่สามารถจะพิสูจน์ได้ในชีวิตประจำวัน การศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ๔๕ พรรษาจะไม่มีประโยชน์เลย เพราะปริยัติต้องตรงกับปฏิบัติ ท่านผู้ใดก็ตามที่สนใจในการปฏิบัติแต่ไม่มีความรู้ คือ ไม่ได้ศึกษาเรื่องของสภาพธรรมที่เป็นอนัตตาที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจตามปกติ ตามความเป็นจริง ผลของการปฏิบัติย่อมไม่ตรงกับปริยัติ

อย่างท่านที่ได้สนทนากัน ท่านบอกว่าการปฏิบัติของท่าน คือ ไม่ให้รู้อะไร ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ สัจธรรมอยู่ที่ไหนในขณะนั้น อะไรเป็นสัจธรรม ซึ่งสิ่งที่กำลังเป็นของจริงขณะนี้ เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดงโดยละเอียดเพื่อที่จะให้ผู้ที่ศึกษาอบรมเจริญปัญญารู้สภาพธรรมที่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ถ้าสติไม่ระลึกรู้ในขณะที่กำลังเห็น ปัญญาย่อมไม่สามารถรู้ได้ว่า ไม่ใช่ตัวตน เป็นนามธรรมและเป็นรูปธรรมซึ่งเกิดดับ

เพราะฉะนั้น แม้แต่ในเรื่องของวิปากปัจจัย หรือกัมมปัจจัย ก็เป็นสิ่งที่เมื่อได้ศึกษาแล้ว สามารถอบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดง เพื่อที่จะได้ประจักษ์ในสภาพที่เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

ทุกท่านต้องเป็นผู้ที่ตรง วันนี้ ขณะนี้สามารถที่จะรู้ว่า ขณะใดเป็นวิบาก ขณะใดเป็นกุศล ขณะใดเป็นอกุศล ต้องเป็นผู้ที่ตรง ถ้ายังไม่รู้ในวันนี้ ก็ต้องอบรมเจริญสติปัฏฐาน ซึ่งเป็นหนทางเดียวไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสามารถรู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งสามารถจะรู้ได้

อย่าเป็นวิปากปัจจัยหรือวิบากแต่ในตำรา ขณะที่กำลังกระทบสัมผัส สติระลึก รู้ว่าเป็นวิบาก

มีใครอยากจะรู้สิ่งที่แข็งบ้างไหม เพียงแข็งนี้ปรากฏอยู่เรื่อยๆ มีใครอยากจะรู้แข็งบ้างไหม อยากหรือไม่อยาก เพียงแข็งเท่านั้นเอง อยากจะรู้ไหม ลักษณะที่แข็ง ที่กระทบกาย แต่จะอยากหรือไม่อยาก มีปัจจัยที่รู้แข็งจะเกิด รู้แข็งก็กำลังรู้แข็ง นี่คือ วิปากปัจจัย

ถ้าเกิดในอรูปพรหม ไม่ต้องรู้แข็ง ไม่มีรูปใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ต้องเห็น ไม่ต้อง ได้ยิน ไม่ต้องได้กลิ่น ไม่ต้องลิ้มรส ไม่ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เพราะว่าไม่มีรูปใดๆ แต่ยังมีวิปากปัจจัย คือ มีจิตและเจตสิกซึ่งเป็นวิบาก เป็นผลของกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้แล้ว

อย่าลืม วิบากขณะนี้ ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหลายถ้าย่อลงมาแล้วก็คือวิบากที่เกิด อยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ใดๆ ทั้งสิ้น กำลังกระทำกุศลกรรมก็มีวิบาก คือ ต้องมีการเห็นอยู่ตลอด ต้องมีการได้ยินอยู่เรื่อยๆ ต้องมีการได้กลิ่น มีการลิ้มรส มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แต่ให้ทราบว่า วิบากไม่ใช่กุศล และไม่ใช่อกุศล

ถ. วิบากเป็นจิตและเจตสิกที่ทำให้เห็น ให้ได้ยิน แต่ว่าโภคสมบัติที่จะถูกทำลายไป ไม่เกี่ยวกับจิตและเจตสิก โภคสมบัติที่เสียหายนั้นเป็นวิบากด้วยหรือเปล่า

สุ. ท่านผู้ฟัง อย่าลืม เหตุการณ์ทุกอย่างซึ่งดูยาว ว่าเป็นโภคสมบัติ เป็นทรัพย์สมบัติ และสูญหายไป จะเป็นวิบากหรือเปล่า

แต่ถ้าย่อลงมาทุกขณะจิต อย่าลืม การที่จะรู้สภาพธรรมที่เป็นวิบาก คือ ขณะที่เห็น ขณะที่ได้ยิน ขณะที่ได้กลิ่น ขณะที่ลิ้มรส ขณะที่กระทบสัมผัสเท่านั้น ที่เป็นวิบาก ส่วนเรื่องยาวๆ อย่างนั้น เอามาย่อยออกจึงจะรู้ว่า ขณะใดเป็นวิบาก

ขณะที่กำลังฟังเรื่องทรัพย์สมบัติพินาศไป ถ้าจะรู้วิบาก คือ เมื่อสติระลึกที่แข็ง นั่นแหละคือวิบาก

ขณะที่ได้ยิน กำลังได้ยินเรื่องนี้ ขณะที่ระลึกรู้ลักษณะสภาพที่ได้ยิน ได้ยิน เป็นวิบากเช่นเดียวกับแข็ง มีใครอยากจะรู้แข็งบ้าง เพียงแข็ง แต่ก็ต้องรู้แข็งเมื่อมีปัจจัยที่จะให้สภาพที่รู้แข็งเกิดรู้แข็งขณะนั้น ฉันใด เมื่อมีปัจจัยที่จะให้จิตได้ยินเกิดขึ้นได้ยิน จิตได้ยินก็เกิดขึ้นเป็นวิบาก

ท่านที่มีสมบัติมาก สมบัติของท่านตามความเป็นจริงเกิดดับอยู่ตลอดเวลา มีก็เสมือนไม่มีถ้าขณะนั้นไม่ปรากฏ สมมติว่าทุกท่านที่นั่งอยู่ในที่นี้เป็นผู้ที่มีสมบัติมาก เข้าใจว่าเป็นผู้ที่มีสมบัติมาก และเข้าใจว่าสมบัติยังอยู่ กลับไปบ้านไฟไหม้หมด แต่ระหว่างที่ท่านกำลังนั่งอยู่ที่นี่ เข้าใจว่ายังมีสมบัติอยู่ใช่ไหม นั่นคือความเข้าใจ แต่ตามความเป็นจริง คือ แล้วแต่สภาพธรรมใดปรากฏทางตา หรือทางหู หรือทางลิ้น หรือทางกายขณะใด เป็นวิบากขณะนั้น

เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีแต่ไม่ปรากฏ จึงเสมือนไม่มี ซึ่งความจริงอาจจะไม่มีจริงๆ ก็ได้ โดยอัคคีภัย อุทกภัย น้ำท่วม หรือสิ้นชีวิตลงทันที สมบัติก็ไม่เป็นของบุคคลนั้นอีกต่อไป

ที่เข้าใจว่ามี เป็นความคิด แต่ตามความเป็นจริงแล้ว ต้องขณะที่กำลังเห็น จึงจะชื่อว่าเป็นวิบาก

ท่านที่มีเครื่องประดับที่สวยงาม เป็นสมบัติของใคร เป็นสมบัติของ จักขุวิญญาณที่เห็น เป็นกุศลวิบาก ของใคร ในเมื่อจักขุวิญญาณเห็นและดับทันที หมด จักขุวิญญาณเป็นแต่เพียงธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อกระทบกับสิ่งที่ปรากฏ ขณะนี้จะมีจักขุวิญญาณกี่ดวงก็ตาม ถ้าเห็นสิ่งที่เป็นผลของกุศล จักขุวิญญาณนั้นเป็นกุศลวิบากชั่วขณะที่เห็นและดับ แต่ไม่ได้เห็นสิ่งนั้นอยู่เรื่อยๆ ประเดี๋ยวเห็นสิ่งอื่นซึ่งเป็น อกุศลวิบากแล้ว

เพราะฉะนั้น สมบัติทั้งหลายเป็นสมบัติของจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ ชั่วขณะที่ปรากฏตามความเป็นจริง แต่ใครจะคิดว่า มีเงินมากมายมหาศาล มีสมบัติมหาศาล ก็อยู่ในความคิด ซึ่ง ขณะใดที่ไม่ปรากฏ มีก็เสมือนไม่มี

และวันหนึ่งๆ นอกจากมีสภาพปรมัตถธรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้ว ยังมีการนึกคิดเรื่องราวของปรมัตถธรรมที่ปรากฏทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้างอยู่เรื่อยๆ และเป็นขณะที่ยาวมาก เรื่องต่างๆ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ถ้าสติไม่เกิดจะไม่มีทางรู้เลยว่า ขณะนั้น ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นแต่เพียงนามธรรมและรูปธรรมซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย

วันนี้ในขณะนี้เป็นอย่างนี้ เมื่อวานก็คงจะคล้ายๆ อย่างนี้ คือ เต็มไปด้วยเรื่องราวต่างๆ ซึ่งถ้าปรมัตถธรรม คือ นามธรรมและรูปธรรม ไม่เกิด คือ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เรื่องราวต่างๆ ย่อมมีไม่ได้ เพราะฉะนั้น ทุกเรื่องของทุกวันย่อมมาจากแหล่ง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่อย่าลืมว่าต้องแยกกัน โดยสติระลึกและศึกษาลักษณะของสภาพธรรมที่ต่างกันระหว่างสภาพที่เป็นวิบาก สภาพที่เป็นกุศลและอกุศล เพราะว่าบางท่านเวลาที่มีเรื่องเดือดร้อน เช่น เกิดอุบัติเหตุ หรือมีโจรภัย ไฟไหม้ ต้องสูญเสียทรัพย์ บางท่านใช้ คำว่า เป็นกรรม แต่ผู้ที่เข้าใจสภาพธรรมต้องทราบว่า คำนั้นหมายความถึงกรรม ในอดีตที่ได้กระทำแล้วของตนเอง แต่ขณะใดก็ตามที่กำลังเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง รู้สภาพธรรมที่ปรากฏที่กายบ้าง ขณะนั้นเท่านั้นที่เป็นวิบาก

เพราะฉะนั้น ถ้าท่านผู้หนึ่งผู้ใดในชีวิตประจำวันมีภัยมาถึงตัว โดยการศึกษาเรื่องของวิบากและเรื่องของกรรมพอที่จะทราบได้ไหมว่า ขณะไหนเป็นวิบาก และขณะไหนเป็นกรรม ซึ่งการรู้อย่างนี้ย่อมทำให้มั่นคงในกุศลกรรมโดยไม่หวั่นไหว เพราะรู้ว่าภัยใดก็ตามที่จะเกิดปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ย่อมเป็นผลของอดีตกรรมของตนเอง เป็นนานักขณิกกัมมปัจจัยทำให้วิปากจิตเกิดขึ้นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย

บางท่านถามว่า ขณะที่เจ็บไข้ได้ป่วย ขณะนั้นเป็นผลของอกุศลกรรม เป็นวิบาก ใช่ไหม ถูกต้อง แต่อย่าลืมว่า ไม่ใช่แต่ในเฉพาะขณะที่เจ็บป่วย เห็นขณะใดต้องทราบว่า เป็นผลของอดีตกรรม

เพราะฉะนั้น ชีวิตประจำวันตั้งแต่เช้าจนถึงขณะนี้ก็เป็นผลของอดีตกรรมที่ได้กระทำแล้ว ส่วนกรรม คือ หลังจากที่วิบากจิตดับไปแล้ว กุศลจิตหรืออกุศลจิตที่เกิดต่อยังไม่ได้ให้ผลทันทีโดยไม่มีระหว่างคั่น ต้องอาศัยปัจจัยอื่น เมื่อพร้อมที่จะให้ผลเมื่อไร ก็ได้รับผลทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

และไม่ว่าท่านผู้ฟังจะฟังเรื่องอะไรก็ตาม ที่กำลังได้ยินในขณะนี้ หรือว่าที่จะได้ยินต่อไป ถ้าสติระลึกจะรู้ว่า ขณะที่ได้ยินเป็นวิบาก ส่วนจิตที่กำลังรู้เรื่องอาจจะเป็นกุศลบ้างหรืออกุศลบ้าง ซึ่งนอกจากจะรู้ว่าเป็นวิบากหรือว่าเป็นกรรม ยังจะต้องรู้ว่า สภาพธรรมในขณะนั้นไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เพราะว่าบางท่านเมื่อได้ฟังเรื่องของกรรม เรื่องของวิบาก เวลาที่มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นกับท่าน สติก็อาจจะระลึกได้ว่า นี่เป็นผลของกรรมของตนในอดีตจึงมีการเห็น มีการได้ยิน มีการได้กลิ่น มีการลิ้มรส มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสอย่างนั้นๆ แต่ถ้าไม่ใช่สติปัฏฐาน วิบากนั้นก็ยังคงเป็นเราเป็นผู้ที่เห็น เป็นผู้ที่ได้ยิน เป็นต้น จนกว่าจะศึกษารู้ลักษณะของ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และต้องเป็นในขณะนี้จริงๆ ว่า ลักษณะที่เป็นวิบากต้องไม่ใช่ตัวตน จึงเป็นวิบาก เป็นสภาพนามธรรม เป็นสภาพรู้ที่กำลังเห็น หรือว่ากำลัง ได้ยิน ในขณะที่ฟังนี้เอง สติปัฏฐานสามารถรู้วิบากจริงๆ คือ กำลังเห็นในขณะนี้เป็นสภาพรู้ กำลังได้ยินในขณะนี้ก็เป็นสภาพรู้ ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไม่ให้ได้ยินเสียงที่กำลังได้ยินในขณะนี้ได้

เพราะฉะนั้น การที่จะรู้จริงๆ ว่า พระผู้มีพระภาคทรงมีพระคุณนานัปการ ก็โดยการที่สติเกิดขึ้นและรู้ตามความเป็นจริงว่า พระธรรมที่ทรงแสดงนั้นเป็นความจริง สามารถพิสูจน์ได้ ซึ่งในวันหนึ่งๆ มีวิบากนับไม่ถ้วน เพราะว่าเห็นตลอดเวลา ได้ยินด้วย ได้กลิ่นด้วย ลิ้มรสด้วย รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกายด้วย และกุศลจิตอกุศลจิตก็เกิดต่อจากวิบาก ซึ่งไม่ใช่แต่เฉพาะในชาตินี้ที่ยังไม่ค่อยจะได้พิจารณาว่า มีวิบาก อะไรบ้าง และมีกุศลกรรมอกุศลกรรมอะไรบ้าง

เปิด  226
ปรับปรุง  2 มิ.ย. 2565