แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1202

ที่วัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่

วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๒๕


. ที่จะมีสติระลึกรู้ในชีวิตประจำวัน ยาก ไม่ค่อยจะเกิดขึ้น จะทำอย่างไร หลงลืม บอกว่าจะพิจารณา บางทีจะคิดนึกเอา เดาเอา จดจ้องเอา เพราะฉะนั้น ทำอย่างไรจึงจะให้สติเกิดขึ้น จะอบรมอย่างไร ขอเรียนถามอาจารย์

สุ. ทุกคน ขณะนี้คงจะเต็มไปด้วยความอยากที่จะให้สติเกิดบ่อยๆ แต่ต้องรู้เหตุว่า เพราะอะไรสติจึงไม่เกิดบ่อยๆ อย่างที่หวังหรือที่ต้องการได้ ก็เพราะว่าทุกท่านมีอวิชชาสะสมมามากเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์เกินกว่าแสนโกฏิกัปป์

ขณะเห็น ก็ไม่รู้ เพราะไม่เคยระลึก ไม่เคยได้ฟังเรื่องของการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และเรื่องของนามธรรมและรูปธรรมโดยละเอียด และไม่ใช่ว่าในสังสารวัฏฏ์จะมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ทุกๆ กัป ในบางกัปก็ไม่มี เพราะฉะนั้น ระหว่างกัปหนึ่งหรือหลายกัป ซึ่งไม่ได้ยินไม่ได้ฟังเรื่องของนามธรรมและรูปธรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจเลย อวิชชาจะเพิ่มมากสักแค่ไหน

เพราะฉะนั้น ถ้าได้ยินเพียงเล็กน้อยนิดเดียวและมีปัญหาว่า ทำอย่างไรสติจะเกิดมากๆ ก็ควรระลึกถึงเหตุว่า เมื่ออวิชชาสะสมมามาก แต่จะให้สติเกิดมากๆ เหตุสมควรแก่ผลไหม จะเร่งรัดได้ไหม หรือควรจะเริ่มจากความเข้าใจลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมว่า เพิ่มมากขึ้นบ้างหรือยัง

ซึ่งการที่สติจะเกิดระลึกถูกตามความเป็นจริงว่า นามธรรมมีลักษณะอย่างนี้ รูปธรรมมีลักษณะอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าเพียงฟังครั้งเดียว เพราะในวันหนึ่งจะได้ฟังธรรม สักกี่นาที และที่ไม่ได้ฟังธรรมแต่เป็นเรื่องอื่นๆ มากมายของอวิชชากี่นาที เพราะฉะนั้น ที่จะให้นึกได้ ไม่ลืม ที่สติจะเกิดระลึกลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจบ่อยๆ ก็เป็นไปไม่ได้ จนกว่าสติจะเกิดขึ้นปฏิบัติกิจของสติทีละเล็กทีละน้อย นานแสนนาน และสามารถจะเกิดเพิ่มขึ้นได้ถ้ามีความสนใจใคร่ในธรรม คือ การฟังมากๆ พิจารณามากๆ สติก็สามารถมีอาหาร คือ มีปัจจัยปรุงแต่งให้ระลึกทันทีที่ลักษณะของนามธรรมหนึ่งหรือรูปธรรมหนึ่ง ทางทวารหนึ่งทวารใดได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่อดทน มิฉะนั้นจะไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม จะมีแต่ความต้องการที่จะทำ แทนที่จะเข้าใจสภาพของธรรมเพิ่มขึ้นก่อน

. จิตกับใจ อย่างเดียวกันไหม

สุ. อย่างเดียวกัน

. ได้ยินว่า หัวใจอยู่ในช่องกลางอก โตเท่ากับกำปั้นของตัวเอง หัวใจนี้เป็นนามหรือเป็นรูป

สุ. เป็นรูป วิธีที่จะทราบว่า สภาพใดเป็นรูป สภาพใดเป็นนาม คือ ในขณะนี้เอง สภาพธรรมใดซึ่งเป็นสภาพรู้ สภาพจำ สภาพคิด สภาพสุข สภาพทุกข์ เป็นต้น เป็นนามธรรม เพราะว่านามธรรมหมายความถึงธรรมที่น้อมไปสู่อารมณ์ คือ รู้อารมณ์นั่นเอง

เพราะฉะนั้น จึงมีคำว่า จิต กับคำว่า อารมณ์ ซึ่งเป็นของคู่กัน เมื่อจิตเป็นสภาพรู้ ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ และสิ่งที่ถูกรู้นั่นเองทรงบัญญัติศัพท์ว่า อารมณ์ หรือ อารมฺมณ ในภาษาบาลี เพราะฉะนั้น จะมีจิตโดยไม่รู้อารมณ์ไม่ได้ เมื่อมีจิตต้อง มีอารมณ์

ใจมีอารมณ์ไหม เห็นมีอารมณ์ไหม ได้ยินมีอารมณ์ไหม

สภาพรู้ทั้งหมดต้องมีอารมณ์ โลภะมีอารมณ์ไหม มี เมื่อชอบ ก็ต้องมีสิ่งที่กำลังถูกชอบด้วย โทสะมีอารมณ์ไหม เมื่อเป็นนามธรรมก็ต้องมีอารมณ์ คือ ต้องมี สิ่งที่กำลังไม่พอใจ หรือกำลังขุ่นเคืองในขณะนั้นด้วย

เพราะฉะนั้น ที่ใช้คำว่า นามธรรม เพราะหมายถึงสภาพที่น้อมไปสู่อารมณ์ คือ รู้อารมณ์ ในขณะนี้ทางตา ทุกคนมี กำลังเห็น หูมี เพราะฉะนั้น มีการได้ยิน แต่ทำไมบางคนคิดนึก บางคนก็อาจจะกำลังรู้สึกเจ็บปวด คันที่หนึ่งที่ใด หรือกระทบสัมผัสแข็ง เพราะฉะนั้น ไม่เหมือนกัน การที่จิตใจของแต่ละคนจะน้อมไปสู่อารมณ์ใดทางไหน ก็ย่อมแล้วแต่เหตุปัจจัย

จิตหรือใจเป็นสภาพที่เป็นนามธรรม เพราะเป็นสภาพที่น้อมไปรู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด ทางหนึ่งทางใดอยู่เสมอ

. ถ้าเข้าใจอย่างชาวบ้านๆ รู้สึกว่า ความหมายจะผิดกับทางธรรม ใช่ไหม

สุ. เพราะในภาษาไทยไม่เจาะจง อย่างวันหนึ่งๆ อาจจะบอกว่าอารมณ์ดี หมายความถึงจิตใจสบาย แช่มชื่น ซึ่งความจริงต้องมาจากเหตุ คือ ได้เห็นสิ่งที่ดี ได้ยินเสียงที่ดี ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส ฟังเรื่องราวที่ดี จิตใจสบาย ก็กล่าวว่า อารมณ์ดี นั่นเป็นความหมายในภาษาไทย แต่ความหมายในภาษาบาลี ต้องเจาะจงหมายถึงสภาพที่จิตกำลังรู้เท่านั้น

. สีเป็นอารมณ์ของจิต ใช่ไหม

สุ. ของจิตเห็น ต้องเจาะจงลงไปด้วย

. เพราะฉะนั้น อารมณ์ เป็นความหมายทางธรรมที่เข้าใจไขว้เขว

ท่านพระครูสังวรญาณทัสสนะ เจ้าคณะอำเภอแม่โฮ่ง ท่านถามมาว่า ความอยากเป็นตัณหา ใช่หรือไม่ เช่น ความอยากมีสติ ความอยากรู้รูปธรรมและนามธรรม เป็นต้น และจะทำอย่างไร

สุ. ถ้าความอยากกำลังปรากฏ ก็รู้ลักษณะที่อยาก แล้วแต่สภาพธรรมใดปรากฏ เป็นของจริงทั้งนั้น ข้อสำคัญ คือ ลักษณะของกุศลจิตและอกุศลจิตเกิดดับสลับกันอย่างรวดเร็ว ยากที่จะรู้ได้ เหมือนกับในขณะนี้ เห็นไม่ใช่ได้ยิน แต่เพราะว่าเกิดดับสลับกันจึงปรากฏเสมือนว่า ทั้งเห็นและกำลังได้ยิน ฉันใด ลักษณะของกุศลและลักษณะของอกุศลก็เกิดดับสลับกันจนยากที่จะบอกได้ว่า ขณะใดเป็นกุศล ขณะใดเป็นอกุศล ถ้าปราศจากสติสัมปชัญญะ

เพราะฉะนั้น การรู้แจ้งสภาพธรรม นอกจากการฟังเข้าใจ การพิจารณาเข้าใจแล้ว ยังต้องสามารถประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างตรงตามความเป็นจริงด้วยสติและสัมปชัญญะ เพราะว่าโลภมูลจิต สภาพที่พอใจ ยินดี ต้องการ ไม่ได้อยู่ในพระไตรปิฎก หรืออยู่ในอรรถกถา หรือในสมุดหนังสือเล่มหนึ่งเล่มใด แต่อยู่ในขณะที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังลิ้มรส กำลังรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส กำลังคิดนึก เพราะฉะนั้น การที่จะรู้ลักษณะสภาพที่เป็นอกุศลซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำ ในวันหนึ่งๆ ต้องเพราะสติสัมปชัญญะเกิด

และในวันหนึ่งๆ ถ้าจะมีกุศลจิตเกิดคั่น เช่น ในขณะที่ให้ทาน รักษาศีล หรือขณะที่กำลังฟังธรรม ผู้ที่จะเป็นพระอริยสาวกต้องเป็นผู้ที่ตรง ตรงอย่างไร คือ ตรงเพราะสติเกิด จึงสามารถรู้ความต่างกันของกุศลจิตและอกุศลจิตซึ่งเกิดสลับกันได้ เช่น ขณะที่กำลังนั่งอยู่ที่นี่ จะมีใครสักคนหนึ่งกล่าวว่า มีกุศลจิตเกิดตลอดเวลา ได้ไหม

. พอได้อยู่

สุ. ไม่ได้ เพราะต้องมีความไม่พอใจนิดๆ หน่อยๆ เล็กๆ น้อยๆ ทางกายบ้าง ทางหูบ้าง บางทีอาจจะเป็นเสียงอะไรสักนิดหนึ่งเกิดสลับคั่นทำให้รู้สึกว่า ไม่อยากจะได้ยินเสียงนั้น ในขณะนั้นก็เป็นอกุศลจิต

แต่การที่จะสามารถรู้ได้ชัดขึ้นว่า สภาพที่เป็นอกุศลนั้นเป็นอย่างไร สภาพ ที่เป็นกุศลนั้นเป็นอย่างไร ก็เพราะสติเกิดและระลึกในขณะที่กุศลหรืออกุศลกำลังปรากฏ แต่ถ้าไม่ได้ฟังก็บอกว่ายาก หรือแม้ศึกษาแล้ว โดยความเข้าใจจากการอ่าน ก็ยังบอกว่ายากอีก และมักจะกล่าวกันโดยส่วนใหญ่ เช่น การฟังธรรมเป็นกุศล แต่ ที่จริงต้องพิจารณาตัวเองจริงๆ ว่า ขณะที่ฟัง ฟังเพราะอะไร ถ้าฟังเพื่อให้เข้าใจ ขณะนั้นเป็นกุศล และขณะที่กำลังเข้าใจก็ไม่ใช่เรา เป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์ คือ สภาพของจิตที่ดีประกอบด้วยปัญญา คือ ความเข้าใจ แต่ถ้าฟังแล้วก็ง่วงๆ เบื่อๆ จะกล่าวว่า การฟังธรรมเป็นกุศลได้ไหม ในเมื่อฟังแล้วง่วง ฟังแล้วเบื่อ ขณะนั้นก็ต้องเป็นอกุศล แต่ถ้าสามารถรู้ชัดว่า ขณะใดเป็นอกุศล ขณะใดเป็นกุศล ย่อมสามารถรู้ได้ว่า ความต้องการหรือความปรารถนาประเภทใดเป็นกุศล ประเภทใดเป็นอกุศล

ถ้าไม่เข้าใจธรรมเลย เพียงแต่อยากที่จะถึงนิพพาน เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล

. อกุศลแน่นอน

สุ. เพราะโลภะไม่เคยละทิ้งโอกาส แม้ชื่อก็ยังเป็นที่พอใจของโลภะได้ เพียงได้ยินคำว่า นิพพาน ฟังดูเป็นของแปลก หรือคำว่า โลกุตตระ พ้นจากโลก ความเกิดดับ ก็ปรารถนาแล้วโดยที่ยังไม่รู้เลยว่า ลักษณะจริงๆ ของนิพพานนั้น คืออย่างไร

นิพพาน เป็นธรรมที่สามารถดับความยินดีพอใจ เพราะไม่ใช่สภาพธรรมที่เกิดขึ้น แต่ถ้าไม่ฟังอาจจะคิดว่า นิพพานคงจะสบายกว่าโลกนี้ จึงอยากจะถึงนิพพาน เพราะฉะนั้น ขณะนั้นต้องเป็นโลภะ

ถ้าถามว่าใครอยากถึงนิพพาน และจะเข้าใจว่า คนที่ตอบว่าอยากถึงนิพพาน เป็นกุศล ย่อมไม่ได้ เพราะต้องเป็นเรื่องที่มาจากความเข้าใจที่ถูกต้อง

. ขณะที่ให้ทาน จิตเป็นกุศลตลอดเวลาหรือเปล่า

สุ. ถ้ามีแก้วน้ำสะอาด และบังเอิญเห็นอะไรอยู่ในแก้วน้ำสะอาดที่จะถวายทาน จิตเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล เช่น เห็นแมลงวันสักตัวในถ้วยแก้ว

. รู้สึกจะไม่ค่อยสบายใจนิดหน่อย ก็คงเป็นอกุศล

สุ. เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ ที่จะทำบุญเลี้ยงพระ เริ่มตั้งแต่ออกจากบ้าน ไปตลาด อาจจะพิจารณาได้เลยว่า โลภะบ้าง โทสะบ้างไปเรื่อยๆ แม้ขณะที่กำลังปรุงอาหาร อร่อยเป็นโลภะ ไม่อร่อยเป็นโทสะ เพราะฉะนั้น ลักษณะของกุศลจิต ช่างแสนยากที่จะเกิด และเมื่อเกิดแล้วก็ช่างเล็กน้อยเหลือเกิน อย่าคิดว่ามากมาย เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นผู้ที่ตรงจะรู้ว่า ขณะใดเป็นกุศล และขณะที่ไม่ใช่กุศลนั้น จะมากหรือจะน้อย

ถ. ดังนั้น ขณะที่ให้ทาน ก็มีทั้งกุศลและอกุศลเกิดสลับกันอย่างรวดเร็ว จนไม่สามารถรู้ได้ และจะเหมาว่าเป็นกุศลหมดก็ไม่ได้

ขอถามต่อว่า เมื่อสภาพธรรมเกิดขึ้นและดับไปแล้ว สติเกิดพิจารณาไม่ทัน ถ้าจะพิจารณาต่อ จะเป็นการจดจ้องหรือไม่

สุ. การจดจ้อง หมายความถึงการเลือกอารมณ์เดียวที่จะรู้ แต่ถ้าไม่ใช่การเลือกอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดจะรู้ว่า ที่ไม่จดจ้องเพราะรู้ว่าสติเป็นอนัตตา สติสามารถจะเกิดระลึกรู้ทางตาก็ได้ ทางหูก็ได้ ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายก็ได้ ทางใจก็ได้ ขณะนั้นไม่ชื่อว่าจดจ้อง แต่ถ้าต้องการอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด ขณะนั้นชื่อว่า จดจ้อง

. ทำอย่างไรจิตใจจะไม่อ่อนแอ หวาดกลัว ขอคำแนะนำวิธีที่จะเป็นคนควบคุมอารมณ์ให้คงที่ มีจิตใจเข้มแข็ง

สุ. ผู้ที่ไม่หวั่นไหวในโลกธรรม ต้องเป็นพระอริยบุคคลขั้นสูงขึ้นๆ เพราะฉะนั้น ต้องอบรมเจริญฝึกหัดไปจากความเป็นปุถุชนสู่ความเป็นพระอริยบุคคล และต้องรู้ว่า ด้วยปัญญาเท่านั้น ไม่ใช่ด้วยอย่างอื่น ถ้าตราบใดยังไม่มีปัญญาที่จะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ย่อมต้องหวั่นไหว ไม่มีใครสามารถที่จะช่วยได้

. เมื่อเราจะดับจิต หรือใกล้จะตายนั้น จะพิจารณาอย่างไรจึงจะถูกต้อง

สุ. ตายขณะนี้ได้ไหม หรือขณะนี้ตายไม่ได้ ต้องเข้าใจตอนนี้เพื่อที่จะได้ทำถูกก่อนและถึงจะตายได้

ความตายนี่เร็วที่สุด แต่ก่อนตายอาจจะนาน เช่น อาจจะป่วยเจ็บ หรือสนุกสนานรื่นเริง บางท่านกำลังรับประทานอาหารอร่อยก็ตายได้ แม้ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ก็ตายได้ หรือแม้ว่าเจ็บป่วยทรมานมานานหลายเดือนหลายปี แต่ก็ยังไม่ตาย

เพราะฉะนั้น เรื่องของความตาย ตามที่ทรงแสดงไว้ชั่วขณะจิตเดียว จะสั้น จะเล็กน้อยสักแค่ไหน และใครจะรู้ว่าเมื่อไร ถ้าคิดว่าก่อนตายจะทำอย่างไรดี ทำตั้งแต่ขณะนี้เลย เพราะอาจจะตายขณะต่อไปก็ได้ ไม่มีใครสามารถจะทำอะไรได้ เพราะว่าทุกคนอยากจะมีกุศลทุกวัน แต่ต้องตามเหตุ เมื่อมีเหตุของอกุศล อกุศลก็ต้องเกิด และไม่ต้องคร่ำครวญว่า ทำอย่างไรๆ คร่ำครวญแต่ว่าอกุศลมากเหลือเกิน ซึ่งถ้ารู้เรื่องเหตุและผลแล้ว และอยากที่จะมีอกุศลน้อย ก็ต้องอบรมเจริญกุศล ทุกประการโดยไม่ประมาท

ถ้าเป็นผู้ที่เกรงกลัวในอบายภูมิ การเกิดในนรก หรือเกิดเป็นเปรต เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน เป็นอสุรกาย ก็ต้องเป็นผู้ที่ไม่ประมาทในการเจริญกุศล โดยเฉพาะในการอบรมเจริญปัญญา เพราะว่าพระอริยบุคคลเท่านั้นที่จะไม่เกิดในอบายภูมิ แต่ถ้ายังไม่เป็นพระอริยบุคคล อกุศลกรรมที่มีที่ได้กระทำแล้ว ไม่ใช่แต่เฉพาะในชาตินี้ จะเป็นในชาติไหนๆ ก็ได้ ในอดีตแสนโกฏิกัปป์ชาตินั้น ก็ยังทำให้เกิดในทุคติภูมิได้

สำหรับเรื่องการที่จะทำอย่างไรก่อนตาย ไม่มีใครทำได้จริงๆ เหมือนในขณะนี้ ถ้าทำได้ก่อนตาย จะรอทำไมก่อนตาย ทำเดี๋ยวนี้เลย ให้จิตเป็นกุศลเดี๋ยวนี้ ให้ปัญญาเกิดเดี๋ยวนี้ แทนที่จะต้องรอไปทำก่อนตาย

. คำว่าสิ่งที่ปรากฏทางตานั้น หมายความถึงแสงสว่างด้วยได้ไหม เช่น แสงไฟที่เกิดจากเครื่องอ๊อก เวลาเชื่อมเหล็ก

สุ. ในพระไตรปิฎกและอรรถกถาได้กล่าวถึงสิ่งที่ปรากฏทางตา ลักษณะมากมายต่างๆ แต่เมื่อสรุปแล้ว คือ ทุกอย่างที่ปรากฏทางตาเท่านั้น

. เพราะฉะนั้น จะเป็นแสงที่เกิดจากการอ๊อก ก็ปรากฏทางตาได้

สุ. คือ สิ่งที่คนตาบอดไม่เห็น

. กุศลที่เป็นไปในทานที่ประกอบด้วยปัญญา ขอให้ยกตัวอย่าง

สุ. ขอเชิญคุณทรงเกียรติ

พ.อ.ธงชัย ผมขอเชิญคุณทรงเกียรติผู้ซึ่งศึกษาธรรม และฟังอาจารย์มานานแล้ว เป็นผู้ค้นคว้า และขณะนี้เป็นผู้บรรยายพระอภิธรรมอยู่ที่วัดพระเชตุพน

ทรงเกียรติ กราบนมัสการพระคุณเจ้า และพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ก่อนอื่นผมขอขอบพระคุณ พ.อ.ธงชัย ที่ยกย่องผมจนกระทั่งตัวลอย ที่จริงผมบรรยายไปตามฐานะที่รู้บ้าง

ขณะที่ให้ทานที่ประกอบด้วยปัญญา คือ ขณะที่ให้ทานนั้น รู้สภาพธรรม ตามความเป็นจริงด้วย ขณะที่ให้ทาน สภาพธรรมทั้งหลาย มือที่เคลื่อนไปก็มีความตึง ความอ่อน ความแข็งของวัตถุที่ถูกต้อง เป็นสภาพธรรมที่เป็นจริง ถ้าสติเกิดขึ้นสามารถรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงในขณะนั้น จิตในขณะที่ให้ทานนั้นชื่อว่า เป็นกุศลประกอบด้วยปัญญา คำว่า ปัญญาในพระพุทธศาสนาไม่เหมือนกับปัญญาที่เราเข้าใจ ปัญญาที่เราเข้าใจในสมัยนี้ คือ ผู้ที่สามารถสร้างคอมพิวเตอร์หรือจรวด พวกเราทั้งหลายเข้าใจว่าเป็นปัญญา แต่ทางพระพุทธศาสนาไม่ถือว่าเป็นปัญญา ถือว่าเป็นศิลปะ

ปัญญาในพระพุทธศาสนา หมายความว่า รู้ความจริง ถ้าความจริงปรากฏและสามารถรู้ได้ ชื่อว่าปัญญา เพราะฉะนั้น ในขณะที่ให้ทานและมีปัญญารู้ สภาพธรรมตามความเป็นจริง ขณะนั้นก็ชื่อว่า ให้ทานประกอบด้วยปัญญา

เปิด  210
ปรับปรุง  2 มิ.ย. 2565