แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1273
ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษา มหามกุฏราชวิทยาลัย
วันอาทิตย์ที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๒๖
สุ. วิบากทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยกรรมเป็นกัมมปัจจัย ถ้าไม่มีกรรม วิบากย่อมเกิดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นจักขุวิญญาณกุศลวิบาก หรือโสตวิญญาณกุศลวิบาก ฆานวิญญาณกุศลวิบาก ชิวหาวิญญาณกุศลวิบาก กายวิญญาณกุศลวิบาก สัมปฏิจฉันนกุศลวิบาก สันตีรณกุศลวิบาก หรือตทาลัมพนกุศลวิบากก็ตาม ต้องเกิดขึ้นเพราะกรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นปัจจัย
เวลาที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นทำให้บุคคลต่างกันไป จิตที่ทำกิจปฏิสนธิบางประเภทมีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย บางประเภทไม่มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย แสดงให้เห็นถึงกรรมที่ต่างกันว่า ถ้ากรรมใดไม่ประกอบด้วยปัญญาเจตสิก จะให้ผลทำให้วิบากที่เกิดร่วมกับปัญญาเจตสิกเกิดไม่ได้เลย แต่ถ้าเป็นกรรมที่ประกอบด้วยปัญญาเจตสิก จะให้ผลเป็นวิบากที่ไม่ประกอบด้วยปัญญาเจตสิกได้ไหม ลองคิดดู กรรมที่เป็นไปเกี่ยวเนื่องประกอบกับปัญญา จะทำให้เกิดวิบากที่ไม่ประกอบด้วยปัญญาได้ไหม
เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องที่จะต้องอ่านมาก ฟังมาก ศึกษามาก พิจารณามาก ใคร่ครวญมากเพื่อที่จะได้ไม่ลืมว่า ได้ อย่าลืม กรรมที่ประกอบด้วยปัญญาเป็นปัจจัยทำให้เกิดวิบากที่ประกอบด้วยปัญญาได้ นี่ตอนหนึ่ง และกรรมที่ประกอบด้วยปัญญา เกี่ยวเนื่องกับปัญญา ทำให้เกิดวิบากซึ่งไม่ประกอบด้วยปัญญาได้ด้วย
มหากุศลมีทั้งหมด ๘ ดวง ทำให้เกิดกุศลวิบาก ๑๖ ดวง เป็นกุศลวิบากที่ประกอบด้วยปัญญากี่ดวง ไม่ประกอบกับปัญญากี่ดวง เพราะฉะนั้น คำตอบคือ ได้
นี่คือการที่จะต้องศึกษาจริงๆ พิจารณาจริงๆ เป็นเรื่องของกรรมนั่นเอง แต่เป็นเรื่องที่ละเอียด เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหมดที่ได้ทรงแสดงไว้จะต้องพิจารณา ใคร่ครวญ ไตร่ตรอง จนเป็นความเข้าใจในเหตุในผลจริงๆ
เมื่อเป็นกุศลที่เกี่ยวเนื่องเป็นไปกับปัญญา ก็ทำให้เกิดวิบากที่เป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาได้ นี่ไม่ผิด แต่ก็ทำให้เกิดกุศลวิบากที่ไม่ประกอบกับปัญญาด้วยได้ เพราะมหากุศลมี ๘ ดวง ประกอบด้วยปัญญา ๔ ดวง ซึ่งในมหากุศลที่ประกอบด้วยปัญญา ๔ ดวงนั้น ทำให้เกิดมหาวิบากได้ และทำให้เกิดกุศลวิบากที่ไม่ประกอบด้วยปัญญาได้
ถ้าเป็นไปไม่ได้จะทรงแสดงไว้ไหมว่า ผลของมหากุศล ๘ ดวง ทำให้เกิด กุศลวิบาก ๑๖ ดวง เป็นมหาวิบาก ๘ ดวง เป็นอเหตุกกุศลวิบาก ๘ ดวง
ท่านผู้ฟังซึ่งเริ่มสนใจพระธรรม ก็เปิดวิทยุฟัง และก็บอกว่าไม่เข้าใจ มีไหม เป็นมหากุศลหรือเปล่าที่ฟัง เรื่องของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ที่ฟังเป็นมหากุศลหรือเปล่า ถามถึงขณะที่ฟัง ไม่ได้ถามถึงขณะที่กำลังฟังและเผลอสติ แต่ขณะที่กำลังฟังเป็นกุศลหรือเปล่า ถ้าไม่เป็นจะฟังไหม ก็ย่อมไม่ฟัง แต่เมื่อฟังแล้วไม่เข้าใจ บอกเลยว่าฟังหลายครั้งก็ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นจะประกอบด้วยปัญญาไหม ก็ยังไม่ประกอบ แต่เมื่อมีการฟังและเข้าใจบ้าง ยังไม่ใช่การชัดเจนจริงๆ ปัญญายังอ่อนหรือคมในขณะที่ฟังและเข้าใจบ้าง เพิ่งจะเข้าใจเงาๆ นิดๆ หน่อยๆ หลังจากที่บางท่านอาจจะฟังมาเป็นเวลานานทีเดียว
เพราะฉะนั้น ถ้ากุศลนั้นให้ผล จะทำให้เกิดพร้อมกับปัญญาเจตสิกไหม นิดเดียวเท่านั้นเอง เพิ่งจะเริ่ม ยังไม่ได้เข้าใจอะไรมากมาย เช่น ได้ฟังว่านามธรรม เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้ ซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นเดือนเป็นปี ก็พูดตามคิดตามว่า นามธรรมเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้ นั่นเป็นลักษณะของปัญญาที่พร้อมจะให้ผลเกิดขึ้นประกอบด้วยปัญญาหรือเปล่า
ลองพิจารณาดู เพียงฟัง และน้อมไปนิดหนึ่งว่า นามธรรมเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้ จะสามารถเป็นปัจจัยทำให้มหาวิบากเกิดพร้อมกับ ปัญญาเจตสิกได้ไหม เพียงเท่านี้เองที่พูดตามหลังจากที่ได้ยินได้ฟังบ่อยๆ ว่า นามธรรมเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้ พูดได้ แต่รู้อย่างนั้นหรือเปล่า
ระดับขั้นของปัญญา จะเห็นได้ว่ามีหลายระดับขั้นจริงๆ ตั้งแต่เริ่มฟัง เป็นมหากุศลจริง แต่ยังไม่ใช่ญาณสัมปยุตต์ เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นสักนิดสักหน่อย แต่ยังคงเป็นนามธรรมเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้ โดยที่ยังไม่ได้ประจักษ์ในลักษณะของสภาพรู้ ธาตุรู้ อาการรู้ จะเป็นปัจจัยถึงกับทำให้มหาวิบากเกิดพร้อมกับปัญญาเจตสิกได้ไหม
เพราะฉะนั้น มหากุศลญาณสัมปยุตต์เป็นปัจจัยให้มหาวิบากญาณสัมปยุตต์เกิดได้ และเป็นปัจจัยให้กุศลวิบากที่ไม่เกิดร่วมกับปัญญาเจตสิกเกิดด้วยได้
นี่คือชีวิตประจำวัน กรรมที่แต่ละท่านกำลังทำอยู่ ซึ่งไม่ควรคิดถึงกรรมที่จะทำ แต่โดยมากท่านผู้ฟังคิดถึงกรรมที่จะทำ ปีนี้จะทำกุศลกรรมอะไร อาจจะคิดไว้ เตรียมไว้ว่า จะทำกุศลกรรมอะไรบ้าง เดือนหน้าจะถวายทาน อาทิตย์หน้าอาจจะถวายทาน หรืออะไรอย่างนั้น แต่กำลังทำกรรมอะไรเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ควรที่จะได้พิจารณากรรมที่กำลังกระทำว่าเป็นกุศลหรืออกุศล แทนที่จะพิจารณากรรมที่จะกระทำ
ขณะนี้เป็นกุศลกรรมหรือเปล่า
เดี๋ยวนี้ ธรรม คือ ขณะนี้เองที่จะต้องพิจารณา เรื่องของจิตทั้งหมด เรื่องของเจตสิกทั้งหมด เรื่องของรูปทั้งหมด เรื่องของธรรมทั้งหมดที่ทรงแสดงไม่พ้นจาก ในขณะนี้เอง เพียงเพื่อที่จะเกื้อกูลให้ท่านผู้ฟังเป็นผู้ที่ละเอียด ที่สติจะระลึกและเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ได้ศึกษาว่าตรงตามความเป็นจริงหรือไม่ เพื่อให้ปัญญาเจริญขึ้นจริงๆ เพื่อที่จะเกื้อกูลให้สติระลึกจนกว่าจะเป็นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานบ้าง เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานบ้าง กายานุปัสสนาสติปัฏฐานบ้าง ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานบ้าง โดยอาศัยความเข้าใจพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงลักษณะสภาพของแต่ละขณะจิต ซึ่งกำลังเกิดกับทุกท่านตามปกติ ตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น ในขณะนี้เป็นกุศลหรือเปล่า เป็นญาณสัมปยุตต์หรือเปล่า เดี๋ยวนี้เอง ถ้าสติเกิด เป็นมหากุศล ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ พิสูจน์อีก ว่าปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏหรือยัง
ถ. มหากุศลญาณสัมปยุตต์ให้ผลเป็นมหาวิบากที่เป็นญาณสัมปยุตต์ได้ และให้ผลเป็นญาณวิปปยุตต์ก็ได้ หมายความว่าอย่างไร ไม่ประกอบด้วยปัญญาหรือ
สุ. หรือให้ผลเป็นอเหตุกะก็ได้ เพราะมหากุศล ๘ ดวง ให้ผลเป็น กุศลวิบาก ๑๖ ดวง
ถ. ผมยังไม่เข้าใจ เพราะอะไรมหากุศลที่สำเร็จด้วยญาณสัมปยุตต์แล้วให้ผลเป็นญาณวิปปยุตต์
สุ. ขณะที่กำลังฟังธรรมในขณะนี้ ขณะที่เพียงฟังและไม่เข้าใจ ก็เป็น มหากุศล เมื่อไม่เข้าใจจะเป็นญาณสัมปยุตต์ได้ไหม ไม่ได้ และเมื่อฟังแล้วก็เริ่มเข้าใจบ้างเล็กน้อย นิดหน่อย อย่างเช่น นามธรรมเป็นสภาพรู้ มีใครบ้างที่ฟังประโยคนี้แล้วไม่เข้าใจ นามธรรมเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เมื่อเป็นธาตุรู้ก็หมายความว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นแต่เพียงธาตุ คือ สภาวธรรมอย่างหนึ่งเป็นอาการรู้ แสดงว่าไม่มีรูปร่าง ไม่มีสี ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น เป็นแต่เพียงอาการรู้เท่านั้นเอง นี่เข้าใจแล้ว แต่เป็นญาณสัมปยุตต์หรือยัง หรือว่าเพียงเงาๆ ที่จะรู้ว่า นี่คือลักษณะของนามธรรม
ขณะที่กำลังเห็น ในพระไตรปิฎกพระผู้มีพระภาคจะทรงแสดงว่า จักขุวิญญาณเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ฟังก็เข้าใจใช่ไหมว่าไม่ใช่ตัวตน เพราะต้องเป็นจิต ไม่ใช่รูปที่กำลังเห็น แต่ในขณะที่เห็นเดี๋ยวนี้ จักขุวิญญาณเห็น ไม่ใช่ตัวตน ลักษณะของธาตุรู้ที่เป็นจักขุวิญญาณคืออย่างไร ไม่ใช่ชื่อจักขุวิญญาณ แต่เป็นลักษณะ เป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้ ปัญญาสามารถรู้อย่างนี้หรือยัง หรือว่าเริ่มเข้าใจบ้างเล็กน้อย
ถ. ถ้าเริ่มเข้าใจเล็กน้อย ก็เป็นอเหตุกะ
สุ. สภาพของจิตต้องเป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์อย่างต่ำที่สุด น้อยที่สุด จึงสามารถให้ผลเป็นมหาวิบากญาณวิปปยุตต์ได้ เพราะเหตุใด ฟังแล้ว ไม่ฟังอีกเลย ๓๐ ปี ลืมไหม นามธรรมเป็นอย่างไรที่เคยได้ยินได้ฟังไว้ ที่ค่อยๆ น้อมไปทีละน้อย ถ้า ๓๐ ปีนั้นไม่ได้ฟังเลย เผอิญไปอยู่ที่อื่น หมดโอกาสที่จะได้ยินได้ฟังด้วยประการ ใดๆ ก็ตาม จะเหมือนกับการที่ได้ฟังอีกบ่อยๆ เนืองๆ พิจารณาอีกบ่อยๆ เนืองๆ ใกล้ชิดต่อลักษณะของสภาพที่เป็นธาตุรู้เพิ่มขึ้น แม้ว่าจะเป็นเพียงวันละเล็กละน้อย แต่ปัญญาสามารถค่อยๆ รู้ขึ้น มากกว่าที่จะห่างเหินไปเลย
เพราะฉะนั้น การฟังที่เป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์เพียงครั้งแรกนั้นหรือที่จะให้ผลเป็นมหาวิบากญาณสัมปยุตต์ ในเมื่อมีกำลังอ่อน เกือบจะเรียกได้ว่า ละลายหายไปเลยถ้าไม่มีการฟังอีกบ่อยๆ หรือไม่มีการที่จะน้อมพิจารณาอีกเนืองๆ เป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์ที่ไม่มีกำลังเลย จึงให้ผลเป็นมหาวิบากญาณวิปปยุตต์
แต่ถ้าผู้ใดอบรมเจริญปัญญาประจักษ์แจ้งลักษณะสภาพของนามธรรมและรูปธรรม แม้ยังไม่ถึงความเป็นพระโสดาบันบุคคล ปัญญาที่สามารถประจักษ์แจ้งลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมได้ ย่อมให้ผลเป็นมหาวิบากญาณสัมปยุตต์ เพราะปัญญาต่างขั้นกันเหลือเกิน กับการที่เพียงเริ่มจะเข้าใจในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม
ถ. หมายความว่า มหากุศลญาณสัมปยุตต์เกิดขึ้นในขณะที่เรากำลังฟังธรรมและเริ่มเข้าใจอย่างเงาๆ เป็นผลให้เกิดมหาวิบากญาณวิปปยุตต์ได้ หรือเป็นอเหตุกจิต
สุ. แน่นอน สำหรับมหากุศลญาณสัมปยุตต์ย่อมให้ผลทำให้ปฏิสนธิด้วยมหาวิบากญาณสัมปยุตต์ก็ได้ หรือมหาวิบากญาณวิปปยุตต์ก็ได้ แล้วแต่กำลังของปัญญา
ถ้ามหากุศลญาณวิปปยุตต์ให้ผล ก็ทำให้ปฏิสนธิในภูมิที่เป็นมนุษย์หรือเทวดาได้ แต่จิตที่ทำกิจปฏิสนธิเป็นมหาวิบากญาณวิปปยุตต์ หรือเป็นอเหตุกกุศลวิบากก็ได้
การเกิดในภูมิมนุษย์ แต่พิการตั้งแต่กำเนิด ยังเป็นผลของกุศล คือ ไม่ทำให้เกิดในอบายภูมิ ไม่ทำให้เกิดในนรก ไม่ทำให้เกิดเป็นเปรต ไม่ทำให้เกิดเป็นอสุรกาย ไม่ทำให้เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน เป็นผลของกุศลที่ทำให้เกิดเป็นมนุษย์แม้ว่าจะพิการตั้งแต่กำเนิด ก็ยังเป็นผลของกุศล แต่ว่าเป็นผลของกุศลที่อ่อนมาก
เพราะฉะนั้น มหากุศลญาณวิปปยุตต์ ให้ผลเป็นมหาวิบากญาณวิปปยุตต์ปฏิสนธิได้ หรือให้ผลเป็นกุศลวิบากสันตีรณปฏิสนธิก็ได้
ในชีวิตประจำวันจริงๆ ทุกท่านเป็นผู้ที่รู้จักตัวท่านมากกว่าบุคคลอื่น เพราะฉะนั้น ย่อมทราบเหตุของการที่จะให้เกิดข้างหน้า ซึ่งไม่มีบุคคลอื่นสามารถที่จะทำให้ได้นอกจากตัวของท่านเองว่า มหากุศลญาณสัมปยุตต์มีบ่อยๆ เนืองๆ มากขึ้นพอที่จะให้ผลทำให้ปฏิสนธิพร้อมด้วยปัญญาเป็นมหาวิบากญาณสัมปยุตต์ หรือว่าจะให้ผลอย่างอื่น ซึ่งกุศลแต่ละอย่างก็ให้ผลต่างกันไปตามกำลัง หรือตามประเภทของกุศลนั้นๆ
ถ. ขณะที่กำลังฟังท่านบรรยายอยู่นี่ ก็เป็นมหากุศลใช่ไหม
สุ. ใครรู้ แต่ละบุคคลย่อมรู้ เพราะสติสัมปชัญญะเกิดขึ้นระลึกได้
ถ. ขณะที่กำลังฟังอยู่ และมีความตั้งใจฟัง แต่ว่าปัญญายังไม่เกิด ก็เป็นญาณวิปปยุตต์ใช่ไหม
สุ. แน่นอน ขณะนี้ที่ทุกท่านกำลังฟังธรรม เป็นมหากุศล เป็นปัจจัยให้เกิดมหาวิบาก ถ้าจุติจิตเกิดและดับไป และกุศลนี้ให้ผล ก็ต้องแล้วแต่ว่า กุศลวันนี้ ขณะฟังธรรมวันนี้ เป็นมหากุศลญาณวิปปยุตต์ หรือญาณสัมปยุตต์ ซึ่งจะทำให้ปฏิสนธิจิตต่างกัน เป็นปฏิสนธิจิตที่ประกอบด้วยปัญญา หรือไม่ประกอบด้วยปัญญา
ถ. ถ้าไม่เข้าใจ แต่ก็เป็นปัจจัยต่อไปได้ ใช่ไหม
สุ. ก็จะต้องอบรมเจริญไปเรื่อยๆ ถ้ามีการฟังเพิ่มขึ้นๆ และรู้จุดประสงค์ของการฟังว่า เพื่อให้ปัญญารู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่ใช่เพื่อเหตุอื่น สักประการเดียว ทั้งการฟังธรรม การแสดงธรรม และกุศลทุกประการ เพื่อให้ปัญญาเจริญขึ้น เกื้อกูลเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้สามารถพิจารณาละการยึดถือสภาพธรรมที่ปรากฏว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้
เวลาสวดมนต์ เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ก็สลับกัน ตามความเป็นจริงทุกอย่าง ถ้าเวลาที่สวดเฉยๆ ไม่ได้ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เป็นกุศลได้ไหม เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณา สวดเฉยๆ โดยที่ไม่ได้ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เป็นกุศลได้ไหม อย่าลืม สวด ไม่ใช่เพียงพูดหรือท่อง ตามๆ ไป ขณะที่สวดมนต์ ซึ่งทุกท่านที่เป็นพุทธศาสนิกชนก็สวดมนต์ก่อนนอน บางท่านทั้งตื่นขึ้นมาด้วย ทั้งเช้า ทั้งค่ำ ชีวิตปกติตามความเป็นจริง ในขณะที่กำลังสวดมนต์เป็นกุศลหรือเปล่า ในขณะที่สวดมนต์ถ้าไม่ได้ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เป็นกุศลหรือเปล่า เป็นมหากุศลได้ไหม
เป็น ถ้าไม่เป็นจะสวดไหม ขณะที่เผลอก็รู้ว่าขณะนั้นเป็นอกุศล ขณะที่ไม่เผลอแต่สวด มีศรัทธาไหมในขณะสวด ศรัทธาเป็นโสภณเจตสิกแม้ไม่เกิดกับปัญญา เพราะว่าศรัทธาไม่ใช่ปัญญา เป็นเจตสิกแต่ละประเภทต่างชนิดกัน ลักษณะต่างกัน กิจต่างกัน
เพราะฉะนั้น เมื่อมีศรัทธาจึงสวด ซึ่งสามารถรู้ได้ในการสวดมนต์แต่ละครั้งว่าศรัทธามากหรือน้อย ประกอบด้วยปัญญาหรือไม่ประกอบด้วยปัญญา นี่คือความวิจิตรของจิตซึ่งเป็นกรรมในชีวิตประจำวัน ที่สะสมไปเรื่อยๆ การเกิดดับสืบต่อของจิตเป็นไปอย่างรวดเร็ว การเกิดดับสะสมของกรรมก็เป็นไปอย่างรวดเร็วในแต่ละวัน ในแต่ละภพ ในแต่ละชาติ เพราะฉะนั้น แต่ละคนจะไม่ซ้ำกันเลย เพราะแม้แต่ความคิดก็วิจิตรต่างๆ กัน แม้ว่าจะเห็นสิ่งเดียวกัน ได้ยินอย่างเดียวกัน เพราะฉะนั้น ก็ทำให้กรรมต่างกันออกไป
และบางกรรมก็เป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม คือ ให้ผลในปัจจุบันชาติ ในชาติที่ทำกรรมนั้นเอง แต่ไม่มีใครสามารถจะพยากรณ์ได้ว่า ในขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เป็นผลของกุศลในชาตินี้เองที่ได้ทำเมื่อขณะนั้น วันนั้น