แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1276
ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษา มหามกุฏราชวิทยาลัย
วันอาทิตย์ที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๒๖
ถ. ชวนะดวงที่ ๒ ถึง ๖ จำเป็นต้องให้ผลเรียงตามลำดับไหม
สุ. ถ้าจะกล่าวว่า ๒ ถึง ๖ เท่านั้น พอไหม
ถ. ไม่พอ
สุ. ไม่พอ ค้นคว้าหาเองได้ไหมว่า ขณะนี้เป็นผลของชวนะไหน ก็ไม่ได้ เมื่อไม่ได้ก็ไม่ได้ ดีกว่าพยายามที่จะคิดหรือพยายามหา ในเมื่อสิ่งที่กำลังปรากฏ ทางตาในขณะนี้น่าศึกษามากกว่าที่จะคิดเรื่องอย่างนั้น
ถ. ขณะที่เหนื่อย ต้องเป็นทุกขกายวิญญาณ แต่โทสมูลจิตไม่จำเป็นต้อง เกิดในชวนะนั้น อย่างเวลาที่ผมเล่นกีฬาเหนื่อยๆ ก็สบายใจ ขณะนั้นเหนื่อยก็มี และจำเป็นต้องเป็นโทมนัสเวทนาด้วยหรือ
สุ. เวลาที่ร่างกายเจ็บป่วย ขณะนั้นความไม่สบายกายเป็นของที่มีจริง แต่จิตใจอาจจะไม่เดือดร้อนก็ได้ เพราะฉะนั้น แยกกันระหว่างกายกับใจ นี่เป็นเหตุที่เวทนามี ๕ โดยแยกเป็น สุขเวทนาทางกาย ๑ และโสมนัสเวทนาทางใจ ๑
ถ. ผมสนทนาธรรมกับเพื่อนที่เพิ่งเริ่มศึกษาธรรม เล่าเรื่องกรรมให้เขาฟังว่า การให้ผลของกรรมมี ตอนแรกเกริ่นก่อนว่า เห็นเป็นผลของกรรม เห็นสิ่งที่ดีเป็นวิบาก เป็นผลของกรรมที่ดีที่ทำมาแล้วในอดีต อาจจะเป็นชาตินี้หรือชาติที่แล้ว ถ้าไม่มีกรรมดีเลย ไม่มีโอกาสที่จะเห็นสิ่งที่ดี ได้ยินเสียงที่ดี เขาก็บอกว่า ก็ไม่ต้องทำการงานอะไรทั้งสิ้น รอกรรมที่ดี ทำบุญมากๆ ไม่ดีกว่าหรือ
ผมบอกว่า โอกาสที่กรรมจะให้ผลต้องประกอบด้วย ๔ อย่าง คือ คติสมบัติ หรือคติวิบัติ กาลสมบัติหรือกาลวิบัติ อุปธิสมบัติหรืออุปธิวิบัติ และปโยคสมบัติหรือ ปโยควิบัติ การที่เราขยันทำงานก็เป็นปัจจัยให้กุศลกรรมที่ทำไว้แล้วมีโอกาสให้ผลมากกว่าการที่เรางอมืองอเท้าไม่ทำงาน และในอดีตวัฏฏะเบื้องต้นและเบื้องปลาย ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น กุศลกรรมในอดีตที่นับไม่ถ้วนก็ย่อมต้องมี ถ้าเราขยัน โอกาสที่กุศลกรรมจะให้ผลก็มี ไม่ทราบว่าถูกหรือเปล่า
สุ. ถูกต้อง ซึ่งต่อไปก็จะเป็นเรื่องของกัมมสมาทานฝ่ายบาปอกุศล ๘ และฝ่ายกุศล ๘ โดยนัยนี้ที่ว่า กรรมบางอย่างที่เป็นอกุศลที่ยังไม่ให้ผล เพราะคติสมบัติห้ามไว้ อุปธิสมบัติห้ามไว้ กาลสมบัติห้ามไว้ ปโยคสมบัติห้ามไว้
ในคราวก่อนได้กล่าวถึงเรื่องของกรรม ๑๑ โดยนัยของพระสุตตันตปิฎก ตามข้อความใน มโนรถปูรณี อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ปฐมปัณณาสก์ วรรคที่ ๔ นิทานสูตร ซึ่งได้แสดงกรรม ๑๑ คือ แสดงโดยกาลของการให้ผล ๓ ได้แก่ ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในปัจจุบันชาติ ๑ อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในชาติต่อไป ๑ และ อปรปริยายเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในชาติ ต่อๆ ไปตราบใดที่สังสารวัฏฏ์ยังไม่สิ้น ๑
ซึ่งข้อความเรื่องของกรรมอื่น จะไม่ใช่กรรม ๑๑ แต่เป็นกรรม ๑๒ โดยกล่าวถึงอีกกรรมหนึ่ง คือ อโหสิกรรม ซึ่งข้อความใน มโนรถปูรณี โดยปริยายแห่งปฏิสัมภิทามรรค ท่านพระสารีบุตรจำแนกกรรมแม้อย่างอื่นไว้ ๑๒ ประการ ข้อความมีว่า
๑. อโหสิ กมฺมํ อโหสิ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมได้มีแล้ว
เป็นเรื่องที่ทุกท่านจะพิจารณาชีวิตของท่านอย่างละเอียดว่า ที่ยังต้องมีการเกิด และยังไม่จุติ ยังมีการเห็น การได้ยิน มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นในชีวิตอยู่ทุกขณะ แต่ละขณะล่วงไปๆ โดยขณะๆ เรื่อยๆ ก็เพราะมีกรรมนั่นเองเป็นปัจจัยอยู่ และในสังสารวัฏฏ์ที่ยาวนาน แม้พระผู้มีพระภาคเองในคืนที่จะทรงตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงระลึกชาติสักเพียงใดตลอดปฐมยามก็ไม่สามารถจบสิ้นได้ แสดงให้เห็นว่า สังสารวัฏฏ์ที่ผ่านมาแล้วยาวนานมาก และในชาตินี้ก็จะเป็นชาติหนึ่งซึ่งใกล้จะจบสิ้นส่วนหนึ่งของสังสารวัฏฏ์ และยังจะต้องมีการเกิดอีก เพราะมีกรรมที่ยังไม่ได้ให้ผลอีกมากซึ่งทำให้สังสารวัฏฏ์ยืดยาวต่อไปอีกนับไม่ถ้วน ตราบใดที่ยังไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรม ยังไม่ใช่พระโสดาบัน การเกิดต้องมีอีกมากมาย
เมื่อใดเป็นพระโสดาบันบุคคล เมื่อนั้นการเกิดจะมีอีกเพียงอย่างมากที่สุด ๗ ชาติ เพราะฉะนั้น ควรจะทราบความสลับซับซ้อน ความมากมายของกรรม ในสังสารวัฏฏ์ที่ยังติดตามให้ผลแม้ในปัจจุบันชาตินี้ได้ โดยที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่า แต่ละเหตุการณ์ที่เกิดกับท่านไม่ว่าจะเป็นฝ่ายกุศลวิบากหรืออกุศลวิบาก เป็นผลของกรรมใดในชาติใด
แม้ในชาตินี้เอง แต่ละท่านต่างก็ทำกรรมไม่น้อยเลย ทั้งที่เป็นกุศลกรรมและอกุศลกรรม เฉพาะในชาตินี้ชาติเดียว เมื่อรวมในชาติก่อนๆ ย้อนไปๆ จะเห็นได้ว่ากรรมยังมีอีกมากมายที่จะทำให้สังสารวัฏฏ์ยาวนานต่อไป
เพราะฉะนั้น อโหสิ กมฺมํ อโหสิ กมฺมวิปาโก ได้แก่ กรรมได้มีแล้ว คือ ได้กระทำแล้ว ผลของกรรมได้มีแล้ว หมายความว่า กรรมในสังสารวัฏฏ์ที่ทำแล้วให้ผลไปแล้วก็มี ไม่ใช่ว่าไม่ได้ให้ผลเลย
ในสังสารวัฏฏ์ที่ยาวนาน กรรมที่ได้กระทำแล้วจริง และผลของกรรมก็มีแล้วด้วย หมดไปแล้วกรรมนั้นอย่างหนึ่ง คือ เป็นอโหสิกรรม เพราะกรรมได้มีแล้วและผลของกรรมได้มีแล้วด้วย
๒. อโหสิ กมฺมํ นาโหสิ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมไม่ได้ มีแล้ว
หมายความว่า กรรมได้กระทำแล้วจริง แต่ยังไม่ได้ให้ผลในอดีต คือ กรรมในอดีตได้กระทำไปแล้ว ผลของกรรมนั้นยังไม่ได้ให้ผลในอดีต แต่คอยโอกาสที่จะให้ผลในชาตินี้หรือในชาติต่อๆ ไป เพราะฉะนั้น กรรมที่มีแล้วนั้นเป็น อโหสิ กมฺมํ นาโหสิ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมไม่ได้มีแล้ว คือ กรรมในอดีตไม่ได้ให้ผล ในอดีต ต่างกับประเภทที่ ๑ ที่ว่ากรรมในอดีตให้ผลแล้วในอดีต
ใครตามระลึกผลของกรรมในอดีตชาติก่อนๆ ได้บ้าง ก็ไม่ทราบว่าเกิดมา เป็นใคร ได้รับผลของกรรมอะไร เพราะฉะนั้น ไม่สามารถล่วงรู้ไปถึงกรรมซึ่งได้ทำแล้วระลึกถึงชาติก่อนๆ ไม่ได้ก็จริง แต่ให้ทราบลักษณะของกรรมที่ได้กระทำแล้ว ที่เป็นอโหสิกรรม
๓. อโหสิ กมฺมํ อตฺถิ กมฺมวิปาโก คือ กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมมีอยู่
คือ กรรมในอดีตให้ผลในปัจจุบัน โดยที่ไม่ทราบอีกเหมือนกันว่า ขณะนี้ที่เป็นผลในปัจจุบันเป็นผลของกรรมใดในอดีต แต่ให้ทราบว่า กรรมนั้นได้กระทำแล้วในอดีต ผลของกรรมนั้นจึงมีอยู่ คือ ในปัจจุบันชาตินี้
ท่านที่กำลังสุขสบาย เป็นผลของกรรมในอดีต ท่านที่กำลังทุกข์ยากลำบาก เดือดร้อน ก็เป็นผลของกรรมในอดีต โดย อโหสิ กมฺมํ อตฺถิ กมฺมวิปาโก คือ กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมมีอยู่
๔. อโหสิ กมฺมํ นตฺถิ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมไม่มีอยู่
เป็นเรื่องความละเอียดของกรรมจริงๆ ที่แสดงว่า กรรมได้มีแล้ว หมายถึงกรรมในอดีตได้กระทำแล้ว แต่ไม่ได้ให้ผลในปัจจุบันชาติ
กรรมในอดีตมากมายในสังสารวัฏฏ์ มีแล้ว คือ อโหสิ กฺมมํ กรรมได้มีแล้ว นตฺถิ กมฺมวิปาโก ผลของกรรมไม่มีอยู่ คือ ไม่ได้ให้ผลในปัจจุบันชาติ แต่ชาติหน้าอาจจะให้ผลก็ได้
กรรมที่ได้กระทำแล้วๆ ในสังสารวัฏฏ์ ไม่ได้ให้ผลในปัจจุบันชาติ แต่อาจจะให้ผลในชาติต่อไปได้ เพราะฉะนั้น กรรมนั้นๆ ที่ได้กระทำแล้วในอดีต แต่ไม่ได้ให้ผลในปัจจุบันชาตินี้ เป็น อโหสิ กมฺมํ นตฺถิ กฺมมวิปาโก คือ กรรมได้มีแล้ว แต่ผลของกรรมไม่มีอยู่ คือ ไม่มีอยู่ในปัจจุบันชาติ แต่จะมีอยู่ในชาติต่อๆ ไปได้
๕. อโหสิ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมจักมี
ประมาทไม่ได้เลย คือ กรรมในอดีตจักให้ผลในอนาคต เพราะฉะนั้น ทุกท่านที่เกิดเป็นมนุษย์ในปัจจุบันชาติ และเข้าใจว่าท่านทำบาปน้อย ทำบุญมาก คิดว่า คงจะไม่มีโอกาสเกิดในอบายภูมิ แต่อย่าลืม อโหสิ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมจักมี คือ กรรมที่ได้กระทำแล้ว แม้ไม่ได้ให้ผลใน ปัจจุบันชาติ แต่จะให้ผลในอนาคต เป็นไปได้ไหม
ถ้าจุติจิตเกิด ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้วันหนึ่งวันใด อาจจะเป็นวันนี้ พรุ่งนี้ หรือวันหนึ่งวันใดก็ได้ และก็เกิดในอบายภูมิ จะทราบได้ไหมว่าเป็นผลของกรรมใด อาจจะเป็น อโหสิ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมจักมี คือ กรรมนั้นแหละซึ่งไม่ได้ให้ผลทำให้เกิดในอบายภูมิในชาตินี้ แต่จักมี คือ จะให้ผล โดยการเกิดในอบายภูมิในอนาคต คือ ในชาติต่อไปได้
๖. อโหสิ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมจักไม่มี
หมายความว่า กรรมในอดีตจะไม่ให้ผลในอนาคต เช่น ท่านพระองคุลีมาลที่ท่านได้กระทำกรรมไปแล้ว แต่กรรมนั้นจะไม่ให้ผลในอนาคต ก็เป็น อโหสิ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก
กรรมที่ได้กระทำแล้วมีมากมายในสังสารวัฏฏ์ ให้ผลแล้วในอดีตก็มี ให้ผลในชาตินี้คือปัจจุบันชาตินี้ก็มี และที่ยังไม่ให้ผลแต่จะให้ผลในชาติอนาคตก็มี หรือว่ากรรมที่ได้ทำแล้วนั่นเอง จักไม่ให้ผลในอนาคตก็มี แล้วแต่ปัจจัยที่ประกอบอีกหลายปัจจัยที่กรรมแต่ละกรรมจะเกิดขึ้นให้ผลได้ โดยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของ ใครทั้งสิ้น
นี่คือ โดยปริยายแห่งปฏิสัมภิทามรรค ท่านพระสารีบุตรจำแนกกรรมแม้อย่างอื่นไว้ ๑๒ ประการ เป็นเรื่องของอโหสิกรรม คือ กรรมที่ได้ทำแล้ว ๖ ประการ และเป็นกรรมที่มีอยู่ คือ กรรมในปัจจุบันชาติอีก ๖ ประการ ได้แก่
๗. อตฺถิ กมฺมํ อตฺถิ กมฺมวิปาโก กรรมมีอยู่ ผลของกรรมมีอยู่
คือ กรรมปัจจุบันทำให้เกิดวิบากในปัจจุบัน อย่าคิดว่ากรรมจะไม่ให้ผล กรรมที่ได้กระทำแล้วให้ผลในปัจจุบันชาตินี้ก็ได้ และกรรมในปัจจุบันชาติให้ผลในปัจจุบันชาติก็ได้
๘. อตฺถิ กมฺมํ นตฺถิ กมฺมวิปาโก กรรมมีอยู่ ผลของกรรมไม่มี
หมายความถึงกรรมในปัจจุบันที่ทุกท่านทำในชาตินี้ ไม่ทำให้เกิดวิบากในปัจจุบัน ท่านที่รอคอยผลว่า ทำกรรมแล้วทำไมไม่ได้รับผลของกรรม ทำกุศลแล้ว ทำไมไม่ได้รับกุศลวิบาก ก็เพราะว่ากรรมมีอยู่ แต่ผลของกรรมไม่มี คือ กรรมปัจจุบันมี แต่กรรมปัจจุบันนั้นไม่ได้ทำให้เกิดวิบากในปัจจุบัน เพราะฉะนั้น ทำให้หลายคนเข้าใจผิด ไม่เชื่อเรื่องกรรม คิดว่ากรรมไม่ได้ทำให้เกิดวิบาก หรือว่าวิบากที่กำลังได้รับในขณะนี้ไม่ใช่ผลของกรรม
๙. อตฺถิ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมมีอยู่ ผลของกรรมจักมี
ได้แก่ กรรมที่ได้กระทำในปัจจุบัน ทำให้เกิดวิบากในอนาคต ผลของกรรมจักมี ได้แก่ ประเภทของครุกกรรม กรรมหนักที่ได้กระทำแล้วในปัจจุบันชาตินี้ เพราะฉะนั้น ผลของกรรมจักมี จะต้องได้รับผลของกรรมนั้นในอนาคตแน่นอน
๑๐. อตฺถิ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมมีอยู่ ผลของกรรมจักไม่มี
เป็นไปได้ไหม กรรมที่ทำในปัจจุบันชาตินี้ คือ กรรมมีอยู่ แต่ ผลของกรรมจักไม่มี เป็นไปได้ อย่างผู้ที่เจริญสมถภาวนาจนกระทั่งได้ฌานจิต แต่ว่าฌานเสื่อม ก่อนจุติฌานจิตไม่เกิด ฌานนั้นไม่ได้ให้ผลในอนาคต เพราะฉะนั้น กรรมปัจจุบันมี แต่ไม่ทำให้เกิดวิบากในอนาคต คือ กรรมมีอยู่ ผลของกรรมจักไม่มี
ถ. จำเป็นไหมว่า เมื่อได้ฌานแล้ว ฌานจิตต้องเกิดก่อนจุติ
สุ. ไม่เสมอไป เช่น ท่านพระเทวทัตสามารถจะกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ได้ ...
ถ. แต่ฌานของท่านเสื่อมแล้วนี่
สุ. แน่นอน ท่านเกิดในอเวจีมหานรกในขณะนี้ แสดงว่าชวนจิตก่อนจุติไม่ใช่ฌานจิตแน่นอน
ถ. นั่นท่านเสื่อมแล้ว แต่สำหรับบุคคลผู้ที่ไม่เสื่อม
สุ. บุคคลที่ไม่เสื่อม ความหมายของไม่เสื่อม คือ ฌานจิตสามารถเกิดได้อย่างแคล่วคล่อง
ถ. แต่เขาอาจจะไม่อยากให้ฌานจิตเกิดก่อนจุติ
สุ. เขาไม่สามารถจะทำอะไรได้ แต่มีปัจจัยที่จะให้ฌานจิตเกิดก่อนจุติ ด้วยความสามารถ ด้วยความชำนาญ ด้วยความไม่เสื่อม
ถ. มีปัจจัยที่ทำให้จิตอื่นเกิดนอกจากฌานจิตได้ไหม
สุ. ไม่ได้ ถ้าเป็นผู้ที่ถึงความชำนาญ แคล่วคล่อง และไม่เสื่อม
ถ. ผู้ที่ไม่เสื่อม หมายความถึงผู้ที่มีความชำนาญ แคล่วคล่อง ใช่ไหม
สุ. แน่นอน