แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1306
ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษา มหามกุฏราชวิทยาลัย
วันอาทิตย์ที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๒๗
ข้อที่ควรคิด คือ เพราะเหตุใดปฏิสนธิจิตจึงมีอารมณ์เดียวกับชวนจิตสุดท้ายก่อนจุติจิต
ก็เพราะเหตุว่า ถ้าจุติจิตจะเกิดหลังจากจักขุทวารวิถี คือ เมื่อเห็น วิถีจิตที่เกิดขึ้นรู้รูปารมณ์ทางตาดับไปหมดแล้ว จุติจิตเกิดก็ได้ หรือขณะที่กำลังได้ยินเสียง จิตที่เกิดขึ้นได้ยินเสียงทางหู โสตทวารวิถีจิตแต่ละดวงเกิดขึ้นได้ยินเสียงที่ยังไม่ดับ จนกระทั่งเสียงดับ และภวังคจิตเกิดต่อ จุติจิตก็เกิดได้ เพราะฉะนั้น จุติจิตจะเกิดต่อจากจิตทางปัญจทวารวิถี โสตทวารวิถี ฆานทวารวิถี ชิวหาทวารวิถี กายทวารวิถี หรือมโนทวารวิถีก็ได้ ซึ่งธรรมดาการรู้อารมณ์ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อมีเห็นรูปารมณ์ทางตา และวิถีจิตทั้งหมดดับไปแล้ว ภวังคจิตเกิดคั่นแล้ว จิตจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้นต่อทางใจ คือ ทางมโนทวารวิถีทุกครั้ง
ในขณะที่กำลังเห็นขณะนี้ ปรากฏเสมือนว่าจักขุวิญญาณไม่ได้ดับ เพราะเห็นอยู่ตลอดเวลา ความจริงแล้วจักขุวิญญาณดับ สัมปฏิจฉันนจิตดับ สันตีรณจิตดับ ชวนจิตดับ ตทาลัมพนจิตดับ รูปดับไป ภวังคจิตเกิดต่อหลายขณะ มโนทวารวิถีจิต คือ จิตที่เกิดขึ้นรู้สิ่งที่ปรากฏทางตาต่อจากทางจักขุทวารวิถี ก็เกิดขึ้น
แสดงให้เห็นว่า ทุกครั้งที่มีการเห็นรูปารมณ์วาระหนึ่งๆ ดับไป มโนทวารวิถีจิตจะต้องเกิดขึ้นรู้รูปารมณ์ต่อจากทางจักขุทวารวิถี ซึ่งรูปารมณ์ที่มโนทวารวิถีจิตรู้ มีลักษณะเหมือนกับรูปารมณ์ที่ทางจักขุทวารวิถีรู้แล้วดับไป ถ้าเป็นทางหู คือ โสตทวาร ในขณะนี้ที่กำลังได้ยินเสียง เสียงกำลังปรากฏ ยังไม่ดับ โสตทวารวิถีจิตเกิดขึ้นรู้เสียงที่ยังไม่ดับ เมื่อเสียงดับแล้ว โสตทวารวิถีจิตทั้งหมดดับแล้ว ภวังคจิตเกิดต่อ มโนทวารวิถีจิตต้องเกิดขึ้นรับรู้เสียงต่อจากทางโสตทวารวิถี ซึ่งเสียงที่มโนทวารวิถีจิตรู้มีลักษณะเดียวกับเสียงที่ปรากฏทางโสตทวารวิถีนั่นเอง แสดงให้เห็นว่า เมื่ออารมณ์ทางปัญจทวารดับแล้ว ภวังคจิตคั่นแล้ว มโนทวารวิถีจิตต้องเกิดต่อ โดยมีอารมณ์เดียวกับปัญจทวารวิถีนั้นๆ เพราะฉะนั้น เมื่อจุติจิตเกิดหลังจากที่จักขุทวารวิถีดับ ปฏิสนธิจิตจึงมีอารมณ์เดียวกับชวนะสุดท้ายก่อนจุติ เพราะถ้าจุติไม่เกิด มโนทวารวิถีก็จะมีอารมณ์เดียวกับจักขุทวารวิถีที่ดับไป หรือถ้าเป็นทางหู โสตทวารวิถี เสียงดับแล้ว ภวังคจิตเกิดคั่นแล้ว ถ้าไม่ใช่จุติจิตเกิด ก็เป็นมโนทวารวิถีจิตเกิดต่อ โดยมีเสียงเดียวกับที่ทางโสตทวารวิถีเพิ่งรู้แล้วดับไปเป็นอารมณ์ มีลักษณะอย่างเดียวกัน และถ้าจุติจิตเกิดคั่น มโนทวารวิถีก็ไม่ได้เกิดต่อจากปัญจทวารวิถี แต่ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อจากจุติจิต ด้วยเหตุนี้ ปฏิสนธิจิตจึงมีอารมณ์เดียวกับ ชวนะสุดท้ายก่อนจุติ ซึ่งไม่มีจิตอื่นจะคั่นได้เลยระหว่างจุติกับปฏิสนธิ เพราะฉะนั้น ปฏิสนธิจิตจึงมีอารมณ์เดียวกับชวนะสุดท้ายก่อนจุติ
ถ้าจุติจิตยังไม่เกิด ต่อจากภวังค์จิตอะไรเกิด
มโนทวารวิถีจิตเกิด แต่เมื่อปัญจทวารวิถีจิตดับ และจุติจิตเกิด ปฏิสนธิจิตจึงมีอารมณ์เดียวกับชวนะสุดท้ายก่อนจุติ
ถ้าจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางมโนทวารดับไปแล้ว จุติจิตเกิดได้ไหม
ทวาร คือ ทางรู้อารมณ์ มี ๖ ทาง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เป็นรูป ๕ ทวาร ชื่อว่าปัญจทวาร เป็นนาม ๑ ทวาร คือ มโนทวาร
เพราะฉะนั้น ถ้าจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางมโนทวารดับไปแล้ว จุติจิตเกิดต่อ ได้ไหม ได้ และปฏิสนธิจิตก็มีอารมณ์เดียวกับชวนะสุดท้ายของมโนทวารวิถีนั่นเอง เพราะฉะนั้น ก็แล้วแต่ว่าจุติจิตจะเกิดหลังจากปัญจทวารวิถีจิต หรือหลังจาก มโนทวารวิถีจิต แต่อย่างไรก็ตามปฏิสนธิจิตต้องมีอารมณ์เดียวกับชวนะสุดท้ายก่อนจุติ ซึ่งกรรมหนึ่งเป็นปัจจัยทำให้อารมณ์ปรากฏ โดยที่ไม่มีใครสามารถเลือกอารมณ์ได้
แม้ว่าทางตากำลังเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งคนอื่นก็เห็น แต่ถ้ากรรมที่จะทำให้ปฏิสนธิเป็นอกุศลกรรม กรรมนิมิตอารมณ์ก็จะปรากฏทำให้จิตเศร้าหมองเป็นอกุศล ทำให้อกุศลวิบากทำกิจปฏิสนธิต่อจากจุติ ซึ่งไม่มีใครสามารถรู้ว่า ชนกกรรม คือ กรรมที่ทำให้ปฏิสนธิในชาติหน้าต่อจากจุติจิตในชาตินี้ จะเป็นกรรมอะไร
เมื่อปฏิสนธิจิตทำกิจปฏิสนธิเพียงขณะเดียวและดับไป ภวังคจิตก็เกิดต่อ และเนื่องจากปฏิสนธิจิตมี ๑๙ ดวง หรือ ๑๙ ประเภท เพราะฉะนั้น ภวังคจิตที่เกิดต่อ ก็มีเพียง ๑๙ ดวง หรือ ๑๙ ประเภทเช่นเดียวกัน คือ ถ้าปฏิสนธิจิตเป็น มหาวิบากญาณสัมปยุตต์เกิดขึ้นและดับไป ภวังคจิตก็คือมหาวิบากญาณสัมปยุตต์เกิดต่อ ทำกิจดำรงรักษาภพชาติความเป็นบุคคลที่ปฏิสนธิจิตประกอบด้วยเหตุ ๓ เป็นติเหตุกะ คือ ประกอบด้วยอโลภะ อโทสะ อโมหะ เป็นมหาวิบากญาณสัมปยุตต์ และภวังคจิตของบุคคลนั้นก็จะเป็นมหาวิบากญาณสัมปยุตต์ตลอดไปจนถึงจุติ ระหว่างที่ไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีการได้กลิ่น ไม่มีการลิ้มรส ไม่มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่มีการคิดนึก
ขอให้พิจารณาถึงจิต ๒ ขณะนี้ว่า เกิดดับสืบต่อเร็วแค่ไหน ในเมื่อขณะนี้ยังนับไม่ได้เลยว่า กำลังเห็นและได้ยินมีจิตเกิดดับมากสักเท่าไร แต่เพียงชั่วจิต ๒ ขณะที่เกิดสืบต่อกัน คือ ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน จะสั้นสักแค่ไหน ดับไป และภวังคจิตเกิดต่อ ตราบใดที่ยังไม่เห็น ยังไม่ได้ยิน ยังไม่ได้กลิ่น ยังไม่ลิ้มรส ยังไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ยังไม่คิดนึก ก็ต้องเป็นภวังคจิตเกิดดับสืบต่ออยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเกิดในอรูปพรหมภูมิ หรือเกิดในนรก
และจะเดือดร้อนไหม เพียงจิตเป็นภวังค์ ปฏิสนธิจิตขณะเดียวดับแล้ว พ้นไปแล้วขณะนั้น แต่หลังจากปฏิสนธิมีจิตเกิดดับสืบต่อดำรงภพชาติเป็นภวังคจิตอยู่ เรื่อยๆ เป็นจิตประเภทเดียวกัน ถ้าเกิดในนรก ปฏิสนธิจิตเป็นอเหตุกอกุศลวิบากสันตีรณะ ถ้าเกิดในอรูปพรหมภูมิชั้นอากาสานัญจายตนะ ก็เป็นอากาสานัญจายตนวิบากจิตที่ทำกิจภวังค์
สำหรับจิตที่ทำกิจภวังค์ในนรก กับจิตที่ทำกิจภวังค์ในชั้นอรูปพรหมภูมิ ต่างกันไหม ในขณะที่ทำภวังคกิจ
ไม่ต่างกันเลย เพราะเหตุใด ก็เพราะขณะที่เป็นภวังค์ ในนรกก็ยังไม่ได้รับความเจ็บปวดทรมานซึ่งเป็นผลของอกุศลกรรม ในอรูปพรหมภูมิก็ยังไม่ได้รับผลของการเกิดเป็นอรูปพรหมภูมิทางวิถีจิตหนึ่งวิถีจิตใด ซึ่งสำหรับอรูปพรหมภูมิจะเหลือเพียงวิถีจิตทางเดียว คือ มโนทวารวิถีเท่านั้น เพราะในอรูปพรหมภูมิไม่มีรูปมีแต่เฉพาะนามปฏิสนธิ คือ นามขันธ์ ๔ จิตและเจตสิก ซึ่งได้แก่ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์เท่านั้น เพราะฉะนั้น ในอรูปพรหมภูมิ ไม่มีตา ไม่มีหู ไม่มีจมูก ไม่มีลิ้น ไม่มีกาย ไม่มีรูปใดๆ ทั้งสิ้น จึงไม่มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส ไม่มีการรู้กระทบสัมผัสใดๆ ทั้งสิ้น สุขไหม มีแต่มโนทวารวิถีจิตทางเดียวเท่านั้น แต่แม้กระนั้นขณะที่เป็นภวังค์สืบต่อจากปฏิสนธิ ก็ยังไม่ใช่มโนทวารวิถี ยังไม่มีการรู้สึกตัวเลยว่า เกิดเป็นใคร ภูมิไหน
ถ้าเกิดในนรกแล้วเป็นภวังค์ ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นสัตว์ในนรก เกิดเป็นเปรตก็ยังไม่รู้ว่าเป็นเปรต หรือเกิดในมนุษย์ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นมนุษย์ เกิดในสวรรค์ชั้นหนึ่งชั้นใด จะเป็นชั้นดาวดึงส์ หรือยามา หรือดุสิตา ก็ไม่รู้ว่าเป็นเทวดาชั้นหนึ่งชั้นใด เกิดเป็น รูปพรหมภูมิก็ยังไม่รู้ แม้ว่าจะเกิดในสุทธาวาสภูมิ ในขณะที่เป็นภวังค์ ก็ไม่รู้ตัวอีก เพราะฉะนั้น ขณะที่เป็นภวังค์ คือ จิตกำลังทำภวังคกิจ ไม่ใช่การรู้สึกตัว ไม่ใช่การรู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดทางทวารหนึ่งทวารใดเลย ซึ่งนี่คือขณะที่ไม่ต่างกันเลย ไม่ว่าจะเกิดในภูมิใด เมื่อเป็นเพียงภวังคจิต
ลองพิจารณาว่า เมื่อปฏิสนธิจิตเกิดและดับไป เพียงขณะเดียว จะไม่มี ปฏิสนธิจิตเกิดอีกเลยในชาตินั้น และภวังคจิตเกิดดับสืบต่อจนกว่าวิถีจิตจะเกิด แต่วิถีจิตไหนจะเป็นวิถีจิตขณะแรกหลังจากที่ปฏิสนธิจิตดับไปและภวังคจิตเกิดดับ สืบต่อ ลองพิจารณาดู
ทุกท่านผ่านมาแล้วในชาตินี้ และในชาติต่อๆ ไปในสังสารวัฏฏ์ที่ยังต้องมีจุติและปฏิสนธิ ถ้าเป็นเพียงปฏิสนธิและภวังค์เท่านั้น ไม่เดือดร้อนจริงๆ แต่กรรมไม่ได้ทำให้เพียงปฏิสนธิและภวังค์เกิดขึ้นเท่านั้น ยังต้องทำให้วิถีจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แล้วแต่ภพภูมิที่เกิด เพราะฉะนั้น ลองพิจารณาว่า จิตประเภทไหน วิถีจิตไหนจะเป็นวิถีจิตขณะแรกของชาตินั้นที่เกิดขึ้น หลังจากที่ปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว และภวังคจิตเกิดดับแล้ว
ก็คือมโนทวาราวัชชนจิต หลังจากที่ปฏิสนธิจิตดับแล้ว ภวังคจิตเกิดสืบต่อ ไม่ว่าจะเป็นการเกิดในนรก ในสวรรค์ ในรูปพรหมภูมิ หรือในอรูปพรหมภูมิก็ตาม มโนทวารวิถีจิตจะเกิดก่อน ในภูมิมนุษย์ ยังไม่มีตา ยังไม่มีหู มีกายปสาทจริง แต่ว่าทุกภูมิ จิตจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางใจก่อน คือ ทางมโนทวาร
ที่ใช้คำว่า ทวาร หมายความถึงทางรู้อารมณ์ ซึ่งไม่ใช่วิถีจิต เพราะฉะนั้น ทางรู้อารมณ์ เป็นรูป ๕ คือ จักขุปสาทเป็นจักขุทวาร ๑ โสตปสาทเป็นโสตทวาร ๑ ฆานปสาทเป็นฆานทวาร ๑ ชิวหาปสาทเป็นชิวหาทวาร ๑ กายปสาทเป็นกายทวาร ๑ ภวังคุปัจเฉทะเป็นมโนทวาร ๑
เพราะฉะนั้น มโนทวาร คือ จิต ถ้าคิดถึงเวลาที่ปฏิสนธิจิตเกิด ในภูมิมนุษย์ รูปยังเป็นรูปที่เล็ก มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ขณะนั้นมีกายปสาทจริง แต่ธรรมดาของการเกิดดับรู้อารมณ์ในวันหนึ่งๆ รู้อารมณ์ทางไหนมาก ขณะนี้มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย เป็นทางรู้อารมณ์ซึ่งเป็นรูป และมีจิตซึ่งเป็นมโนทวาร วันหนึ่งๆ รู้อารมณ์ทางไหนมาก
มโนทวาร คือ ขณะใดที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ซึ่งไม่ใช่อารมณ์เดียวกับปฏิสนธิ โดยไม่อาศัยตา ไม่อาศัยหู ไม่อาศัยจมูก ไม่อาศัยลิ้น ไม่อาศัยกาย ขณะนั้นจิตจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางมโน คือ ทางจิต โดยอาศัยใจเกิดขึ้นเป็นทวาร หรือเป็นทาง คิดนึก รู้สึกตัว หรือรู้อารมณ์ที่ปรากฏทางใจ
ในวันหนึ่งๆ ไม่ใช่มีแต่เห็น และก็ไม่ใช่มีแต่ได้ยิน ถ้าลืมตาขึ้นมาดูเสมือนว่าเห็นตลอดเวลา ไม่ได้หยุดไปเลยในขณะนี้ แต่ในขณะที่ลืมตาเห็น โสตปสาทก็กระทบกับเสียง มีปัจจัยให้โสตวิญญาณเกิดขึ้นได้ยินเสียงด้วย โดยปรากฏเหมือนกับว่า ทางจักขุทวารไม่ได้ดับ ซึ่งความจริงจิตเกิดขึ้นทีละขณะ เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังเห็น โสตวิญญาณจะเกิดขึ้นได้ยินเสียงไม่ได้เลย ในขณะที่เห็นต้องไม่มีเสียงปรากฏ ฉันใด ในขณะที่เสียงกำลังปรากฏก็ต้องไม่มีสีสันปรากฏด้วยฉันนั้น เพราะในขณะที่กำลังมีเสียงเป็นอารมณ์ ลองพิจารณาดู เฉพาะเสียงปรากฏกับจิตใด จิตนั้นกำลังมีเสียงเป็นอารมณ์ จะให้มีสีสันวัณณะทางตาปรากฏร่วมด้วยไม่ได้
เพราะฉะนั้น ในวันหนึ่งๆ ดูเสมือนว่าเห็นมาก และมีได้ยินมากด้วย แต่ตามความเป็นจริง จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์โดยอาศัยทางใจมากกว่าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เพราะเหตุใด เพราะเหตุว่าไม่ว่าอารมณ์ใดจะปรากฏให้จิตเกิดขึ้นเช่น อาศัยทางตาเห็นสิ่งนั้นและดับไป จิตจะต้องอาศัยทางใจเกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้นต่อ ทุกครั้ง
เพราะฉะนั้น แม้ไม่เห็น นึกถึงได้ไหม นึกถึงสิ่งต่างๆ ซึ่งเคยเห็นแล้วก็ได้ นึกถึงเสียง นึกถึงคำ นึกถึงเรื่องขณะใด ขณะนั้นหมายความว่า ไม่ได้อาศัยตา ไม่ได้อาศัยหู ไม่ได้อาศัยจมูก ไม่ได้อาศัยลิ้น แต่อาศัยใจ คือ อาศัยจิตเป็นทวาร เป็นทางที่จะรู้ หรือคิดนึกอารมณ์นั้นๆ เพราะฉะนั้น จิตนั่นเองซึ่งเกิดก่อนวิถีจิต เป็น มโนทวาร
ถ้าเป็นภวังค์ตลอด ไม่ใช่มโนทวาร แต่เวลาที่จะรู้อารมณ์ทางใจ ภวังคจลนะต้องเกิดขึ้นไหวเพื่อที่จะรู้อารมณ์ที่ไม่ใช่อารมณ์ของปฏิสนธิและภวังค์ เมื่อภวังคจลนะไหวและดับไป ภวังคุปัจเฉทะก็เกิดขึ้น เป็นกระแสภวังค์ดวงสุดท้าย แต่ยังไม่ใช่วิถีจิต เพราะฉะนั้น มโนทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางใจ เป็นวิถีจิตขณะแรกในภพหนึ่งชาติหนึ่ง