แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1307

ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษา มหามกุฏราชวิทยาลัย

วันอาทิตย์ที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๒๗


มโนทวาราวัชชนจิตเป็นวิถีจิตขณะแรก ซึ่งเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางใจต่อจากภวังคจิตที่เกิดต่อจากปฏิสนธิจิตทุกภพทุกชาติ ไม่ว่าจะเป็นการเกิดในนรก การเกิดในสวรรค์ การเกิดในรูปพรหมภูมิ หรือว่าการเกิดในอรูปพรหมภูมิ

ซึ่งปกติมโนทวารวิถีจิตก็รับรู้อารมณ์สืบต่อจากทางปัญจทวารวิถีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อจุติจิตเกิดคั่น และปฏิสนธิจิตเกิดต่อ มีอารมณ์เดียวกับชวนะสุดท้าย ไม่ใช่อารมณ์ของโลกที่ปฏิสนธิจิตเกิด และแม้ไม่ปรากฏว่าอารมณ์ของปฏิสนธิเป็นอย่างไรก็จริง แต่มโนทวารวิถีต้องเกิดก่อนเป็นวาระแรก ซึ่งวิถีจิตแรก ได้แก่ มโนทวาราวัชชนจิต ไม่ใช่ปัญจทวาราวัชชนจิต เพราะยังไม่มีการรู้อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เพราะฉะนั้น วาระแรกของภพหนึ่งชาติหนึ่งต้องเป็นมโนทวารวิถีจิต ซึ่งมโนทวาราวัชชนจิตเป็นวิถีจิตขณะที่หนึ่ง

ควรจะศึกษาให้เข้าใจเรื่องของมโนทวาราวัชชนจิตให้ละเอียดขึ้น ให้แม่นยำขึ้น และอย่าปะปนกับมโนทวาร

มโนทวาราวัชชนจิตเป็นวิถีจิต แต่มโนทวารไม่ใช่วิถีจิต มโนทวารเป็นภวังคจิตดวงสุดท้ายของกระแสภวังค์ก่อนวิถีจิต เพราะฉะนั้น มโนทวาร คือ ภวังคุปัจเฉทะ แต่มโนทวาราวัชชนจิตเป็นวิถีจิตดวงหนึ่งในอเหตุกจิต ๑๘ ดวง

ขอทบทวนมโนทวาราวัชชนจิต ซึ่งขณะนี้ทราบแล้วว่า มโนทวาราวัชชนจิต เป็นวิถีจิตแรกในทุกภพทุกชาติที่เกิดขึ้นต่อจากภวังคุปัจเฉทะ โดยชาติ เป็นชาติกิริยา เพราะว่าจิตมี ๔ ชาติ เป็นกุศล ๑ เป็นอกุศล ๑ เป็นวิบาก ๑ เป็นกิริยา ๑ สำหรับมโนทวาราวัชชนจิตไม่ใช่วิบากจิต ไม่ใช่กุศลจิต ไม่ใช่อกุศลจิต แต่เป็นกิริยาจิต ซึ่งกิริยาจิต หมายความถึงจิตที่ไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก และไม่ใช่วิบากจิต

โดยภูมิ คือ โดยระดับขั้นของจิต จิตทั้งหมดมี ๘๙ มี ๔ ภูมิ หรือ ๔ ระดับขั้น ขั้นต่ำสุด คือ กามภูมิ ขั้นต่อไป คือ รูปภูมิ หรือรูปาวจรจิต ได้แก่ รูปฌานต่างๆ ขั้นต่อไป คือ อรูปภูมิ หรืออรูปาวจรจิต ได้แก่ อรูปฌาน และขั้นสูงที่สุด คือ โลกุตตรภูมิ เพราะฉะนั้น ภูมิมี ๔ คือ กามภูมิ ๑ รูปภูมิ ๑ อรูปภูมิ ๑ โลกุตตรภูมิ ๑

ว่าโดยภูมิ มโนทวาราวัชชนจิตเป็นภูมิอะไร เป็นกามภูมิ เพราะเหตุใด การศึกษาทั้งหมด ถ้ามีเหตุผลประกอบด้วยจะทำให้เข้าใจขึ้นและไม่ลืมด้วย

มโนทวาราวัชชนจิตเป็นกามภูมิ เพราะรับกามอารมณ์ได้ จิตใดที่สามารถจะรับรู้กามอารมณ์ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะได้ จิตนั้นเป็นกามภูมิ

โลกุตตรจิตไม่ใช่กามภูมิ เพราะมีนิพพานเป็นอารมณ์อย่างเดียว โลกุตตรจิตมีอารมณ์อื่นไม่ได้เลยนอกจากนิพพาน แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายซึ่งเกิดในมนุษย์ภูมิ เป็นกามบุคคล เพราะไม่ได้เกิดในรูปพรหมภูมิ ไม่ใช่ อรูปพรหมบุคคลด้วย แต่เมื่อโลกุตตรจิตเกิด เป็นโลกุตตรภูมิ ไม่ใช่กามภูมิ เพราะมีนิพพานเป็นอารมณ์

สำหรับมโนทวาราวัชชนจิต ไม่ว่าจะเกิดในรูปพรหมภูมิ หรือในอรูปพรหมภูมิ ก็ตาม มโนทวาราวัชชนจิตเป็นกามภูมิ เพราะเป็นจิตที่สามารถรับรู้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะได้ และจิตดวงนี้จะไม่เปลี่ยนชาติ คือ เป็นชาติกิริยา ไม่ว่าจะเกิดขณะไหนทั้งสิ้น และจะไม่เปลี่ยนภูมิ จิตใดเป็นกามภูมิก็เป็นกามภูมิ จิตใดเป็นรูปภูมิก็เป็น รูปภูมิ เพราะฉะนั้น มโนทวาราวัชชนจิต ไม่ว่าจะเกิดในสวรรค์ หรือที่ใดก็ตาม เมื่อจิตนี้เกิดขึ้น ก็เป็นกามภูมิ

โดยเหตุ ถ้าจะศึกษาพระอภิธรรมต่อๆ ไป ซึ่งพระอภิธรรมหมายถึงสภาพธรรมที่เกิดเป็นปกติในชีวิตประจำวัน แต่ที่เป็นอภิธรรมก็เพราะเป็นธรรมที่ละเอียด ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดงไว้เพื่อที่จะให้เห็นว่าเป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ฉะนั้น ถ้าจะศึกษาธรรมโดยละเอียดขึ้นจะต้องรู้จิตที่ประกอบด้วยเหตุและไม่ประกอบด้วยเหตุ คือ จิตเป็นสเหตุกะหรือเป็นอเหตุกะ มิฉะนั้นแล้ว จะศึกษาต่อไปไม่ได้ดี ยิ่งศึกษาก็ยิ่งงง ยิ่งอ่านก็ยิ่งไม่เข้าใจว่า จิตดวงไหนเป็นอะไร

สำหรับอเหตุกจิต คือ จิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ มีเพียง ๑๘ ดวง จำแนกเป็นอกุศลวิบาก ๗ กุศลวิบาก ๘ และเป็นอเหตุกกิริยา ๓ จิตอื่นนอกจากนี้ทั้งหมด เป็นสเหตุกะ คือ จิตที่ประกอบด้วยเหตุ

มโนทวาราวัชชนจิต โดยเหตุ เป็นอเหตุกจิต ซึ่งอเหตุกกิริยาจิตมีเพียง ๓ ดวงเท่านั้น คือ ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ มโนทวาราวัชชนจิต ๑ และหสิตุปปาทจิต เป็นจิตที่ทำให้เกิดการแย้มหรือการยิ้มของพระอรหันต์อีก ๑ เท่านั้น

สำหรับอกุศลวิบากจิต ๗ ดวง คือ จักขุวิญญาณ ๑ โสตวิญญาณ ๑ ฆานวิญญาณ ๑ ชิวหาวิญญาณ ๑ กายวิญญาณ ๑ สัมปฏิจฉันนะ ๑ สันตีรณะ ๑ และสำหรับกุศลวิบาก ๘ ดวง ก็เพิ่มโสมนัสสันตีรณะอีก ๑ ดวงเท่านั้น

มโนทวาราวัชชนจิตเป็นจิตที่รู้อารมณ์ที่ปรากฏกี่ทวาร

๖ ทวาร

เสียง เป็นรูปธรรมเกิดขึ้นกระทบกับโสตปสาท ขณะนั้นยังเป็นภวังค์ ซึ่งภวังค์ที่กระทบ ชื่อว่าอตีตภวังค์ ดับไปแล้ว ภวังคจลนะเกิดขึ้นไหว เพื่อที่จะรู้เสียงที่กระทบที่โสตปสาท เมื่อภวังคจลนะดับไปแล้ว ภวังคุปัจเฉทะเกิดต่อ เป็นภวังค์ดวงสุดท้าย ต่อจากนั้นวิถีจิตต้องเกิด เมื่อเป็นเสียง จิตที่ทำอาวัชชนกิจรู้ว่า เสียงกระทบกับทวาร ซึ่งจิตดวงนั้น คือ ปัญจทวาราวัชชนจิต ไม่ใช่มโนทวาราวัชชนจิต

ถ้าเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย วิถีจิตแรกต้องเป็น ปัญจทวาราวัชชนจิต ถ้าเป็นทางหู คือ ทางโสตปสาท ชื่อว่าโสตทวาราวัชชนจิตก็ได้ แต่ถ้าเรียกรวมไม่แยก ก็เป็นปัญจทวาราวัชชนจิต

เมื่อปัญจทวาราวัชชนจิตดับไปแล้ว โสตวิญญาณเกิดขึ้นได้ยินเสียง เสียงยังไม่ดับ ในระหว่างที่เป็นโสตทวารวิถีจิตทั้งหมดเสียงยังไม่ดับ เพราะรูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ เมื่อโสตวิญญาณดับ สัมปฏิจฉันนจิตเกิดต่อ เสียงยังไม่ดับ เมื่อสัมปฏิจฉันนจิตดับ สันตีรณจิตเกิดต่อ เสียงยังไม่ดับ เมื่อสันตีรณจิตดับไปแล้ว โวฏฐัพพนจิตเกิด เสียงยังไม่ดับ เมื่อโวฏฐัพพนจิตดับไปแล้ว ชวนจิตเกิดดับสืบต่อกัน ๗ ขณะ เสียงยังไม่ดับ ตทาลัมพนจิตก็เกิดขึ้นรู้อารมณ์ต่อจากชวนะที่ดับไปแล้วอีก ๒ ขณะ เสียงจึงดับ และเป็นภวังค์

และมโนทวารวิถี คือ จิตจะต้องอาศัยใจเป็นทวารเกิดขึ้น รู้เสียงที่ทาง ปัญจทวารหรือโสตทวารเพิ่งได้ยินนั้นเอง แต่การรู้เสียงทางมโนทวาร ไม่ได้อาศัย โสตทวาร อย่าลืม การรู้เสียงทางมโนทวารต่อจากโสตทวารนั้นไม่ได้อาศัยโสตทวาร เพราะเหตุว่าเสียงดับไปแล้ว เสียงจึงไม่ได้กระทบกับโสตทวาร แต่จิตอาศัยมโนทวาร คือ อาศัยจิตเกิดขึ้นรับรู้เสียงนั้นต่อ เรียกว่ามโนทวารวิถี

เพราะฉะนั้น มโนทวาราวัชชนจิตซึ่งเป็นวิถีแรกของมโนทวาร ก็มีเสียง ลักษณะเดียวกับเสียงซึ่งทางโสตทวารวิถีรู้และดับไปก่อนเป็นอารมณ์

ด้วยเหตุนี้ มโนทวาราวัชชนจิตจึงรู้อารมณ์ที่ปรากฏทั้ง ๖ ทวาร ไม่ว่าทางตาเห็นอะไร ทางใจ คือ จิตเกิดโดยอาศัยจิตเป็นทวาร รู้สิ่งที่ปรากฏทางตานั้นต่อ ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็โดยนัยเดียวกัน

เมื่อโสตวิญญาณดับไปแล้ว สัมปฏิจฉันนจิตเกิดต่อ สัมปฏิจฉันนจิตดับไปแล้ว สันตีรณจิตเกิดต่อ สันตีรณจิตดับไปแล้ว โวฏฐัพพนจิตเกิดต่อ โวฏฐัพพนะ ก็คือ มโนทวาราวัชชนจิตซึ่งเกิดทางปัญจทวารทำกิจโวฏฐัพพนะ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า มโนทวาราวัชชนจิตเป็นจิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่ปรากฏทั้ง ๖ ทวาร โดยถ้าเกิดทาง ปัญจทวารก็ทำกิจโวฏฐัพพนะก่อนชวนจิต ถ้าเกิดทางมโนทวารก็ทำกิจอาวัชชนะ ก่อนชวนจิต ซึ่งมโนทวาราวัชชนจิตต้องเกิดก่อนชวนจิต ไม่ว่าจะเป็นทางปัญจทวารหรือทางมโนทวารก็ตาม ถ้าเป็นทางปัญจทวาร ก็เกิดก่อนชวนจิตโดยทำโวฏฐัพพนกิจ ถ้าเป็นทางมโนทวาร ก็เกิดก่อนชวนจิตโดยทำอาวัชชนกิจ เพราะฉะนั้น มโนทวาราวัชชนจิตสามารถรู้อารมณ์ได้ทั้ง ๖ ทาง ซึ่งขณะนี้จิตดวงนี้กำลังเกิดดับอยู่

มโนทวาราวัชชนจิตรู้อารมณ์โดยอาศัยกี่ทวาร

คำถามแรก หรือตอนแรกเป็นเรื่องของอารมณ์ ตอนที่ ๒ เป็นเรื่องของทวาร ลองคิดดู มโนทวาราวัชชนจิตรู้อารมณ์ที่ปรากฏทั้ง ๖ ทวาร ไม่ว่าจะเป็นรูปารมณ์ สัททารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ เพราะฉะนั้น ถามว่า มโนทวาราวัชชนจิตรู้อารมณ์โดยอาศัยกี่ทวาร

ตอบว่า ๖ ทวาร

ชื่อว่ามโนทวาราวัชชนจิต แต่เมื่อรู้อารมณ์ที่ปรากฏ ก็ทั้ง ๖ ทวาร ไม่ใช่เฉพาะมโนทวารทวารเดียว เพราะทางจักขุทวาร มโนทวาราวัชชนจิตก็เกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่ยัง ไม่ดับโดยทำโวฏฐัพพนกิจต่อจากสันตีรณกิจ และก่อนชวนกิจที่เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล หรือเป็นกิริยา

ทางโสตทวาร ฆานทวาร ชิวหาทวาร กายทวารก็โดยนัยเดียวกัน

เพราะฉะนั้น มโนทวาราวัชชนจิตทำกิจทั้ง ๖ ทวาร สำหรับ ๕ ทวารนั้น ทำโวฏฐัพพนกิจ ไม่ใช่อาวัชชนกิจ แต่สำหรับมโนทวารทวารเดียวทำอาวัชชนกิจ

ขอถามต่อไปอีก มโนทวาราวัชชนจิตรู้อารมณ์โดยไม่อาศัยทวารเลยได้ไหม

ตอบว่า ไม่ได้

เพราะเหตุใด เพราะมโนทวาราวัชชนะเป็นวิถีจิต

จิตที่ไม่ใช่วิถีจิต ได้แก่ จิตขณะที่ปฏิสนธิ ภวังค์ จุติ เท่านั้น อย่าลืม นอกจากนั้นเป็นวิถีจิตทั้งหมด เพราะรู้อารมณ์ทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทาง ดังนั้น มโนทวาราวัชชนจิตเป็นวิถีจิต ไม่อาศัยทวารเกิดขึ้นไม่ได้

ปฏิสนธิจิตรู้อารมณ์โดยไม่อาศัยทวาร ภวังคจิตรู้อารมณ์โดยไม่อาศัยทวาร จุติจิตรู้อารมณ์โดยไม่อาศัยทวาร จึงไม่ใช่วิถีจิต แต่มโนทวาราวัชชนจิตจะรู้อารมณ์โดยไม่อาศัยทวารไม่ได้ และรู้อารมณ์ได้ทุกอารมณ์ด้วย ทั้งทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ เพราะฉะนั้น จึงต้องอาศัย ๖ ทวาร ไม่ใช่อาศัยเพียงทวารเดียว

แต่ที่ชื่อว่ามโนทวาราวัชชนจิต ถ้าอุปมากับคน หรือเปรียบเทียบกับคน มี ๒ ชื่อได้ไหม ชื่อเล่นกับชื่อจริง หรืออาจจะมีชื่ออื่นๆ ที่เพื่อนฝูงตั้งให้ก็ได้ แต่ชื่อใด ควรจะเป็นชื่อประจำระหว่าง ๒ กิจ คือ โวฏฐัพพนกิจกับอาวัชชนกิจ

มโนทวาราวัชชนจิตเกิดได้ทุกภูมิ แต่โวฏฐัพพนจิตเกิดไม่ได้ทุกภูมิ เช่น ใน อรูปพรหมภูมิ มโนทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้นเป็นวิถีจิตแรกทางมโนทวาร เพราะฉะนั้น จึงควรเป็นชื่อประจำ แม้ว่าจะทำโวฏฐัพพนกิจทางปัญจทวาร แต่ก็ชื่อ มโนทวาราวัชชนจิต เพื่อที่จะได้จำได้ ไม่สับสน มิฉะนั้นจะคิดว่ามี ๒ ดวง คือ โวฏฐัพพนจิตดวงหนึ่ง และมโนทวาราวัชชนจิตดวงหนึ่ง ซึ่งความจริงไม่ใช่ มีดวงเดียว คือ มโนทวาราวัชชนจิต แต่ทำโวฏฐัพพนกิจทางปัญจทวาร และทำอาวัชชนกิจทางมโนทวาร

และที่กล่าวว่าดวงเดียว ก็ไม่ได้หมายความว่าดวงเก่าดวงนั้นแหละกลับมา เกิดอีก เพราะจะไม่มีจิตสักขณะเดียวซึ่งกลับมาได้ เหมือนกับปัจจัยที่จะให้เกิดไฟ มีไฟเกิดขึ้น และเมื่อไฟดับไป ก็ไม่ใช่ว่าไฟที่เกิดใหม่จะอาศัยปัจจัยเก่า ฉันใด จิตแต่ละขณะที่จะเกิดขึ้นได้ น่าอัศจรรย์ ซึ่งมีปัจจัยหลายปัจจัยทำให้เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะเดียวและดับไปเลย ไม่มีจิตสักดวงเดียวที่ย้อนกลับมาเกิดอีก แม้มโนทวาราวัชชนจิต ก็ไม่ใช่ว่าไปทำโวฏฐัพพนกิจทางปัญจทวาร และก็มาทำอาวัชชนกิจทางมโนทวาร แต่ว่าจิตประเภทนั้น ชาตินั้น เจตสิกประกอบเท่านั้น จึงเรียกชื่อนั้น ซึ่งเป็นจิตที่ทำ อาวัชชนกิจทางมโนทวาร และทำโวฏฐัพพนกิจทางปัญจทวาร

นี่คือวิถีจิตดวงแรกในภพหนึ่งชาติหนึ่ง แม้ว่าปฏิสนธิจิตจะผ่านไปแล้ว ภวังคจิตจะผ่านไปแล้ว มโนทวาราวัชชนจิตขณะแรกได้เกิดดับผ่านไปแล้วก็จริง แต่ชาติต่อไป เมื่อปฏิสนธิจิตเกิดและดับไป ภวังคจิตเกิดดับสืบต่อ มโนทวาราวัชชนจิตจะเป็นวิถีจิตดวงแรกอีก

สำหรับมโนทวาราวัชชนจิต มีเจตสิกประกอบ ๑๑ ดวง จิตประเภทอเหตุกะ เป็นจิตที่มีกำลังอ่อน เพราะไม่ประกอบด้วยเหตุเจตสิก คือ ไม่ประกอบด้วย โลภเจตสิก โทสเจตสิก โมหเจตสิก อโลภเจตสิก อโทสเจตสิก และอโมหเจตสิก เพราะฉะนั้น สำหรับอเหตุกจิต ๑๘ ดวง จะมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยไม่เกิน ๑๒ ดวง

สำหรับทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวง คือ จักขุวิญญาณกุศลวิบาก ๑ อกุศลวิบาก ๑ โสตวิญญาณกุศลวิบาก ๑ อกุศลวิบาก ๑ ฆานวิญญาณกุศลวิบาก ๑ อกุศลวิบาก ๑ ชิวหาวิญญาณกุศลวิบาก ๑ อกุศลวิบาก ๑ กายวิญญาณกุศลวิบาก ๑ อกุศลวิบาก ๑ มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเพียง ๗ ดวงเท่านั้น น้อยที่สุด เพราะฉะนั้น อเหตุกจิตที่เหลืออีก ๘ ดวง ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยมากกว่า ๗ ดวง

สำหรับมโนทวาราวัชชนจิตมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๑๑ ดวง คือ นอกจาก สัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๗ แล้ว มีวิตกเจตสิกเกิดร่วมด้วย มีวิจารเจตสิกเกิดร่วมด้วย มีอธิโมกขเจตสิกเกิดร่วมด้วย และมีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วย

เปิด  223
ปรับปรุง  2 มิ.ย. 2565