แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1341
ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษา มหามกุฏราชวิทยาลัย
วันอาทิตย์ที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๒๗
ถ. ดิฉันเคยว่าผู้ใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งเป็นลูกท่านเจ้าคุณ และได้รับการศึกษาจากต่างประเทศ เป็นคนดีเรียบร้อย แต่พรรคพวกประพฤติตัวแบบเจ้าชู้ ดิฉันก็ว่า ท่านเป็นนายตำรวจใหญ่ เท่าที่ท่านลดตัวลงมาคบกับพวกเราก็เป็นพระเดชพระคุณอย่างสูงแล้ว เราพูดคำนี้คล้ายเตือนสติ จะเป็นเหลี่ยมเป็นคมไหม
สุ. ขณะนั้นจิตเป็นกุศลหรืออกุศล
ถ. คงจะเป็นอกุศลนิดหน่อย เพราะไม่ดีแน่
สุ. ต้องตรง ธรรมทั้งหมดที่ยกมากล่าว ต้องเป็นผู้ที่ตรง ให้พิจารณาด้วยความตรงจริงๆ เพราะเป็นคำพูดที่ใช้กันอยู่เป็นประจำวัน แล้วแต่ว่าใครสะสมมาที่จะมีวาจาเป็นเหลี่ยมเป็นคม หรือเป็นเหลี่ยมเป็นคู ก็เป็นเพราะการสะสม
ถ. ในขณะที่หลับตาในห้องที่มืดสนิท รูปารมณ์เกิดได้ไหม
สุ. ขณะนี้เห็นตลอดเวลาหรือเปล่า
ถ. ไม่
สุ. แสดงว่าต้องมีขณะที่จักขุวิญญาณไม่เกิดแม้ไม่ใช่ห้องมืด เพราะฉะนั้น คำตอบนี้ก็ใช้ได้กับแม้ในห้องมืด
ถ. คือ ต้องมีรูปารมณ์และจักขุวิญญาณเกิด
สุ. ขณะใดที่จักขุวิญญาณเกิด สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนั้นเป็นรูปารมณ์ จะใช้คำว่า มืดหรือสว่าง หรืออะไรก็ตามแต่ แต่ขณะใดที่จักขุวิญญาณเกิด ต้องมี รูปารมณ์เป็นอารมณ์
ถ. ถ้าในห้องนั้นไม่มีรูปเลย แม้แต่อวินิพโภครูป ๘ รูปารมณ์จะมีได้ไหม
สุ. จักขุวิญญาณเกิดหรือเปล่า
ถ. ถ้าไม่มีสี รูปารมณ์ย่อมไม่มี
สุ. คิดไกลมาก ถ้าคิดใกล้ๆ เพียงว่า จักขุวิญญาณเกิดหรือเปล่า
ถ. ไม่เกิด
สุ. ถ้าจักขุวิญญาณไม่เกิด ไม่ต้องพูดถึงรูปารมณ์ โดยมากเวลาที่ใช้คำว่า รูปารมณ์ ท่านผู้ฟังจะคิดถึงแสง คิดถึงสี คิดถึงความสว่าง แต่ทำไมไม่คิดถึงสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะเห็น ซึ่งคนตาบอดไม่เห็นเพราะไม่มีจักขุปสาท เพราะฉะนั้น สำหรับคนที่มีจักขุปสาท ในขณะนี้ ลืมเรื่องแสง เรื่องสี เรื่องสว่าง เรื่องมืด ทุกอย่าง แต่ในขณะที่เห็น ใช้คำว่า เห็น เพราะวัตถุสิ่งนั้นกระทบกับ จักขุปสาท และสิ่งซึ่งสามารถกระทบจักขุปสาทแล้วปรากฏ สิ่งนั้นเป็นรูปารมณ์ ไม่ต้องคิดเรื่องของแสง สี อะไรต่อไปทั้งนั้น
ถ. ขณะที่อาโปธาตุปรากฏแก่จิตทางมโนทวาร อาโปธาตุนั้นกระทบกับผัสสะที่เกิดกับจิตดวงนั้นหรือเปล่า
สุ. ใช้คำว่า กระทบ เพราะมีผัสสเจตสิก แต่ไม่ใช่รูปที่กระทบได้และเห็นได้ ต้องแยกละเอียดไปอีก เพราะรูปทั้งหมด ๒๘ รูป รูปที่กระทบได้และเห็นได้มีรูปเดียว คือ รูปารมณ์หรือวัณโณ สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้เป็นรูปเดียวที่กระทบได้และเห็นได้ ส่วนรูปอื่นที่ปรากฏทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เป็นรูปที่กระทบได้แต่เห็นไม่ได้ นอกจากนี้ไม่ใช้คำว่า เป็นรูปที่กระทบได้อย่างสี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แต่เป็นอารมณ์ได้
เรื่องของการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก และสำหรับโลภมูลจิตที่ได้กล่าวถึงแล้ว เป็นโลภมูลจิตที่เป็น โสมนัสสสหคตัง ทิฏฐิคตสัมปยุตตัง อสังขาริกัง ๑ ดวง และสสังขาริกัง ๑ ดวง เป็นโลภะที่เกิดร่วมด้วยกับความเห็นผิดซึ่งมี ความโสมนัสยินดีในความเห็นนั้นเป็นอย่างมาก
ถ. อาจารย์ช่วยยกตัวอย่างโมหมูลจิตในชีวิตประจำวันด้วย
สุ. เคยลืมไหม เคยทำอะไรที่ในขณะนั้นนึกไม่ออกหรือจำไม่ได้บ้างไหม
ถ. เคย
สุ. ในขณะนั้นเป็นลักษณะของโมหมูลจิต ไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏนั้นคืออะไร อย่างเวลาที่นึกไม่ออก ทุกท่านก็คงเคยมี ไม่ทราบเอาของวางไว้ที่ไหน หรือ คนนั้นชื่ออะไร พยายามนึกในขณะนั้น แต่ไม่มีอารมณ์ใดๆ ปรากฏ เพราะฉะนั้น ในขณะที่อารมณ์นั้นไม่ปรากฏ ซึ่งในขณะนั้นไม่ใช่ภวังคจิต เพราะกำลังเป็นลักษณะสภาพของจิตซึ่งรู้ว่าในขณะนั้นไม่มีอารมณ์กำลังปรากฏ
ก่อนอื่นต้องแยกวิถีจิตกับวิถีมุตตจิต วิถีมุตตจิต ได้แก่ ปฏิสนธิจิต ๑ ภวังคจิต ๑ และจุติจิต ๑ ซึ่งเป็นจิตที่ไม่ได้มีอารมณ์ของโลกนี้ปรากฏเลย ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เช่น ในขณะที่นอนหลับสนิท ไม่มีอารมณ์ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ในขณะนั้นเป็นภวังค์ แต่สำหรับท่านที่ทำสมาธิ ท่านก็พยายามรวมจิตให้ดิ่งลงไปถึงความว่างที่ไม่รู้อะไรเลย หรือว่าไม่มีอะไรปรากฏเลย ในขณะนั้นไม่ใช่ภวังค์ แต่เป็นโมหมูลจิต
ถ. อุทธัจจสัมปยุตต์ หรือแล้วแต่
สุ. แล้วแต่ ถ้าในขณะนั้นลักษณะของวิจิกิจฉาเจตสิกไม่เกิดร่วมด้วย ก็ต้องเป็นอุทธัจจสัมปยุตต์
เป็นสิ่งที่เห็นได้ว่า แม้ในขณะที่ทำสมาธิ เพราะหลายท่านชอบทำสมาธิ แต่ในขณะที่ทำสมาธิและไม่รู้สึกตัว ไม่ว่ารู้อารมณ์อะไรกำลังปรากฏ หรือว่ากำลังพยายามที่จะให้ว่างไปไม่ให้มีอารมณ์อะไรปรากฏเลย ในขณะที่ไม่ใช่ภวังค์และอารมณ์ไม่ปรากฏ ขณะนั้นต้องเป็นโมหมูลจิต
ถ้าเป็นปกติธรรมดาในขณะที่ไม่ได้ทำสมาธิ ก็เป็นในขณะที่เผลอ หรือในขณะที่ไม่รู้สึกตัว หรือบางท่านอาจจะเป็นโรคบางอย่างที่ทำให้ท่านเดินออกจากบ้านไปกลางถนนโดยที่ไม่รู้สึกตัวเลยว่ากำลังทำอะไรหรืออยู่ที่ไหน บางคนอาจจะถึงกับลืมชื่อ ตัวเองไปเลย ซึ่งในขณะนั้นไม่ใช่มีแต่เฉพาะโมหมูลจิต แต่ต้องมีทั้งโลภมูลจิต โทสมูลจิต คนที่ละเมอตักน้ำ ละเมอเดินไป ละเมอทำอะไร บางคนละเมอเก็บมะม่วง ในขณะที่เก็บมะม่วงก็ต้องเป็นโลภมูลจิตใช่ไหม แต่กลับไปนอนเรียบร้อย เท้าเปรอะ เพราะที่ต้นมะม่วงมีโคลน ตื่นขึ้นมาเห็นมะม่วง เท้าเปรอะ แต่ไม่รู้ว่าทำอะไรไป ในขณะนั้นมีทั้งโลภมูลจิต หรืออาจจะมีโทสมูลจิตก็ได้ แต่โมหมูลจิตต้องเกิดคั่นสลับมากทำให้ไม่สามารถรู้สึกตัวเลย ถ้าสำหรับคนที่เป็นปกติก็คือในขณะที่หลงลืม หรือในขณะที่เผลอ
ถ. ขณะที่สติไม่ได้ระลึกรู้ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขณะที่หลงลืมสตินั้น เป็นโมหมูลจิตด้วยหรือเปล่า
สุ. ขณะที่สติไม่ได้ระลึกที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นอกุศลประเภทหนึ่งประเภทใดก็ได้ อาจจะเป็นโลภมูลจิตก็ได้ โทสมูลจิตก็ได้ หรือว่าโมหมูลจิตก็ได้
ถ. สติไม่ได้ระลึกรู้ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี้ โดยนัยแล้วจะกว้างกว่า
สุ. อาจจะเป็นกุศลขั้นทาน ขั้นศีล หรืออาจจะเป็นอกุศลประเภทหนึ่งประเภทใด คือ เป็นโลภมูลจิต หรือโทสมูลจิต หรือโมหมูลจิต หรือเป็นวิบากจิต เป็นกิริยาจิตได้ทั้งนั้น ในขณะที่ไม่ใช่มหาสติปัฏฐาน
ถ. จิตทุกดวงจะต้องมีอารมณ์ทั้งนั้น
สุ. ภวังคจิตก็มีอารมณ์ แต่ไม่รู้สึกตัว เช่น ในขณะที่นอนหลับสนิท ในขณะที่สลบ ยังไม่มีจุติจิตเกิด ในขณะที่สลบจริงๆ ตัวท่านอยู่ที่ไหน ยังมีจิต เจตสิกและรูปเกิดดับ แต่ขณะที่สลบจะไม่ปรากฏอะไรเลย จะไม่มีขันธ์ ๕ ขันธ์หนึ่งขันธ์ใดปรากฏเลย ทั้งๆ ที่ขันธ์ ๕ ทั้งนามขันธ์และรูปขันธ์กำลังเกิดดับอยู่ในขณะที่สลบเป็นภวังคจิต ถ้าจะมีวิถีจิตทางมโนทวารเกิดแทรกคั่นบ้าง ขณะนั้นก็ต้องมีการ นึกคิดถึงอารมณ์ต่างๆ แล้วแต่ลักษณะที่เกิดทางมโนทวารนั้นจะเป็นโมหมูลจิตประเภทอุทธัจจสัมปยุตต์ หรือวิจิกิจฉาสัมปยุตต์ หรือโลภมูลจิตบ้างก็ได้ แต่ถ้าประกอบด้วยโมหมูลจิตมากขณะย่อมไม่รู้สึกตัว เปรียบได้กับเวลาที่ละเมอทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือว่าเวลาที่โมหมูลจิตเกิดมาก ออกจากบ้านไป ไม่รู้เลยว่าเป็นใคร ทำอะไร ที่ไหน ต้องรักษา ต้องเข้าโรงพยาบาล อย่างนั้นก็มี
เพราะฉะนั้น เปรียบเทียบเป็นขั้นๆ ว่า ภวังคจิต อารมณ์ไม่ปรากฏเลย ท่านที่เคยเป็นลม ไม่รู้สึกตัวเลยใช่ไหม ในขณะนั้นจุติจิตยังไม่เกิด แต่เป็นภวังคจิต เพราะฉะนั้น ในขณะที่ไม่ใช่ภวังคจิต กำลังทำสมาธิ หรือกำลังคิดแต่คิดไม่ออก ขณะนั้นไม่ใช่ภวังคจิต ต่างกับขณะที่นอนหลับสนิท แต่ขณะที่คิดไม่ออกที่อารมณ์ไม่ปรากฏในขณะนั้น เป็นเพราะโมหมูลจิตอุทธัจจสัมปยุตต์
ถ. ดิฉันไม่เข้าใจที่อาจารย์กล่าวถึงลักษณะของผู้ที่ทำสมาธิว่า ทำสมาธิและมีความว่างจนไม่มีอารมณ์อะไรปรากฏ ไม่ทราบว่าเป็นลักษณะของความฟุ้งซ่านหรืออุทธัจจะได้อย่างไร ในเมื่อเป็นความว่าง
สุ. มักจะคิดกันว่า ถ้าเป็นอุทธัจจะ จะต้องฟุ้งซ่านไปในโลภะ หรือฟุ้งซ่านไปในโทสะ แต่ความฟุ้งซ่านที่ไม่เกิดร่วมกับโลภะและโทสะนั้นมี คือ โมหมูลจิต อุทธัจจสัมปยุตต์ ที่มีคำถามว่า จะสังเกตรู้ได้อย่างไรว่าขณะไหนเป็นโมหมูลจิต อุทธัจจสัมปยุตต์ ก็ได้เรียนให้ทราบแล้วว่า ในขณะที่หลงลืม หรือว่าเผลอ หรือว่า คิดอะไรไม่ออก
ถ. นั่นเป็นลักษณะของอุทธัจจะ ลักษณะของความฟุ้งซ่านด้วยหรือ
สุ. เป็นโมหมูลจิตอุทธัจจสัมปยุตต์ เพราะไม่ประกอบด้วยโลภเจตสิก หรือ โทสเจตสิก ไม่หลับ แต่ว่าไม่รู้ เพราะฉะนั้น จะเป็นอะไร ลองคิดดู ในขณะที่ไม่หลับ แต่ก็ไม่รู้ คือ ไม่มีทั้งโลภะ ไม่มีทั้งโทสะ แต่ไม่หลับ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นโมหมูลจิต
ถ. ในขณะที่ไม่หลับย่อมมีความคิดต่างๆ นานา ในขณะนั้นต้องเป็นลักษณะของความฟุ้งซ่าน ใช่ไหม
สุ. เคยหลงลืมไหม เคยเผลอไหม ขณะที่เผลอนั้นเป็นจิตประเภทไหน
ถ. เป็นโมหมูลจิตอุทธัจจสัมปยุตต์
สุ. คำตอบก็คือดวงนี้แหละ
ถ. แสดงว่าความเผลอหรือหลงลืม เป็นลักษณะหนึ่งของความฟุ้งซ่าน
สุ. เป็นอกุศล ในขณะนั้นฟุ้งซ่านจากสติสัมปชัญญะจนกระทั่งไม่รู้ลักษณะในขณะนั้นว่า อะไรกำลังปรากฏ ขณะนั้นต้องมีอุทธัจจะซึ่งเป็นลักษณะที่ไม่สงบ ทำให้เป็นสภาพที่ตรงกันข้ามกับจิตที่เป็นกุศล และถ้าความไม่สงบคือความฟุ้งซ่าน กระสับกระส่ายกระวนกระวายนั้นประกอบกับโลภะ ก็สังเกตได้จากโลภะว่า ฟุ้งไปด้วยความพอใจ ความยินดีเพลิดเพลิน ถ้าฟุ้งไปด้วยความไม่สบายใจ ความโกรธ ในขณะนั้นก็รู้ว่าเป็นความฟุ้งไปด้วยอำนาจของโทสะ เกิดร่วมกับโทสะ แต่ในขณะที่ลืม ในขณะที่คิดไม่ออก จะต้องเป็นจิตประเภทหนึ่งซึ่งไม่ใช่กุศลแน่ๆ เมื่อไม่ใช่กุศลแล้ว จะเป็นอกุศลจิตประเภทไหน
ถ. ที่อาจารย์กล่าวถึงผู้ที่ทำสมาธิและว่างลง ก็เป็นลักษณะของอุทธัจจะประเภทหนึ่ง ใช่ไหม
สุ. โมหมูลจิตต้องมีอุทธัจจเจตสิกเกิดร่วมด้วย
ถ. ไม่ใช่ความสงบ ใช่ไหม
สุ. ถ้าเป็นอกุศลแล้วไม่สงบ เพราะฉะนั้น มิจฉาสมาธิไม่ประกอบด้วยโสภณธรรม ๖ คู่ ได้แก่ กายปัสสัทธิและจิตตปัสสัทธิ เป็นต้น ดังที่ได้กล่าวถึงลักษณะของมิจฉาสมาธิแล้วว่าเพราะเหตุใดจึงเป็นมิจฉาสมาธิ ก็เพราะเหตุว่าไม่ประกอบด้วยกายปัสสัทธิและจิตตปัสสัทธิ เป็นต้น ซึ่งเป็นโสภณธรรม
เพราะฉะนั้น อย่าปนสมาธิคือเอกัคคตาเจตสิกกับปัสสัทธิ ซึ่งเป็นโสภณธรรม ซึ่งเป็นลักษณะที่สงบ
ถ. เวลาที่แพทย์จะทำการผ่าตัด แพทย์จะวางยาสลบ ระหว่างที่วางยาสลบ ผู้ถูกวางยาสลบจะเข้าสู่ภวังค์ เผอิญในช่วงนั้นการผ่าตัดผิดพลาดทำให้เสียชีวิต อยากทราบว่า ในขณะนั้นจะมีผลต่อภพที่เกิดอย่างไร
สุ. ทุกคนที่ยังไม่หมดกรรมต้องเกิด และชาติก่อนที่มาสู่ชาตินี้ก็ไม่รู้ว่า ก่อนจุติของชาติก่อนเกิดอะไรขึ้น กำลังผ่าตัดหัวใจล้มเหลวหรือเปล่า ก็ไม่ทราบได้ แต่ตราบใดที่ยังมีกรรม กรรมหนึ่งซึ่งเป็นชนกกรรม คือ กรรมที่จะทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น จะทำให้วิถีจิตเกิดทางทวารหนึ่งทวารใด อาจจะเป็นทางมโนทวารก็ได้ และแล้วแต่ว่าในขณะนั้นเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม ก็จะทำให้นิมิตเกิดขึ้น คือ อารมณ์ปรากฏ เช่น ถ้าเป็นผลของกุศลจะได้เห็นสิ่งที่ประณีต ทำให้กุศลจิตเกิด ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมอาจจะทำให้คิดถึงกรรมที่เป็นอกุศลที่ได้ทำแล้ว เป็น กรรมอารมณ์ หรืออาจจะเห็นเป็นภาพของสิ่งที่ใช้ในการทำอกุศลกรรม ก็เป็น กรรมนิมิตอารมณ์ หรืออาจจะเห็นภูมิที่จะไปเกิด เช่น อบายภูมิ ก็เป็นคตินิมิตอารมณ์ ก่อนจุติจิตจะเกิด
นี่เป็นเรื่องของกรรม ใครจะไปยับยั้งว่า ไม่ให้มีกรรมที่เป็นชนกกรรมที่จะทำให้วิถีจิตเกิดก่อนจุติไม่ได้ แม้แต่ตอนที่ปฏิสนธิจิตเกิดแล้ว ๑ ขณะและดับไป ภวังคจิตเกิดสืบต่อมา มโนทวารวิถีจิตก็เกิดโดยที่แต่ละท่านไม่รู้ตัวเลย ต้องเป็นไปตาม เหตุปัจจัยที่ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น เมื่อยังมีกรรมที่ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด ไม่ต้องห่วงเลย ไม่ว่าจะเป็นการสิ้นชีวิตลงโดยประการใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อกรรมมี กรรมที่เป็นชนกกรรมจะทำให้อารมณ์ปรากฏทางทวารหนึ่งทวารใด ถ้าเป็นอารมณ์ของ กุศลกรรม กุศลจิตก็เกิด ถ้าเป็นอารมณ์ของอกุศลกรรม อกุศลจิตก็เกิด และเมื่อ จุติจิตดับไปแล้ว ปฏิสนธิก็เกิดสืบต่อทันทีตามประเภทของชวนจิต ถ้าชวนจิตที่เกิดก่อนจุติเป็นอกุศลจิต อกุศลวิบากจิตก็ปฏิสนธิในอบายภูมิหนึ่งอบายภูมิใด
ถ. หมายความว่า ขณะที่ไม่รู้สึกตัว เวลาใกล้จะสิ้นชีวิต ขณะนั้นก็จะรู้สึกตัว ใช่ไหม
สุ. จะใช้คำว่า รู้สึกตัว ได้ไหม ตอนที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น ๑ ขณะ และภวังคจิตหลายขณะ และมโนทวารวิถีแรก รู้สึกตัวไหมตอนนั้น ยังอยู่ในครรภ์ รู้สึกตัวไหม
ถ. ไม่รู้
สุ. เพราะฉะนั้น ก่อนจะจุติก็เหมือนกัน จะใช้คำว่า รู้สึกตัว หมายความว่าอย่างไรก็แล้วแต่บุคคล ถ้าเป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์ ที่เป็นผู้ที่มีปกติเจริญ สติปัฏฐาน เวลาก่อนจุติจิตจะเกิด มหากุศลญาณสัมปยุตต์ก็เกิดได้
อย่างบางท่านถามว่า ก่อนสิ้นชีวิตกระทบแข็งจะมีประโยชน์อะไร ถ้ากระทบแข็งแล้วปัญญาไม่เกิด คือ ไม่ระลึกรู้ว่าเป็นแต่เพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ไม่มีเรา ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดในแข็งนั้นเลย ถ้าไม่รู้อย่างนี้ ขณะนั้นเป็นเราที่กำลังรู้แข็ง ก็เป็นอกุศลจิต แต่ถ้าเป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน ก่อนสิ้นชีวิตมีแข็งเป็นอารมณ์ และระลึกรู้ว่าเป็นแต่เพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่งเท่านั้น ในขณะนั้นก็รู้สึกตัว เป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์
เพราะฉะนั้น การจะรู้สึกตัวหรือไม่รู้สึกตัว ก็แล้วแต่บุคคล แล้วแต่สภาพของจิตในขณะนั้น จะเตรียมตัวไหม เพราะอยากจะเตรียมกันเสียจริงๆ แต่ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ถ้าเพียงแต่จะเตรียมตอนนั้น แต่การเตรียม คือ เตรียมทุกขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ที่จะเจริญกุศลไปเรื่อยๆ