แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1355
ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษา มหามกุฏราชวิทยาลัย
วันอาทิตย์ที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๒๗
ถ. คำว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน บังคับไม่ได้ เวลาที่เราถวายทาน พระท่านอนุโมทนาทาน สิ่งใดที่ปรารถนาที่ต้องการขอจงสำเร็จ เราก็พยายามภาวนาในใจตัวเองเป็นอาจิณเลยว่า ขอให้คิดและทำแต่สิ่งที่ดีที่ชอบ เพื่อให้เกิดศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ อโลภะ อโทสะ แต่ทำอย่างไรจึงจะเกิดความสำเร็จได้ ในเมื่อกล่าวว่า ธรรมทั้งหลายไม่เที่ยง ไม่เป็นตัวตน บังคับไม่ได้
สุ. ปัญญาต้องค่อยๆ เจริญขึ้น มีหนทางเดียว ไม่มีปัญญาวิเศษซึ่งโตทันที แต่ต้องอบรมเจริญจากความไม่รู้ โดยขั้นการฟังให้เข้าใจขึ้น เมื่อเข้าใจถูกต้องแล้ว สัมมาสติจะระลึกตรงลักษณะสภาพธรรมตามที่เข้าใจ และปัญญาจะค่อยๆ รู้ลักษณะของสิ่งนั้น จนกว่าจะรู้ชัด จนกว่าจะประจักษ์แจ้ง พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า มีหนทางเดียว คือ เจริญสติปัฏฐาน
ถ. เมื่อธรรมทั้งหลายเราบังคับไม่ได้ แต่เราตั้งใจขอพร บังคับตัวเองว่า ขอให้คิดและทำแต่สิ่งที่ดีที่ชอบ ให้เกิดศรัทธา สติ เหล่านี้ จะเกิดขึ้นได้ไหม
สุ. เกิดขึ้นได้โดยขั้นการฟังก่อน จากสิ่งที่ไม่เคยได้ฟัง จากการที่ไม่เคยสนใจจะฟังเป็นการสนใจขึ้น และฟังเพิ่มขึ้น และในขณะที่ฟัง ประโยชน์ คือ เข้าใจ เพราะฉะนั้น การฟังครั้งหนึ่งๆ ก็เพื่อจะได้ตรวจสอบว่า เข้าใจเพิ่มขึ้นหรือเปล่า ถ้าเข้าใจเพิ่มขึ้น นั่นคือประโยชน์ของการฟัง แต่ถ้ากำลังฟัง ไม่สนใจเรื่องความเข้าใจเพิ่มขึ้น แต่ขอ ก็ไม่มีโอกาสที่จะสำเร็จได้
ถ. จะขัดกับคำว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตาหรือไม่
สุ. ขณะนั้นเป็นจิตที่เกิดขึ้นคิดนึกอย่างนั้นและดับไป เป็นอนัตตา ไม่มีอะไรเลยที่จะเป็นอัตตา สัพเพ ธัมมา อนัตตา เปลี่ยนไม่ได้ ขณะนี้ไม่ได้คิดอย่างนั้นแล้วใช่ไหม อนัตตาหรือยัง การคิดแต่ละคำก็ดับไป ที่กำลังพูดแต่ละคำก็มีปัจจัย ปรุงแต่งให้คิดให้พูดคำนั้นๆ และก็ดับ
อารมณ์มี ๖ คือ รูปารมณ์ สัททารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ และธัมมารมณ์
ทวาร คือ ทางที่จะรู้อารมณ์ มี ๖ คือ จักขุทวาร โสตทวาร ฆานทวาร ชิวหาทวาร กายทวาร และมโนทวาร
มโนทวารวิถีจิต รู้อารมณ์ได้กี่อารมณ์
มโนทวารวิถีจิตรู้อารมณ์ได้ ๖ อารมณ์ คือ รู้ได้ทั้งรูปารมณ์ สัททารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ และธัมมารมณ์ด้วย เพราะเมื่อจักขุทวารวิถีจิตรู้อารมณ์ทางตาดับไป ภวังคจิตเกิดคั่นแล้ว มโนทวารวิถีจิตรู้รูปารมณ์สืบต่อจาก จักขุทวารวิถีจิต เพราะฉะนั้น มโนทวารวิถีจิตรู้อารมณ์ได้ทั้ง ๖ อารมณ์
จิตรู้รูปารมณ์ได้กี่ทวาร
๒ ทวาร คือ ทางจักขุทวาร และทางมโนทวารด้วย คือ เมื่อจักขุทวารวิถีจิตดับไป ภวังคจิตเกิดคั่นแล้ว มโนทวารวิถีจิตรู้รูปารมณ์นั้นต่อ เพราะฉะนั้น จิตรู้ รูปารมณ์ได้ ๒ ทวาร
จิตรู้สัททารมณ์ได้กี่ทวาร ๒ ทวาร
จิตรู้คันธารมณ์ได้กี่ทวาร ๒ ทวาร
จิตรู้รสารมณ์ได้กี่ทวาร ๒ ทวาร
จิตรู้โผฏฐัพพารมณ์ได้กี่ทวาร ๒ ทวาร
จิตรู้ธัมมารมณ์ได้กี่ทวาร ทวารเดียว คือ เฉพาะทางมโนทวารเท่านั้น
มโนทวารวิถีจิตรู้อารมณ์ได้กี่อารมณ์ ๖ อารมณ์
ธัมมารมณ์รู้ได้กี่ทวาร ทวารเดียว
ที่กล่าวถึงอารมณ์ทั้ง ๖ ทางทวารทั้ง ๖ จุดประสงค์ คือ เพื่อให้สติระลึกได้ถูกต้อง แยกสภาพของปรมัตถธรรมออกจากบัญญัติเท่านั้นเอง ในการศึกษาเรื่องของอารมณ์ที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
สำหรับโลภมูลจิตทิฏฐิคตวิปปยุตต์ ไม่มีทิฏฐิเจตสิกเกิดร่วมด้วย จะเห็นได้ว่า สภาพที่มีความติด ความพอใจในอารมณ์ทุกอย่างทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แม้ว่าจะเป็นโลภมูลจิตทิฏฐิคตวิปปยุตต์ คือ ไม่มีทิฏฐิเจตสิก ไม่มีมิจฉาทิฏฐิเกิดร่วมด้วยก็จริง แต่ยังเป็นปัจจัยให้อกุศลเจตสิกอีกประเภทหนึ่ง เกิดร่วมด้วยได้ อกุศลเจตสิกที่เกิดร่วมกับโลภมูลจิตทิฏฐิคตวิปปยุตต์ได้ คือ มานเจตสิก
ทุกคนมี ไม่ทราบว่าเห็นมานะที่มีอยู่ละเอียดแค่ไหน หรืออาจจะไม่ได้พิจารณาเลย หรือบางท่านอาจจะคิดว่ามีมานะแล้วดี แต่ความจริงมานะเป็นสภาพธรรมที่เป็นอกุศลธรรม ผู้ที่ไม่มีมานะเลย คือ พระอริยบุคคลขั้นพระอรหันต์ประเภทเดียว
เพราะฉะนั้น ผู้ที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ ถึงแม้ว่ายังมีมานะอยู่ก็จริง แต่การเข้าใจเรื่องของมานะ และเห็นความน่ารังเกียจของมานะ จะเป็นปัจจัยทำให้สะสมกุศลเพิ่มขึ้น เพื่อที่จะลด คลายการสะสมของมานะให้เบาบางลงบ้าง
อัฏฐสาลินี จิตตุปปาทกัณฑ์ พรรณนาอกุศลบทภาชนียะ ข้อ ๔๐๐ แสดงลักษณะของมานะว่า
ที่ชื่อว่ามานะ ด้วยอรรถว่าถือตน สำคัญตน
ในวันหนึ่งๆ มีบ้างไหม มีแน่ๆ มากบ้าง น้อยบ้าง บ่อยบ้าง ไม่บ่อยบ้าง แรงบ้าง อ่อนบ้างเท่านั้นเอง แต่ยังต้องมีอยู่
มานะนั้น
อุณณติลักขโณ มีการทะนงตนเป็นลักษณะ
สัมปัคคหรโส มีการยกย่องสัมปยุตตธรรมเป็นรสะ คือ เห็นว่าตนสำคัญ
เกตุกัมยตาปัจจุปัฏฐาโน มีความต้องการเป็นเหมือนธงเป็นอาการปรากฏ
ทิฏฐิวิปปยุตตโลภปทัฏฐาโน มีโลภวิปปยุตต์จากทิฏฐิ คือ ไม่ประกอบด้วย ทิฏฐิเจตสิก เป็นเหตุใกล้ให้เกิด
มานะนั้นพึงเห็นเหมือนความบ้าแล
นี่คือข้อความใน อัฏฐสาลินี
ทำไมในอัฏฐสาลินีจึงแสดงว่า มานะนั้นพึงเห็นเหมือนความบ้าแล เพราะสภาพธรรมทุกขณะไม่มีอะไรเลยที่ยั่งยืน อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะที่สั้นที่สุดและดับไป แต่ยังสามารถที่จะสำคัญในลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ว่าเป็นตน หรือ มีความทะนง มีความสำคัญตนได้ในสภาพของสัมปยุตตธรรมซึ่งอาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้น จะไม่พึงเห็นเหมือนความบ้าได้ไหม
ไม่มีอะไรเลย ทุกขณะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยและดับหมดสิ้น สูญไปเลยจริงๆ ทุกอย่าง แต่ก็ยังเป็นเหตุให้เกิดความสำคัญตนได้
ข้อความใน โมหวิจเฉทนี ข้อ ๑๖ กล่าวถึงเรื่องอายตนะ ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ประชุมกันทำให้เกิดสภาพรู้ คือ จิต เกิดขึ้นรู้อารมณ์ต่างๆ ทางทวารทั้ง ๖
ข้อความมีว่า
ก็ธรรมทั้งหมดนั้น คือ อายตนะ พึงเห็นโดยความเป็นธรรม ไม่มีภพเป็นที่มา และภพเป็นที่ออกไป
คือ ไม่ได้มาจากภพหนึ่งภพใด และไม่ได้ไปสู่ภพหนึ่งภพใดเลย
แท้จริงอายตนะเหล่านั้น มิได้มาแต่ที่ไหนๆ ในกาลก่อนแต่ความตั้งขึ้น แม้เบื้องหน้าแต่ความเสื่อมไปก็ไม่ไปในที่ไหนๆ เป็นธรรมชาติมีสภาวะอันใครๆ ไม่ได้แล้วในกาลก่อนแต่ความตั้งขึ้น เป็นธรรมชาติมีสภาวะอันแตกรอบแล้วเบื้องหน้าแต่ความเสื่อมไป เป็นธรรมชาติชื่อว่าไม่มีอำนาจเป็นไปอยู่ เพราะมีความเป็นไปเนื่องด้วยปัจจัย
นี่คือข้อความใน โมหวิจเฉทนี ซึ่งควรที่จะได้พิจารณาตามความเป็นจริงที่ว่า แท้จริงอายตนะเหล่านั้น มิได้มาแต่ที่ไหนๆ
โสตปสาทรูป เป็นปัจจัยให้การได้ยินเกิดขึ้นเพราะเสียงกระทบกับโสตปสาทรูป เสียงเกิดขึ้นเป็นอายตนะหนึ่ง คือ สัททายตนะ ไม่ได้มาแต่ที่ไหนๆ ในกาลก่อน แต่ความตั้งขึ้น
ก่อนที่เสียงจะเกิดขึ้น เสียงไม่ได้อยู่ที่หนึ่งที่ใดแล้วมา แต่ว่ามีปัจจัยปรุงแต่งเสียงจึงเกิดขึ้น โสตปสาทก็ไม่ได้มาจากภพหนึ่งภพใด หรือที่หนึ่งที่ใด แต่มีเหตุ คือกรรมเป็นปัจจัยทำให้โสตปสาทรูปเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น เพียงการประชุมซึ่งเป็นที่เกิดของโสตวิญญาณที่ได้ยิน มีโสตปสาทรูป และสัททารมณ์ คือ เสียง ซึ่งเพียงแต่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยกระทบกันและดับไปอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้น แม้เบื้องหน้าแต่ความเสื่อมไปก็ไม่ไปในที่ไหนๆ คือ เวลาที่โสตปสาทดับ เสียงดับ ก็ไม่ได้ไปสู่ที่ไหนๆ เลย
เป็นธรรมชาติมีสภาวะอันใครๆ ไม่ได้แล้วในกาลก่อนแต่ความตั้งขึ้น
ก่อนที่เสียงจะเกิดขึ้น ก่อนที่โสตปสาทจะเกิดขึ้น ก่อนที่จิตได้ยินในขณะนั้นจะเกิดขึ้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้อยู่ที่ไหน ไม่มีเลย และทันทีที่ดับไปแล้ว เป็นธรรมชาติมีสภาวะอันแตกรอบแล้วเบื้องหน้าแต่ความเสื่อมไป และไม่ไปสู่ภพไหนทั้งสิ้น
และ เป็นธรรมชาติที่ชื่อว่าไม่มีอำนาจเป็นไปอยู่ เพราะมีความเป็นไปเนื่องด้วยปัจจัย
เสียงไม่มีอำนาจที่จะเกิดขึ้นตามความต้องการ หรือโสตปสาทก็ไม่มีอำนาจ ที่จะให้ไม่ดับไป เพราะสภาวธรรมทั้งหมด ชื่อว่าไม่มีอำนาจเป็นไปอยู่ เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เป็นไปเนื่องด้วยปัจจัย
ถ. อาจารย์กล่าวว่า คนที่มีมานะไม่ดี ไม่ถูกต้อง และในอรรถกถากล่าวว่า เป็นบ้า ที่ว่าความถือตน มีมานะ เป็นสิ่งที่ไม่ดี
สุ. พึงเห็นเหมือนความบ้า
ถ. ที่ตัวเองประสบมา ก่อนที่จะมาประกอบอาชีพส่วนตัว ทุกคนก็บอกว่า ทำไม่ได้หรอกอาชีพนี้ ไม่ควรทำ ให้ระงับเสีย พร้อมทั้งพูดจาสบประมาท เมื่อมีคน มาสบประมาทว่า ทำไม่ได้หรอกอาชีพนี้ จึงเกิดมีมานะว่า ต้องทำขึ้นมาเพื่อลบล้าง คำสบประมาท ดังนั้นจึงมีมานะ พยายามลบล้างคำสบประมาทให้ได้ ซึ่งบัดนี้ก็ทำได้สำเร็จ ข้อนี้ไม่ทราบว่าจะถูกหรือผิดประการใด
สุ. มีความขยันไหม หรือมีแต่มานะ
ถ. มีความขยันด้วย
สุ. ขณะที่มีมานะ นั่นตอนหนึ่ง แต่ในขณะที่พากเพียรขยันที่จะทำการงานให้สำเร็จ ก็เป็นอีกตอนหนึ่ง แต่แสดงให้เห็นได้ว่า มานะยังไม่ได้ดับ แม้ในขณะที่กำลังเพียรประกอบกิจการงาน ก็ยังมีมานะเกิดขึ้นได้ แต่ไม่ใช่มีแต่มานะอย่างเดียว ต้องมีความขยันหมั่นเพียรด้วย ต้องมีความสามารถด้วย
ถ. จึงไม่สามารถที่จะกล่าวว่า เราได้ดีเพราะมานะ ใช่ไหม
สุ. อกุศลธรรมทั้งหมด ไม่เป็นเหตุให้เกิดความสุข ต้องแยกกัน
ถ. หมายความว่า มีมานะจริง แต่ก็มีความพากเพียรด้วย
สุ. แน่นอน สิ่งที่สำเร็จ สำเร็จเพราะความพากเพียร สำเร็จเพราะความสามารถ
ถ. แต่มานะ เป็นตัวกระตุ้นได้ไหม
สุ. มานะเกิดและดับ ขณะที่มานะเกิดขึ้นก็เป็นขณะหนึ่ง ขณะที่พากเพียรทำการงาน ตลอดเวลาที่ได้รับความสำเร็จ เป็นมานะตลอด หรือว่าบางขณะก็ไม่มีมานะเหมือนกัน
ถ. แต่คิดว่า ขณะที่ทำงานทุกครั้ง ทำด้วยความมานะ
สุ. เวลาที่ทำงานเพลิน ลืมมานะบ้างไหม
ถ. ลืม
สุ. แสดงว่ามานะไม่ได้เกิดตลอดเวลา ถ้าเอามานะออกไป มีแต่เพียงความพากเพียรและความสามารถ จะดีกว่าเราเก่งไหม
ถ. ก็ไม่ได้คิดว่าเราเก่ง เป็นแต่เพียงคิดว่า...
สุ. ขณะนี้เก่งหรือยัง ได้รับความสำเร็จอย่างนี้ เก่งหรือยัง ตามความ เป็นจริง ถ้าไม่เก่งจะได้รับความสำเร็จอย่างนี้ไหม เราด้วยที่เก่ง
ถ. แต่ตอนที่ทำไม่ได้คิดว่าเราเก่ง แต่คิดว่า ทำอย่างไรจึงจะลบล้าง คำปรามาส ต้องมีมานะทำให้ได้ จึงคิดว่า ที่ได้ดีเพราะมีมานะ
สุ. แต่ถึงแม้ไม่มีมานะในเรื่องนั้น เราก็ต้องมีมานะในเรื่องอื่นแน่ๆ
ถ. เพราะฉะนั้น ที่ประสบความสำเร็จมานี้ มีทั้งมานะและความเพียร ใช่ไหม
สุ. ใช่ ยังอยากจะมีมานะ หรือยังอยากจะให้ใครกล่าวอย่างนั้นเพื่อที่มานะจะเพิ่มขึ้นหรือเปล่า หรือว่าพอแล้ว ไม่ต้องกล่าวอย่างนั้นอีก เพราะถึงแม้ไม่มีใครมาส่งเสริมมานะ มานะของตนเองก็มีมากจริงๆ ถ้าสังเกตจะรู้ได้ว่า ลักษณะของการ ถือตัว หรือความสำคัญตน ไม่ใช่มีแต่เฉพาะเวลาคนอื่นสบประมาท แต่มีอยู่เป็นประจำ เมื่อมีขันธ์ทั้ง ๕ เกิดขึ้น และมีบัญญัติสมมติต่างๆ ก็เป็นปัจจัยที่จะให้เกิดมานะต่างๆ ด้วย
อัฏฐสาลินี นิกเขปกัณฑ์ ทุกนิกเขปกถา พระบาลีนิทเทสมานสัญโยชน์ ข้อ ๑๑๒๑ มีข้อความที่กล่าวถึงมานสัญโยชน์
สัญโยชน์ คือ สภาพธรรมที่ผูกร้อย ดึงไว้ ถึงแม้ว่าจะไปสู่ภพอื่นภูมิอื่นแล้ว ก็ยังนำกลับมาสู่ภพนี้อีก ถ้าเป็นกามราคสัญโยชน์ คือ ความยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะที่ยังไม่ได้ดับเป็นสมุจเฉท และมานะก็เป็นสัญโยชน์ อย่างหนึ่ง
ข้อความใน มานสัญโยชน์ มีว่า
มานสัญโยชน์ เป็นไฉน
การถือตัวว่าเราดีกว่าเขา เสยยมานะ
การถือตัวว่าเราเสมอกับเขา สทิสมานะ
การถือตัวว่าเราด้อยกว่าเขา หีนมานะ
สำหรับคนหนึ่งๆ ย่อมเกิดมานะได้ ๓ อย่าง
เสยยมานะ คือ มานะว่าเราดีกว่าเขา เลิศกว่าเขา สำหรับคนที่ดีกว่าจริงๆ ก็เป็นการถือตัวตามความเป็นจริง แต่ถ้าเป็นคนที่เลิศ และถือตัวว่าเสมอกับคนอื่น ก็เป็นการถือตัวที่ไม่ใช่ตามความเป็นจริง สำหรับคนที่เลิศ แต่ถือตัวว่าด้อยหรือต่ำกว่าคนอื่น ก็เป็นการถือตัวไม่ใช่ตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น มานะมีมากมายหลายอย่าง ถ้ามีการเป็นเราและเขา หรือว่ามีการเปรียบเทียบในวัตถุของมานะ ซึ่งได้แก่ ชาติสกุล หรือว่ารูปร่างหน้าตา หรือว่าฐานะความเป็นอยู่ หรือว่าความรู้ หรือว่าหน้าที่การงาน หรือว่าทรัพย์สมบัติ