แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1408

ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษา มหามกุฏราชวิทยาลัย

วันอาทิตย์ที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๘


สังยุตตนิกาย นิทานวรรค หีนาธิมุตติสูตร ข้อ ๓๖๔ มีข้อความว่า

พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายย่อมคบค้า ย่อมสมาคมกันโดยธาตุเทียว คือ สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว ย่อมคบค้า ย่อมสมาคมกันกับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี ย่อมคบค้า ย่อมสมาคมกันกับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี

แม้ในอดีตกาล สัตว์ทั้งหลายก็ได้คบค้ากันแล้ว ได้สมาคมกันแล้วโดย ธาตุเทียว คือ สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว ได้คบค้ากันแล้ว ได้สมาคมกันแล้วกับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี ได้คบค้ากันแล้ว ได้สมาคมกันแล้วกับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี

แม้ในอนาคตกาล สัตว์ทั้งหลายก็จักคบค้ากัน จักสมาคมกันโดยธาตุเทียว คือ สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว จักคบค้ากัน จักสมาคมกันกับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี จักคบค้ากัน จักสมาคมกันกับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี

แม้ในปัจจุบันกาล สัตว์ทั้งหลายก็ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกันโดยธาตุเทียว คือ สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกันกับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกันกับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี ฯ

การคบหาสมาคมเป็นไปตามธาตุ คือ จะพอใจคบกับบุคคลใดก็เป็นไปตามธาตุ ถ้าเป็นผู้ที่มีความเห็นผิด ก็จะคบหาสมาคมกันกับผู้ที่มีความเห็นผิด เพราะฉะนั้น การคบหาสมาคมเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะทำให้กุศลธรรมเจริญ หรือ อกุศลธรรมเจริญ จะทำให้ความเห็นผิดเจริญ หรือจะทำให้ความเห็นถูกเจริญ จะทำให้ปัญญาเจริญ หรือจะทำให้อวิชชาเจริญ

สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ข้อ ๓๕๗

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย บุรุษวางคบหญ้าที่ไฟติดแล้วในป่าหญ้าแห้ง ถ้าหากเขาไม่รีบดับด้วยมือและเท้าไซร้ ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ สัตว์มีชีวิตทั้งหลาย บรรดาที่อาศัยหญ้าและไม้อยู่ พึงถึงความพินาศ แม้ฉันใด ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์ คนใดคนหนึ่ง ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่รีบละ ไม่รีบบรรเทา ไม่รีบทำให้สิ้นสุด ไม่รีบทำให้ไม่มีซึ่งอกุศลสัญญาที่ก่อกวนอันบังเกิดขึ้นแล้ว สมณะหรือพราหมณ์นั้นย่อมอยู่เป็นทุกข์ มีความอึดอัด คับแค้น เร่าร้อนในปัจจุบัน เบื้องหน้าแต่มรณะเพราะกายแตก พึงหวังทุคติได้ ฯ

เป็นการเตือนให้ทุกคนเร่งรีบละหรือบรรเทาอกุศล อุปมาเหมือนกับคนที่วาง คบหญ้าที่ไฟติดแล้วในป่าหญ้าแห้ง ให้คิดถึงสภาพของอกุศลที่จะเจริญขึ้นเหมือน กองไฟที่จะเจริญขึ้นเมื่อเอาคบไฟที่ติดไฟวางไว้บนหญ้าแห้ง เพราะฉะนั้น ควรศึกษาธรรมเพื่อพิจารณาลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จนกว่าจะละคลายความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้

. บุคคลที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แบ่งเป็น ๔ จำพวก คือ อุคฆฏิตัญญู วิปัญจิตัญญู เนยยบุคคล และปทปรมะ ผู้ที่เป็น ปทปรมะ รู้แจ้งไม่ได้ หมายความถึงพวกนอกศาสนาด้วยหรือเปล่า

สุ. ไม่ว่าใครที่ไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมในชาตินี้ เป็นปทปรมบุคคล

. แม้แต่พวกเดียรถีย์ พวกนอกศาสนาทั้งหมด

สุ. ใครก็ตาม แม้แต่ผู้ฟังพระธรรมมาก ศึกษาพระธรรมมาก พิจารณา พระธรรมมาก แสดงพระธรรมมาก พากเพียรที่จะอบรมเจริญสติปัฏฐาน แต่ไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรมในชาตินี้ ก็เป็นปทปรมบุคคล

ผู้ที่เป็นเนยยบุคคล คือ ผู้ที่ได้ฟังพระธรรม และพิจารณา ศึกษา ใคร่ครวญ อบรมเจริญสติปัฏฐานเป็นเวลานานกว่าจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ แต่สามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมในชาตินี้ได้ จึงเป็นเนยยบุคคล

แต่ถึงแม้จะฟัง พิจารณา และเข้าใจ แต่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามที่ได้ฟัง หรือตามที่ได้พิจารณา ตามที่ได้เข้าใจ ก็ยังไม่เป็นเนยยบุคคล เป็นผู้ที่สะสม ในการฟัง ในการพิจารณา มีเหตุมีปัจจัยให้สติระลึกได้ แต่เมื่อยังไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรม ก็ไม่ใช่เนยยบุคคล

เพราะฉะนั้น การรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นสิ่งที่ยากจริงๆ แต่สามารถพิจารณาจนกระทั่งสติระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และรู้ลักษณะของ สภาพธรรมได้เพิ่มขึ้น แม้ว่าจะค่อยๆ เป็นไปทีละเล็กทีละน้อย เช่น ในเรื่องของ ทางตาที่กำลังเห็น ทางหูที่กำลังได้ยิน และทางใจที่กำลังคิดนึกในขณะนี้ ควรที่สติจะระลึกได้จริงๆ หลังจากที่ได้ฟังมานานในเรื่องของนามธรรมซึ่งเป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ ที่กำลังเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา และลักษณะของสภาพรู้ ธาตุรู้ที่กำลังได้ยินเสียง ที่กำลังปรากฏทางหู

เมื่อได้ศึกษาวิถีจิตทางตา วิถีจิตทางใจซึ่งเป็นมโนทวารวิถี และ วิถีจิตทางหูซึ่งเป็นโสตทวารวิถีแล้ว จะเห็นความห่างไกลกันของจักขุวิญญาณซึ่งกำลังเห็น และโสตวิญญาณซึ่งกำลังได้ยิน

เพราะฉะนั้น ในขณะนี้เอง ขอให้พิจารณาให้เข้าจริงๆ ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาห่างหรือต่างกับเสียงและได้ยินที่กำลังได้ยินทางหู ในขั้นของความเข้าใจ และในขั้นที่กำลังระลึกขณะนี้ อาจจะระลึกทางตา และอาจจะระลึกทางหู จะเห็นได้ว่า คนละขณะจริงๆ พร้อมกันไม่ได้ เมื่อระลึกทางตานิดหนึ่ง ก็ผ่านไป และระลึก ทางหู ก็ยังเห็นได้ว่าห่างกันจริงๆ เพราะว่าไม่สามารถจะให้ต่อเนื่องกันได้

แต่แม้อย่างนั้น ในระหว่างจักขุทวารวิถีและโสตทวารวิถี มีภวังคจิตเกิดคั่น หลังจากที่จักขุทวารวิถีจิตดับ เมื่อภวังคจิตเกิดคั่นแล้ว มโนทวารวิถีจิตยังเกิดคั่นอีกหลายวาระโดยที่มีภวังคจิตคั่น และจึงจะเป็นโสตทวารวิถีได้

เพราะฉะนั้น ประโยชน์ของการศึกษาเรื่องวิถีจิต เพื่อให้เข้าใจว่า สภาพธรรมที่กำลังปรากฏเสมือนพร้อมกัน แท้จริงแล้วเป็นสภาพธรรมที่เกิดต่างขณะกันมาก ซึ่งสติสามารถระลึกจนกว่าจะแยกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเสมือนพร้อมกันนี้ออกได้

. สภาพรู้ ธาตุรู้ อาการรู้ ทั้ง ๖ ทาง อาจารย์ได้พูดมามากแล้ว ฟังก็มาก อ่านก็มาก แต่ผู้ที่ยังไม่ได้ประจักษ์ คงจะพูดไม่ได้เหมือนอย่างผู้ที่ประจักษ์ อาการรู้ สภาพรู้ ธาตุรู้นี้ อาจารย์ช่วยให้ข้อสังเกตหรืออะไรซึ่งคงจะไม่ใช่เป็นวิธี เพื่อที่จะให้ชัดขึ้น

สุ. เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ถ้าสติไม่ระลึก ไม่สามารถแยกจากสิ่งที่เป็นรูปที่กำลังปรากฏได้ เช่น ทางตาในขณะนี้ มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาแน่นอน และย่อมมีธาตุรู้ สภาพรู้ที่กำลังรู้สิ่งที่ปรากฏทางตาแน่นอน

โดยการศึกษารู้จริงๆ ว่าเป็นอย่างนั้น แต่เมื่อไรจะรู้จริงๆ ว่าเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ต้องเพราะสติเกิด ไม่หลงลืมที่จะน้อมพิจารณาว่า ขณะนี้มีสภาพรู้ จริงๆ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏ เป็นแต่เพียงธาตุชนิดหนึ่ง เมื่อเป็นสิ่งซึ่งไม่ใช่รูปร่างสัณฐานต่างๆ จึงเป็นแต่เพียงอาการรู้หรือลักษณะรู้เท่านั้นเอง ต้องระลึกไปเรื่อยๆ เท่านั้น และจะเห็นได้ว่า ที่ไม่สามารถรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาหรือสภาพรู้ที่กำลังเห็น สิ่งที่ปรากฏทางตา ต่างกับขณะที่กำลังได้ยินเสียง เพราะว่ามีมโนทวารวิถีจิต และภวังคจิตคั่นอยู่มากหลายวาระ

ทุกคนศึกษาเรื่องมโนทวารวิถีก็เข้าใจว่า เมื่อจักขุทวารวิถีดับ ภวังคจิตเกิดคั่น มโนทวารวิถีจิตเกิดรับรู้รูปารมณ์หรือสิ่งที่ปรากฏทางตาต่อวาระหนึ่ง ภวังคจิตเกิดคั่น และมโนทวารวิถีจิตก็เกิดอีกเพื่อจะรู้ถึงรูปร่างลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาว่าเป็นสิ่งใด แสดงให้เห็นว่า มีจิตหลายขณะที่เป็นมโนทวารวิถีซึ่งดูเสมือนหลบซ่อนอยู่ เพราะไม่ปรากฏทางตาเลย ในเมื่อทางตาก็เห็นติดต่อกันไป และทางหูก็ยังได้ยินสลับกันไปด้วย เพราะฉะนั้น มโนทวารวิถีจึงดูเสมือนว่าหลบซ่อนอยู่ แต่ที่จะรู้ว่า ขณะที่เห็นต่างกับขณะที่ได้ยิน และขณะที่เป็นทางทวารอื่น เช่น ขณะที่ได้กลิ่น ขณะที่ลิ้มรส ขณะที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสจริงๆ ก็ต่อเมื่อมโนทวารวิถีปรากฏ จึงแสดงว่า ลักษณะของรูปที่ปรากฏในขณะนี้ ไม่ใช่ในขณะเดียวกัน

เพราะฉะนั้น เมื่อระลึกลักษณะของนามธรรมจนกระทั่งรู้ในสภาพที่เป็น นามธรรม มโนทวารวิถีจึงรู้ลักษณะของนามธรรมนั้น และปรากฏลักษณะของ มโนทวารวิถีได้ เพราะว่านามธรรมไม่สามารถรู้ได้ทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย

เวลาที่กระทบสัมผัส มีลักษณะที่แข็งหรืออ่อนเป็นสิ่งที่ปรากฏทางกาย แต่สภาพรู้ไม่ใช่แข็งหรืออ่อน เพราะฉะนั้น การประจักษ์ลักษณะของธาตุรู้หรือเข้าใจลักษณะอาการของธาตุรู้ หรือธาตุรู้จะปรากฏได้จริงๆ ก็ต่อเมื่อเป็นวิถีทางมโนทวาร

มโนทวารวิถีปรากฏเมื่อไร ลักษณะของธาตุรู้ก็ปรากฏเมื่อนั้น เพราะการที่จะรู้ธาตุรู้ได้ ต้องเป็นโดยทางมโนทวารวิถี

. ที่อาจารย์พูด ทำให้เพิ่มความเข้าใจ สภาพรู้ คือ ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏ ทางตา คำพูดนี้ทำให้เกิดความเข้าใจเพิ่มขึ้น ถ้าได้ฟังมากขึ้นในเรื่องอย่างนี้ คงจะเป็นเหตุเป็นปัจจัยอย่างที่อาจารย์ว่า ต้องอบรมอีก อบรมไปเรื่อยๆ ที่พูดแต่ละครั้งก็เพิ่มความเข้าใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ประจักษ์แล้ว

สุ. ต้องเป็นการอบรมด้วยความอดทนจริงๆ และต้องรู้ว่า ไม่พ้นจาก ทางตาที่กำลังเห็น ทางหูที่กำลังได้ยิน ทางจมูกที่กำลังได้กลิ่น ทางลิ้นที่กำลังลิ้มรส ทางกายที่กำลังกระทบสัมผัสในขณะนี้ ทางใจที่กำลังคิดนึก ไม่ว่าจะเป็นพระธรรม ทั้ง ๓ ปิฎก หรืออรรถกถาก็ตาม ก็เพื่อเกื้อกูลให้สติระลึกและศึกษา รู้ลักษณะของ สิ่งที่กำลังปรากฏ

แม้แต่ในการที่จะศึกษาเรื่องของอกุศลจิต ๑๒ ดวง โลภมูลจิต ๘ ดวง โทสมูลจิต ๒ ดวง มีอกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไร ก็จะต้องเพื่อให้ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และรู้ในสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลนั่นเอง

เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจจุดประสงค์จริงๆ ว่า เพื่อให้สติระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และรู้ตามความเป็นจริง

ถ. ข้อความใน สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ที่ว่า อานาปานสติสมาธิ สติปัฏฐาน ๔ ที่เจริญดีแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นประโยชน์ ทำให้โพชฌงค์ ๗ บริบูรณ์ อานาปานสติสมาธิที่ว่านี้ จะต่างกับอานาปานสติในมหาสติปัฏฐานอย่างไร

สุ. ถ้าเป็นอานาปานสติสมาธิซึ่งเป็นสมถภาวนาอย่างเดียว สามารถทำให้บรรลุถึงอัปปนาสมาธิขั้นปัญจมฌานได้ แต่ไม่สามารถดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท จนกว่าสติปัฏฐานจะเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ และละคลายความเป็นตัวตน

เพราะว่าผู้ที่อบรมเจริญอานาปานสติสมาธิโดยนัยของสมถภาวนา มีความเป็นเราที่ได้ถึงปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ปัญจมฌาน ไม่สามารถเห็นความเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้นได้ เพราะฉะนั้น ถ้าโดยนัยนั้น ไม่ได้มีอานิสงส์มาก ไม่ได้มีผลมากเหมือนกับเป็นผู้ที่มีปกติเจริญ สติปัฏฐาน แม้สติระลึกที่ลมหายใจ ก็ยังสามารถประจักษ์ความเกิดขึ้นและดับไปของลมหายใจได้

. แต่ในที่นั้นใช้ศัพท์ว่า อานาปานสติสมาธิที่เจริญให้มากแล้ว ทำให้มากแล้ว

สุ. เจริญให้มากแล้ว ทำให้มากแล้ว โดยสติปัฏฐาน

. ไม่ใช่สมาธิล้วนๆ ใช่ไหม

สุ. แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นสมถภาวนาประเภทใดก็ตาม ถ้าไม่ใช่เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน ไม่ทำให้มีอานิสงส์มากหรือมีผลมาก เพราะว่าไม่สามารถดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท

เพราะฉะนั้น การศึกษาพระธรรมต้องสอดคล้องและเกื้อกูลกันจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดในพระไตรปิฎก

นี่เป็นสิ่งที่ยาก และยิ่งทำให้เห็นอวิชชาว่ามากมายจริงๆ แม้แต่การเข้าใจหนทางข้อปฏิบัติที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจธรรม ถ้าเพียงฟังอย่างนี้และปฏิบัติอย่างนี้ โดยไม่ใช่เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน ย่อมไม่สามารถดับอวิชชาได้

. คำว่า เจริญให้มาก ในที่นี้หมายความว่าอย่างไร

สุ. บ่อยๆ เนืองๆ จนกว่าจะมีกำลัง ถ้าสติระลึกครั้งแรกแล้ว ก็อาจจะหลงลืมสติไปอีกนานหลายวันหลายเดือนก็ได้ อย่างนั้นก็ยังไม่บ่อย เพราะฉะนั้น จึงต้องบ่อยขึ้นๆ

ถ้ายังมีความรู้สึกว่า เราจะทำ ข้อสำคัญ คือ มีความรู้สึกว่าจะทำ หรือคิดว่าเป็นหนทางลัดจะทำให้ได้ผลเร็ว ก็พิจารณาดูว่า เป็นไปได้ไหม ในเมื่อวันหนึ่งๆ ที่ ผ่านมาเป็นผู้ที่หลงลืมสติมาก และวันดีคืนดีจะให้สติเกิดติดต่อกันเป็นชั่วโมงเป็นวันๆ เป็นสิ่งที่ถูกต้องไหม และในขณะนั้นรู้อะไร ข้อสำคัญที่สุด คือ ขณะนั้นรู้อะไร เพราะที่เข้าใจว่าทำแล้วได้ผลมาก และหมดเวลาที่ทำ อาจจะเป็นวันหนึ่งคืนหนึ่ง หรือสองวันสองคืนก็แล้วแต่ ปัญญารู้อะไร

ปัญญาสามารถรู้สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยตามปกติในขณะที่คิดว่าไม่ได้ทำ ได้ไหม อย่างเช่น ขณะนี้ ไม่ได้มีตัวตนที่จงใจตั้งใจที่จะทำ แต่สติสามารถระลึกในขณะนี้ และปัญญาสามารถรู้ในสภาพที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ในขณะนี้ได้ไหม ถ้ารู้ได้จึงจะเป็นปัญญา ถ้ารู้ไม่ได้ จะเพียรทำสักสองวัน สามเดือน ก็ไม่สามารถรู้สภาพธรรมตามปกติซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยตามความเป็นจริงได้

คิดว่าต้องไปทำจึงจะรู้ แต่ไม่คิดว่า ปัญญาสามารถรู้สภาพธรรมที่กำลังเกิดขึ้นปรากฏในขณะนี้เพราะเหตุปัจจัยเมื่อไม่ได้ทำ ซึ่งเป็นหน้าที่ของมรรคมีองค์ ๘ ไม่ใช่เรา เป็นหน้าที่ของสติที่จะระลึกได้ เป็นหน้าที่ของวิตกที่จะตรึกหรือจรดในอารมณ์ ให้ถูกต้องตามที่ได้ยินได้ฟัง ไม่ใช่ว่าเมื่อได้ยินก็ท่องหรือคิดว่า ได้ยินเป็นนาม เสียงเป็นรูป ถ้าเป็นในลักษณะนั้น ก็ไม่ใช่สัมมาสังกัปปะ

เพราะฉะนั้น เป็นหน้าที่ของสัมมามรรคที่จะเกิดขึ้นปฏิบัติกิจของสัมมามรรคองค์นั้นๆ ไม่ใช่เราจะทำ

เปิด  210
ปรับปรุง  2 มิ.ย. 2565