แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1571

ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย

วันอาทิตย์ที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๒๙


ข้อความใน อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต กุมารลิจฉวีสูตร ข้อ ๕๘ โดยย่อมีว่า

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ใกล้เมืองเวสาลี ครั้งนั้น เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปสู่เมืองเวสาลีเพื่อบิณฑบาต ครั้นเสด็จกลับจากบิณฑบาตแล้ว เวลาปัจฉาภัต เสด็จเข้าไปยังป่ามหาวัน ประทับนั่งพักผ่อนกลางวันที่โคนต้นไม้ ต้นหนึ่ง

แม้เป็นพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พักผ่อนของพระองค์ คือโคนต้นไม้ต้นหนึ่งในป่ามหาวัน

ก็สมัยนั้น เจ้าลิจฉวีกุมารหลายคนถือธนูที่ขึ้นสาย มีฝูงสุนัขแวดล้อม เดินเที่ยวไปในป่ามหาวัน ได้เห็นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง แล้วจึงวางธนูที่ขึ้นสาย ปล่อยฝูงสุนัขไป ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วจึงเข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว ต่างนั่งนิ่งประนมอัญชลีอยู่ใกล้ พระผู้มีพระภาค

เพียงเท่านี้ เห็นจิตไหม ขณะนั้นเป็นจิตประเภทไหน มีหิริ มีโอตตัปปะไหม ที่แสดงความเคารพนอบน้อมต่อผู้ที่ควรนอบน้อม

ก็สมัยนั้น เจ้าลิจฉวีนามว่ามหานามะ เดินพักผ่อนอยู่ในป่ามหาวัน ได้เห็น เจ้าลิจฉวีกุมารเหล่านั้นผู้ต่างนั่งนิ่งประนมอัญชลีอยู่ใกล้พระผู้มีพระภาค แล้วจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้เปล่งอุทานว่า

เจ้าวัชชีจักเจริญๆ

พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า

ดูกร มหานามะ ก็เพราะเหตุไรท่านจึงกล่าวอย่างนี้ว่า เจ้าวัชชีจักเจริญๆ

เจ้ามหานามะกราบทูลว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เจ้าลิจฉวีกุมารเหล่านี้เป็นผู้ดุร้าย หยาบคาย กระด้าง ของขวัญต่างๆ ที่ส่งไปในตระกูลทั้งหลาย คือ อ้อย พุทรา ขนม ขนมต้ม หรือ ขนมแดกงา เจ้าลิจฉวีกุมารเหล่านี้ย่อมแย่งชิงกิน ย่อมเตะหลังหญิงแห่งตระกูลบ้าง เตะหลังกุมารีแห่งตระกูลบ้าง แต่บัดนี้เจ้าลิจฉวีกุมารเหล่านี้ต่างนั่งนิ่งประนมอัญชลีอยู่ใกล้พระผู้มีพระภาค

แม้เพียงชั่วขณะที่นั่งนิ่งประนมอัญชลี ก็ต่างกับขณะที่เป็นอกุศลที่เคยเป็น ซึ่งไม่ว่าใครจะมีความประพฤติอย่างไร มีความเกเรมากมายอย่างไรก็ตาม เมื่อ มีโอกาสได้สนใจในพระธรรมและฟังพระธรรม ย่อมเป็นที่หวังได้ว่า คนนั้นย่อมดีขึ้น จะน้อยหรือจะมากแล้วแต่พื้นของจิตที่สะสมมา แม้แต่บรรดาเจ้าลิจฉวีกุมารเหล่านี้

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกร มหานามะ ธรรม ๕ ประการนี้ มีอยู่แก่กุลบุตรคนใดคนหนึ่ง เป็น ขัตติยราชได้รับมูรธาภิเษกแล้วก็ตาม ผู้ปกครองรัฐซึ่งรับมรดกจากบิดาก็ตาม เป็นอัครเสนาบดีก็ตาม เป็นผู้ปกครองหมู่บ้านก็ตาม หัวหน้าพวกก็ตาม ผู้เป็นใหญ่เฉพาะตระกูลก็ตาม กุลบุตรนั้นพึงหวังได้รับความเจริญส่วนเดียว ไม่มีเสื่อม ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน

เรื่องของหิริโอตตัปปะทั้งนั้น

ดูกร มหานามะ กุลบุตรในโลกนี้ย่อมสักการะ เคารพ นับถือ บูชา มารดาบิดาด้วยโภคทรัพย์ที่ได้มาด้วยความหมั่น ความขยัน สะสมขึ้นด้วยกำลังแขนของตน ได้มาโดยอาบเหงื่อต่างน้ำ ชอบธรรม ได้มาโดยธรรม มารดาบิดาผู้ได้รับการสักการะ เคารพ นับถือ บูชาแล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรนั้นด้วยน้ำใจอันงามว่า ขอจงมีชีวิตยืนนาน มีอายุยืนนาน กุลบุตรผู้อันมารดาบิดาอนุเคราะห์แล้ว พึงหวังได้รับ ความเจริญส่วนเดียว ไม่มีเสื่อม

แม้แต่เพียงความคิดที่อยากจะให้ใครมีอายุยืนนาน ขณะนั้นแสดงว่า ต้องเห็นคุณธรรมความดีของบุคคลนั้น ใช่ไหม ขณะนั้นก็มีความเคารพ มีความ นอบน้อม สักการะในคุณความดีของท่านผู้นั้น ซึ่งขณะนั้นเป็นหิริโอตตัปปะ

ประการต่อไป

ประการที่ ๒ พระผู้มีพระภาคตรัสเรื่องของกุลบุตรย่อมสักการะ เคารพ นับถือ บูชา บุตร ภริยา ทาส กรรมกร และคนใช้ ด้วยโภคทรัพย์ที่ได้มา ... โดยนัยเดียวกัน

ประการที่ ๓ กุลบุตรย่อมสักการะ เคารพ นับถือ บูชา เพื่อนชาวนาและ คนที่ร่วมงานด้วยโภคทรัพย์ที่หามาได้ ... โดยนัยเดียวกัน

ประการที่ ๔ กุลบุตรย่อมสักการะ เคารพ นับถือ บูชา เทวดาผู้รับพลีกรรมด้วยโภคทรัพย์ที่หามาได้ ... โดยนัยเดียวกัน

ประการที่ ๕ กุลบุตรย่อมสักการะ เคารพ นับถือ บูชา สมณพราหมณ์ด้วยโภคทรัพย์ที่หาได้ ... โดยนัยเดียวกัน

ข้อความตอนท้ายมีว่า

กุลบุตรผู้โอบอ้อมอารี มีศีล ย่อมทำการงานแทนมารดาบิดา บำเพ็ญประโยชน์แก่บุตร ภริยา แก่ชนภายในครอบครัว แก่ผู้อาศัยเลี้ยงชีพ แก่ชนทั้งสองประเภท กุลบุตรผู้เป็นบัณฑิตเมื่ออยู่ครองเรือนโดยธรรม ย่อมยังความยินดีให้เกิดขึ้นแก่ญาติทั้งที่ล่วงลับไป ทั้งที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน แก่สมณพราหมณ์ และเทวดา กุลบุตรนั้นครั้นบำเพ็ญกัลยาณธรรมแล้ว เป็นผู้ควรบูชา ควรสรรเสริญ บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญเขาในโลกนี้ เขาละโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิงใจในสวรรค์ ฯ

จะเห็นได้ว่า ถ้าไม่มีหิริโอตตัปปะ ย่อมทำกุศลไม่ได้ครบถ้วนตามที่ พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงแล้ว ไม่ใช่แต่เฉพาะท่านผู้มีพระคุณและท่านที่ใกล้ชิดที่สุด คือ มารดาบิดาเท่านั้น การสักการะ เคารพ นับถือบูชาในประการที่ ๒ คือ บุตร ภริยา ทาส กรรมกร และคนใช้ เป็นกุศลไหม ถ้าทำได้ ไม่ใช่เป็นผู้ที่ถือตน สำคัญตนว่า เป็นใหญ่ เป็นนาย แต่เป็นผู้ที่เคารพนับถือบูชาคุณความดีของ บุคคลอื่นได้ แม้บุตรซึ่งเป็นผู้ที่มีความดี มารดาบิดาก็ยังเห็นในความดีของบุตรนั้นได้ เคารพในคุณความดีได้ ไม่ถือว่าตนเป็นใหญ่ ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นภริยา หรือเป็นทาส เป็นกรรมกร หรือคนใช้

ผลที่ได้จะดีไหม ถ้ามีความเคารพในกันและกัน ไม่ใช่มีความสำคัญตน เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงไว้ ธรรมใดที่เป็นกุศล ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใครก็ต้องเป็นกุศล และผลของกุศลก็ต้องเป็นกุศลวิบาก ไม่ใช่ว่าผู้เป็นหัวหน้าต้องถูกเสมอ ทั้งๆ ที่ผู้เป็นหัวหน้ามีอกุศลจิต เพราะฉะนั้น ควรที่จะได้พิจารณาให้ถูกต้องว่า ในขณะนั้นกุศลธรรมมีในบุคคลใด ก็ควรจะเคารพในกุศลธรรมของบุคคลนั้น

บุญญกิริยาวัตถุประการที่ ๖ คือ เวยยาวัจจะ

การสงเคราะห์ช่วยเหลือบุคคลอื่น ก็ยังเห็นได้เหมือนกันในหิริและโอตตัปปะ ถ้ากุศลจิตเกิดขึ้นในขณะนั้น ย่อมช่วยเหลือคนอื่น แต่ถ้าใครไม่ช่วย คือ ปกติไม่เคยช่วยใครเลย เคยแต่ให้คนอื่นช่วย ก็ควรที่จะพิจารณาว่า ในขณะที่ไม่ช่วยคนอื่น ซึ่งในขณะนั้นช่วยได้แต่ไม่ช่วย เพราะอะไร ก็เพราะว่าขณะนั้นจิตเป็นอกุศล แต่ถ้า กุศลจิตเกิดย่อมสงเคราะห์ช่วยเหลือบุคคลอื่น และกุศลก็ไม่ใช่เป็นแต่เฉพาะในเรื่องของทานเท่านั้น แม้ในการช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ในขณะนั้น ซึ่งบางคนทำไม่ได้เพราะไม่มีหิริโอตตัปปะ แต่บางคนมีอุปนิสัยที่มักช่วยเหลือคนอื่นเสมอก็เพราะมีหิริโอตตัปปะในขณะนั้น

ถ้าหิริโอตตัปปะไม่เกิด พิจารณาในชีวิตประจำวัน ไม่ช่วยแม้แต่จะยกอาหารที่อยู่ไกลมือของผู้อื่นให้ ขณะนั้นจิตเป็นอะไร ขณะที่รับประทานอาหารร่วมกัน และไม่ได้สนใจในบุคคลอื่นเลย ขณะนั้นย่อมมีความเพลิดเพลินในรสอาหารบ้าง ในเรื่องอื่นๆ บ้าง ต่อเมื่อหิริโอตตัปปะเกิด สังเกตพิจารณาเอื้อเฟื้อสงเคราะห์ช่วยเหลือ แม้แต่ในการหยิบยกอาหารที่อยู่ไกลมือให้ ขณะนั้นก็เป็นกุศลจิต

เพราะฉะนั้น หิริโอตตัปปะมีเป็นประจำได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะในการบริโภคอาหาร หรือในกิจการงาน ก็ย่อมมีหิริโอตตัปปะที่เป็นไปในเวยยาวัจจะได้

บุญญกิริยาวัตถุประการที่ ๗ คือ ธัมมัสสวนะ กุศลในการฟังธรรม

เวลาที่ไม่ฟังพระธรรมคิดอย่างไร บางคนคิดว่า ไม่ต้องฟัง รู้แล้ว ไม่เห็นประโยชน์เลย ไม่ว่าจะพูดเรื่องอะไรก็รู้หมด เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นไม่มีหิริโอตตัปปะที่จะรู้ตามความเป็นจริงว่า แท้จริงตนเองยังไม่ได้รู้ทั่วโดยตลอด ยังต้องอาศัยพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงทุกประการ เว้นไม่ได้ ถ้าต้องการเป็นผู้ที่เจริญกุศลจริงๆ ย่อมเห็นคุณประโยชน์ของพระธรรมทุกประการ

นอกจากนั้น ขณะที่ฟังพระธรรมจะสังเกตได้ว่า หิริโอตตัปปะเกิดไหม ในขณะนั้น คือ ฟังด้วยความเคารพ หรือฟังด้วยความไม่เคารพ

นี่เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ ทั้งกาย ทั้งวาจา ที่จะให้เห็นสภาพธรรมที่กำลังเกิดอยู่ทุกขณะ ซึ่งเจตสิกก็เกิดกับจิตที่กำลังเกิดดับในขณะนี้เอง แต่เพราะว่า จิตแต่ละดวงมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยมาก ถ้าสติไม่เกิด ไม่ระลึก ไม่ได้ฟังเรื่องของเจตสิกเหล่านั้น ย่อมไม่สามารถรู้ลักษณะของเจตสิกที่เกิดขึ้นว่า เป็นอกุศลเจตสิกหรือ เป็นโสภณเจตสิก นอกจากนั้นเมื่อฟังแล้ว ฟังด้วยการพิจารณาให้เข้าใจในพระธรรม หรือว่าเพียงฟัง นี่ก็หิริโอตตัปปะเป็นขั้นๆ แม้แต่ในการฟัง เมื่อฟังแล้วยังต้องคิดไตร่ตรองว่า ธรรมที่สมบูรณ์ด้วยเหตุผลนั้นควรจะเป็นอย่างไร นี่ก็เป็นขั้นหนึ่ง และ เมื่อได้เข้าใจในพระธรรมแล้ว จากการพิจารณาไตร่ตรองแล้ว ยังต้องเกิดหิริโอตตัปปะต่อไปที่จะประพฤติปฏิบัติตามด้วย เป็นอีกขั้นหนึ่ง

มีท่านผู้หนึ่งกำลังฟังพระธรรม ซึ่งก่อนนี้ท่านไม่ได้ฟัง เพราะว่าไม่เห็นประโยชน์ แต่เมื่อเริ่มฟัง เริ่มเห็นประโยชน์ และฟังด้วยความเคารพ ฟังด้วยการพิจารณา ซึ่งเมื่อเข้าใจขึ้น ท่านก็รู้จักตัวท่านเองตามความเป็นจริงว่า ท่านเพียงเพิ่งจะ เริ่มเข้าใจ แต่ยังปฏิบัติไม่เป็น คือ ยังเจริญสติปัฏฐานไม่เป็น ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ตรง และถูกต้อง เพราะผู้ที่ยังไม่มีหิริโอตตัปปะยังไม่สามารถเห็นความน่ารังเกียจ น่าละอายของอวิชชาคือความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดดับในชีวิตประจำวัน ตามความเป็นจริง ก็ย่อมไม่เกิดการระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพื่อศึกษาให้ประจักษ์แจ้งในลักษณะที่ไม่เที่ยง ที่เกิดดับของนามธรรมและรูปธรรม ในขณะนี้

เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่ามีใครพยายาม ต้องไปกระตุ้น หรือไปฝืน หรือไปเร่งรัดท่านผู้นั้น เพียงแต่ว่าท่านผู้นั้นต้องฟังต่อไปอีกเท่านั้นเอง จนกว่ากุศลธรรม หิริโอตตัปปะ ศรัทธา สติจะเจริญขึ้นในชีวิตประจำวัน จนกระทั่งเห็นประโยชน์ และรู้ว่าสิ่งที่ได้ฟังนั้น ควรที่จะได้ประจักษ์แจ้ง ไม่ใช่เพียงแต่ขั้นเข้าใจเท่านั้น

อย่างในเรื่องของนามธรรมและรูปธรรมเป็นปรมัตถธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ขั้นความเข้าใจ ไม่มีข้อสงสัยเลย ยิ่งฟังเรื่องของจิต แต่ละประเภท เจตสิกแต่ละประเภท รูปแต่ละประเภทซึ่งเป็นสังขารธรรม มีปัจจัย ก็เกิดขึ้น ก็เข้าใจ แต่ยังไม่ถึงขั้นรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมนั้น เพราะว่าเพียงเข้าใจ เมื่อมีความเข้าใจชัดเจนขึ้นก็ยิ่งรู้ว่า ไม่ควรปล่อยให้เป็นเพียงความเข้าใจขั้นปริยัติหรือขั้นฟังเท่านั้น แต่ควรที่จะได้อบรมเจริญปัญญาถึงขั้นประจักษ์แจ้งลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม จนสามารถประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของนามธรรมและรูปธรรมตรงกับที่ได้เข้าใจแล้วด้วย

นี่ก็เป็นหิริโอตตัปปะอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งจะต้องอาศัยการอบรมเจริญขึ้นเรื่อยๆ โดยเร่งรัดไม่ได้เลย จะบอกให้ใครเจริญสติเดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้ เพราะว่าบุคคลนั้นยังไม่เกิดหิริโอตตัปปะขั้นที่จะละอายและรังเกียจในอวิชชาที่ไม่รู้ความจริงของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ แม้แต่เพียงลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะรู้ได้ทันที ถึงแม้ว่าจะได้ฟังมานานนับปี แต่จะรู้ได้ว่าสติเริ่มระลึก ที่ลักษณะของรูปธรรมหรือนามธรรมบ้างหรือเปล่า

ถ้ายังไม่เริ่มระลึก ก็ไม่มีทางที่จะรู้ชัดในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม เพียงสามารถแค่เข้าใจเรื่องของนามธรรมและรูปธรรม เพราะฉะนั้น จะต้องเจริญกุศลทุกประการเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้สติระลึกที่ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมที่กำลังปรากฏ

ถ. หิริโอตตัปปะมีหลายขั้นอย่างที่อาจารย์ว่า ซึ่งเวลานี้ก็เกิดหิริโอตตัปปะว่า เรายังไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรมเลย และเกิดหิริอีกว่า ต้องเจริญหิริและโอตตัปปะ ให้สูงขึ้นไปอีก ใช่ไหม

สุ. ควรเจริญกุศลทุกประการ เริ่มจากการเป็นผู้ตรง รู้จักตัวเองตาม ความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน เพราะถ้ายังไม่มีหิริโอตตัปปะแม้แต่ในเรื่องของทานบ้าง ศีลบ้าง อปจายนะบ้าง เวยยาวัจจะบ้าง และมุ่งหวังที่จะดับกิเลส ก็เป็นสิ่งซึ่งสุดวิสัย เป็นไปไม่ได้ เพราะยังไม่รู้เลยว่า ตนเองมีอกุศลในวันหนึ่งๆ มากสักแค่ไหน

ถ. และเกิดหิริโอตตัปปะอีกว่า เราเคยดูถูกหิริโอตตัปปะว่า คงไม่มี นัยเท่าไร แต่เมื่อได้ฟังอย่างนี้แล้วก็รู้ว่า มีนัยที่ลึกซึ้งมาก เกิดหิริโอตตัปปะว่า เราเคยดูถูกไว้

สุ. เป็นธรรมที่คุ้มครองโลก แล้วเป็นพลธรรมด้วย

ถ. ขณะที่อาจารย์กำลังอ่านหนังสือธรรม หรือขณะที่กำลังพูด อาจารย์ ตั้งสติไว้ที่ไหน

สุ. ไม่มีตัวตนที่จะตั้ง สติเป็นอนัตตา ขณะใดสติเกิดก็รู้ว่า ขณะนั้นต่างกับหลงลืมสติ

ถ. ขณะที่เราอ่านหนังสือ ถ้าเราไม่มีสติ เราก็ไม่เข้าใจเรื่องที่เราอ่าน

สุ. มิได้ เวลาที่อ่านหนังสือ เป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิต

ถ. เป็นกุศล เพราะอ่านหนังสือธรรมะ

สุ. อ่านหนังสือธรรมดา อย่างอ่านคำว่า พาราณสี เป็นกุศลจิตหรือ เป็นอกุศลจิต

ถ. ผมไม่ทราบว่า เป็นกุศลหรืออกุศล อ่านไปอย่างนั้นเอง

สุ. นี่เรื่องไม่ทราบ ใช่ไหม ก็เป็นเรื่องของอหิริกะ เพราะว่าไม่ทราบ ถ้าทราบจึงจะเป็นหิริ คือ กุศลจิต เรื่องไม่ทราบเป็นเรื่องไม่รู้จริงๆ ว่า ในวันหนึ่งๆ ที่เรียกว่า โลก หรือว่าตัวเรา ในขณะนี้ ก็ไม่พ้นจากทางตาที่เห็น ทางหูที่ได้ยิน ทางจมูกที่ได้กลิ่น ทางลิ้นที่ลิ้มรส ทางกายที่ถูกต้อง ทางใจที่คิดนึก

เปิด  246
ปรับปรุง  2 มิ.ย. 2565