แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1572
ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย
วันอาทิตย์ที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๒๙
สุ. ทันทีที่เห็น ทางตามีโลกปรากฏไหม
ถ. มี
สุ. แต่ตามความเป็นจริง สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นของจริงอย่างหนึ่ง ถ้า เป็นผู้ที่อบรมเจริญปัญญาจะรู้ได้จริงๆ ด้วยหิริโอตตัปปะว่า ในขณะนั้นสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ต่อจากนั้นเป็นความคิดทั้งหมด เรื่องสิ่งที่ปรากฏ ทางตาและโลก
นี่เฉพาะทางตา เช่น ในขณะที่อ่านหนังสือ เหมือนกับมีเราและมีโลก แต่ ตามความเป็นจริง ขณะที่เกิดหิริโอตตัปปะ สติ ศรัทธา และปัญญาพิจารณารู้ลักษณะของสภาพธรรม ในขณะนั้นจะรู้ได้ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะเลย เมื่อไรก็เมื่อนั้น สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ปรากฏอย่างนี้ วันนี้หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านก็เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา พรุ่งนี้จะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านก็เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา กลับไปบ้านรับประทานอาหาร ลืมตาเมื่อไร ก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตา
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่มีวันเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเลย แต่ความคิดหลังจากที่เห็นแล้ว เปลี่ยนตลอด จะเห็นได้ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่โลกของความคิดของเราที่กว้างใหญ่มาก เกิดจากสิ่งที่ปรากฏ ทางตาเมื่อไม่รู้ความจริง แต่ถ้ารู้ความจริงขณะใด โลกก็คือสิ่งที่ปรากฏทางตา และความคิดนึกเรื่องสิ่งที่ปรากฏทางตาหลังจากที่เห็นเท่านั้นเอง
ที่จะบอกว่าสติตั้งที่ไหนในขณะที่อ่านหนังสือ ไม่ใช่มีกฎเกณฑ์ แต่ต้องเป็น การฟังเรื่องของสภาพธรรมจนกว่าจะเข้าใจจริงๆ สัมมาสติจึงจะระลึกได้ถูกต้อง และค่อยๆ น้อมไปพิจารณาว่า เป็นความจริงอย่างนี้ไหม ที่คิดว่าอยู่ในโลกกว้างใหญ่ มีหลายคน ความจริงคนเดียว จิตขณะเดียวเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางตาและดับไป หลังจากนั้นจิตทางใจเกิดขึ้นคิดนึกเรื่องสิ่งที่เห็นทางตามากมาย เป็นเรื่องราวใหญ่โต
ทุกคนไม่ได้อยู่กับคนอื่นเลย ตามความเป็นจริงอยู่กับสิ่งที่ปรากฏทางตา และความคิด อยู่กับเสียงที่ได้ยินทางหูและความคิด อยู่กับกลิ่นที่ปรากฏทางจมูกและความคิด อยู่กับรสต่างๆ ที่ปรากฏที่ลิ้นและความคิด อยู่กับสิ่งที่กระทบสัมผัสทางกายและความคิด และแม้ไม่มีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ใจก็ยังคิดถึงรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่เคยเห็น เพราะฉะนั้น ทุกคนอยู่ในโลกของตัวเอง เป็นโลกเล็กๆ แต่ในความรู้สึกเหมือนกับว่ามีสิ่งต่างๆ มากมาย เป็นโลกที่กว้างขวาง แต่ความจริงคือ ขณะจิตเดียว
ถ. ความคิดมีอยู่ตลอดเวลา
สุ. หลังจากเห็นก็คิดได้ หรือแม้ไม่เห็นก็คิดถึงเรื่องที่เคยเห็นได้ เพราะฉะนั้น นี่คือโลกตามความเป็นจริงที่จะต้องเข้าใจ
ที่ถามว่า สติตั้งที่ไหนในขณะที่อ่าน ก็คือ ในขณะที่เห็น เหมือนกัน แทนที่จะเห็นเป็น ก ไก่ ข ไข่ ก็เห็นเป็นเส้นต่างๆ และก็คิดไป ในหนังสือที่อ่านมีชื่อของคน ต่างๆ ใช่ไหม ในขณะที่เห็นก็มีเส้นต่างๆ ที่ทำให้นึกถึงชื่อต่างๆ เพียงแต่ไม่ได้อยู่ในกระดาษ แต่ก็เป็นเพียงเมื่อเห็นแล้ว ทางใจก็คิดตามสิ่งที่ปรากฏทางตา
เพราะฉะนั้น โลกของแต่ละคนจะเป็นกุศลหรืออกุศล ไม่เกี่ยวข้องกับคนอื่นเลย จะได้ผลของกุศล จะได้ผลของอกุศล ก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ตามความคิดของแต่ละคน จะคิดว่าคนอื่น จะติเตียน จะคิดว่าคนอื่นจะเกลียด จะคิดว่าคนอื่นจะรัก ก็คือความคิดของตัวเอง ในเมื่อสิ่งที่ปรากฏทางตาก็ดับไป เสียงที่ปรากฏทางหูก็ดับไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏจะไม่กลับมาอีกเลย แม้แต่สีที่ปรากฏทางตาที่ดับแล้ว หรือเสียงที่ปรากฏทางหูที่ดับแล้วก็จะไม่กลับมาอีกเลย แต่ความคิดเรื่องสี เรื่องเสียง เรื่องกลิ่น เรื่องรส เรื่องโผฏฐัพพะ เรื่องสิ่งต่างๆ เรื่องบุคคลต่างๆ ทำให้ดูเหมือนกับว่า อยู่กับสิ่งต่างๆ มากมายในโลก อยู่กับคนมากมายในโลก แต่ตามความเป็นจริง อยู่คนเดียว และไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลด้วย เพียงชั่วขณะจิตเดียวที่เห็น และก็คิด
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงแล้ว ที่จะไปตั้งสติ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่าปัญญาไม่เกิด ไม่รู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมนั้นตามความเป็นจริง จะคิดถึงใครก็ไม่ใช่ว่ามีคนนั้นจริงๆ เป็นความคิด เป็นจิตที่เกิดคิดขึ้นและดับไปเท่านั้นเอง และถ้าเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็เหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นในห้องนี้ จะอ่านหนังสือ หรือไม่อ่านหนังสือ สิ่งที่ปรากฏทางตาจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ความคิดเปลี่ยน
แสดงให้เห็นว่า ถ้าเข้าใจชัดเจนในรูปารมณ์ คือ สิ่งที่ปรากฏทางตา ย่อมจะไม่ปะปนกับความคิดนึก และสามารถรู้จักโลกตามความเป็นจริงว่า โลกจริงๆ คือ ชั่วขณะที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด
อยู่คนเดียวจริงๆ หรือเปล่า ถ้ายังคิดว่าไม่จริง วันนี้กลับบ้านคงจะมี บางโอกาสที่อยู่คนเดียว ซึ่งจะเห็นได้เลยว่า เริ่มคิดแล้วถึงคนนั้นบ้าง คนนี้บ้าง และเวลามีสิ่งที่ปรากฏทางตาก็ทำให้เกิดความคิดต่อไปอีก และก็เพิ่มอีก และต่อไปอีก เพิ่มอีก ต่อไปอีก เป็นเรื่องราวต่างๆ ตลอดชีวิต ไม่จบสิ้น แต่ทุกอย่างจบ พร้อมกับการดับของจิต แม้แต่ความคิด เมื่อจิตดับ และไม่คิดเรื่องนั้นอีก เรื่องนั้นก็ ไม่มี
ถ. การฟังธรรมนี้ต้องมีหิริโอตตัปปะด้วย
สุ. ขณะนั้นต้องมี ถ้าไม่มี ไม่ฟัง ฟังอย่างอื่น
ถ. ผมรู้สึกตัวเองว่า ขาดหิริโอตตัปปะมาก เพราะว่าตอนเช้ามืด ตีสี่ครึ่ง เวลาเปิดวิทยุฟังธรรม ขณะนั้นผมไม่ได้ฟังอย่างเดียว ฟังไปด้วยออกกำลังกายไปด้วย ซึ่งบางทีจิตของเราก็ไม่ได้จดจ่ออยู่กับเรื่องราวที่บรรยายในวิทยุ รู้สึกว่าจะขาดหิริ โอตตัปปะ หรือบางทีเปิดวิทยุฟังธรรม หรือเปิดเทปธรรม ก็กวาดบ้านบ้าง ถูบ้านบ้าง ซักผ้าบ้าง อะไรอย่างนี้ รู้สึกว่าจะไม่เป็นการสมควรเท่าไร ขาดหิริโอตตัปปะ
สุ. ขอประทานโทษ ฟังดีกว่าไม่ฟังหรือเปล่า
ถ. ประโยชน์ก็ได้บ้าง แต่บางทีฟังจบไปแล้วยังนึกไม่ออกว่า ฟังอะไร ไปบ้าง ต้องกลับไปเปิดฟังใหม่อีก ก็อาศัยฟังบ่อยๆ แต่ถ้าใครตั้งใจฟังโดยเฉพาะ ไม่ต้องมีกิจกรรมอย่างอื่นมาปะปน ผมคิดว่า จะได้รับประโยชน์มากกว่า
สุ. เช่นในขณะนี้หรือเปล่า
ถ. อย่างในขณะนี้
สุ. เพราะฉะนั้น เป็นชีวิตของแต่ละคนตามความเป็นจริง ดูเหมือนว่า เวลาของกุศลจะน้อยเมื่อเทียบกับเวลาของอกุศล ไม่พอกับกิจธุรการงานในชีวิตจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดีกว่าผู้ที่ไม่ฟัง เพราะจะต้องค่อยๆ เพิ่มขึ้น และถ้าต่อไปสามารถฟังโดยที่ไม่ต้องทำกิจธุระได้ก็ย่อมจะดีกว่า แต่เมื่อยังไม่มีโอกาสทำอย่างนั้นได้ การฟังก็ยังดีกว่าไม่ฟัง เพราะอย่างน้อยที่สุดยังได้ยินได้ฟังผ่านซ้ำไปซ้ำมาหลายๆ วัน เรื่องของสภาพธรรมต้องตรงตามความเป็นจริงว่า ขณะใดเป็นกุศล และขณะใดเป็นอกุศล
ผู้ฟัง ก็ยังไม่จัดว่าเป็นการนอบน้อม ถ้ามีโอกาสควรหาโต๊ะเก้าอี้มาตั้ง และพนมมือฟัง จนกว่าพระธรรมนั้นจะหมดเวลา
สุ. การนอบน้อมสูงสุดในขณะที่ฟังพระธรรมคืออะไร คือ การเจริญ สติปัฏฐาน เพราะฉะนั้น ชีวิตจริงๆ ของแต่ละคน แม้ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน หรือแม้ก่อนนั้น หรือแม้ในขณะนี้ หรือแม้ในกาลข้างหน้า แต่ละคนสะสมเหตุปัจจัยมาทุกขณะจิตที่จะเกิดขึ้นเป็นไปตามการสะสม ซึ่งเลือกไม่ได้เลย อย่าง บางท่าน ท่านมีกิจธุระที่จะต้องทำอาหารในครัว แต่ท่านก็เป็นพระอนาคามีบุคคล ในขณะที่แกงชนิดหนึ่งไหม้เพราะไฟแรง
เพราะฉะนั้น ในขณะที่ไม่ได้กระทำกิจในครัวแต่ทำกิจอื่น และเป็นผู้ที่เคารพนอบน้อมสักการะด้วยการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม คือ การเจริญสติปัฏฐาน นั่นจึงเป็นการเคารพอย่างสูงสุด
การบูชาด้วยดอกไม้ ธูปเทียน ก็ยังไม่เป็นการเคารพอย่างสูงสุด เพราะว่า พระผู้มีพระภาคมิได้ทรงหวังดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องสักการะ แต่ทรงบำเพ็ญ พระบารมีเพื่อหวังให้สาวกได้ดับกิเลสเช่นเดียวกับพระองค์ด้วย แต่ก่อนที่จะดับ กิเลสได้ ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด เป็นผู้ที่ตรง และต้องเป็นผู้ที่รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง
ถ้าในวันหนึ่งๆ รู้ว่า เห็นแล้วคิดนึกเป็นอกุศล ได้ยินแล้วคิดนึกเป็นอกุศล ได้กลิ่นแล้วคิดนึกเป็นอกุศล ลิ้มรสแล้วคิดนึกเป็นอกุศล กระทบสัมผัสแล้วคิดนึก เป็นอกุศล หรืออยู่เฉยๆ โดยที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ก็ยังคิดนึกเป็นอกุศล ก็จะเห็นได้ว่า เมื่อไรกิเลสจะหมด
เพราะฉะนั้น ถ้าหิริโอตตัปปะและโสภณธรรมอื่นๆ ไม่เจริญขึ้น ไม่มีทางจะ ไปเพ่ง ไปจ้อง ไปตั้งสติ และคิดว่าจะบรรลุมรรคผลได้ โดยไม่รู้จักสภาพธรรมที่กำลังเกิดขึ้นเป็นไปในขณะนี้ตามปกติ ตามความเป็นจริง
บุญญกิริยาวัตถุประการที่ ๘ คือ สมถภาวนา หรือความสงบของจิตจากอกุศล
วันหนึ่งๆ ถ้าเป็นอกุศลอย่างอ่อนๆ ที่ไหลซึมไปตามอารมณ์ที่ปรากฏ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ย่อมจะไม่เห็นว่าเป็นโทษเป็นภัย ดูเป็นชีวิตธรรมดาของทุกๆ คน แต่บางวันไม่เป็นอย่างนั้น บางวันอกุศลธรรมมี กำลังขึ้น มีความเร่าร้อน กระวนกระวาย กระสับกระส่าย เพราะอกุศลธรรมเหล่านั้นกลุ้มรุมจิตใจ เป็นนิวรณธรรมขัดขวางการเจริญกุศลได้ เพราะว่าบางคนเตรียมการกุศลไว้แล้ว แต่พอนิวรณธรรมประการหนึ่งประการใดเกิดขึ้นก็ล้มเลิก
สำหรับอกุศลที่เป็นนิวรณ์ที่กลุ้มรุมจิตใจ ที่ทำให้รู้สึกกระสับกระส่าย มีกำลังมากกว่ากุศลที่เป็นปกติทุกๆ วันที่ไหลซึมไปในอารมณ์ต่างๆ ก็ได้แก่ กามฉันทะ ความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ถ้ามีกำลังก็เป็นนิวรณ์ที่ทำให้จิตใจกระสับกระส่ายเร่าร้อนในขณะนั้น มีหิริโอตตัปปะเกิดไหม เห็นโทษไหมว่า ในขณะนั้นเพราะอะไร ก็เพราะโลภะ ความยินดี เพลิดเพลิน พอใจในสิ่งนั้น ซึ่งถ้าเพียงแต่ ไม่ยินดี ไม่พอใจ ไม่เพลิดเพลินเท่านั้น ความเร่าร้อนกระสับกระส่าย กระวนกระวายในขณะนั้นก็ไม่มี และถ้าขณะนั้นหิริโอตตัปปะไม่เกิด ก็ไม่ละอาย ไม่เห็นโทษของอกุศลธรรมนั้นๆ ด้วย
นอกจากกามฉันทะ ความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นกามฉันทนิวรณ์แล้ว ก็มีพยาปาทนิวรณ์ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจกุกกุจนิวรณ์ และวิจิกิจฉานิวรณ์
พยาปาทนิวรณ์ ได้แก่ ความขุ่นเคืองใจ
วันนี้พิสูจน์ธรรมว่า เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า หรือไม่เป็น ไม่ได้เป็นทุกวัน ใช่ไหม โกรธมากๆ ขุ่นเคืองใจมากๆ ยังไม่หายโกรธ วันนี้เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า แต่ บางวันเป็น เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ขณะใดที่สภาพธรรมมีกำลังกลุ้มรุม ปรากฏลักษณะที่กระสับกระส่าย หิริโอตตัปปะเกิดไหมที่จะเห็นว่า ในขณะนั้นเป็นอกุศลของตนเอง ไม่ใช่เห็นอกุศลของคนอื่น แต่เห็นอกุศลของตนเองซึ่งปรากฏให้เห็น แล้วแต่ว่าหิริและโอตตัปปะจะเกิดหรือไม่เกิด ถ้าหิริโอตตัปปะเกิดเห็นโทษ กุศลจิตเกิดเท่านั้น สงบ สมถะ ขณะนั้นไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ สงบจากอกุศลในขณะนั้นได้ ด้วยหิริโอตตัปปะ คือ ละอายและรังเกียจอกุศลในขณะนั้น
ถีนมิทธนิวรณ์เป็นความท้อถอย ความหดหู่ บางท่านบอกว่า ธรรมยากมาก เมื่อไรจะถึง ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ยากเพิ่มขึ้นมาอีก เพราะว่ามีการหวังผล ซึ่งผลจะเกิดไม่ใช่จากการหวัง แต่เกิดจากการอบรมเจริญปัญญาทีละเล็กทีละน้อยไปเรื่อยๆ เพราะการที่จะดับกิเลสได้ไม่ใช่คิดนึกเรื่องธรรมและดับได้ เช่น นึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ของเรา ปล่อยเสีย วางเสีย ถ้าเพียงเท่านี้พระผู้มีพระภาคไม่ต้องทรงแสดง อะไรเลย เพราะเพียงกล่าวเท่านี้ทุกคนก็วางได้ ปล่อยได้ แต่ความจริงไม่ได้เป็น อย่างนั้น
เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่มีหิริโอตตัปปะจริงๆ ที่จะรู้ว่า การที่ยังไม่รู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม จะต้องอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ ไม่ใช่เกิดความท้อถอย เมื่อยากแล้วเมื่อไรจะถึง เมื่อไรจะรู้ ถ้าวันนี้ฟังแล้วเข้าใจ ก็เพิ่มปัญญาขึ้นแล้วใช่ไหมจากการที่ไม่ได้ฟังและไม่เข้าใจ พรุ่งนี้ฟังอีกและเข้าใจอีก ก็เพิ่มขึ้นอีก
เพราะฉะนั้น ปัญญาจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น จนกว่าจะเป็นสังขารขันธ์ที่ปรุงแต่ง ให้สติระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้ถูกต้อง หรือว่าในขณะที่จิตใจกระสับกระส่ายด้วยกามฉันทะ ด้วยพยาปาทะ ด้วยถีนมิทธะ หรือด้วย อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญใจในอกุศลที่ได้กระทำแล้วและในกุศลที่ยังไม่ได้กระทำ
นี่แสดงลักษณะของความช่างคิด ใช่ไหม อกุศลที่ได้กระทำแล้ว ดับแล้ว อาจจะเป็นหลายอาทิตย์ก่อนก็ได้ แต่ก็ยังเกิดความกระวนกระวาย กระสับกระส่าย รำคาญใจในอกุศลที่ได้ทำแล้วด้วยความเป็นเรา ด้วยความเป็นตัวตน เพราะไม่รู้ชัด ในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยและดับไป
ถ้ามีหิริโอตตัปปะจะเห็นว่า เป็นสิ่งซึ่งไม่สมควร ไม่ได้ประโยชน์อะไรต่อการ ที่จะฟุ้งซ่านรำคาญใจกับอกุศลที่ได้กระทำสำเร็จลงไปแล้ว เสร็จไปแล้ว ดับไปแล้ว หมดไปแล้ว เพราะฉะนั้น ขณะนี้ต่างหาก ถ้าสติระลึกลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม นั่นก็เพราะหิริโอตตัปปะเกิดขึ้น จึงละอุทธัจจกุกกุจจะได้
หรือแม้แต่วิจิกิจฉา ความสงสัย ไม่แน่ใจในข้อประพฤติปฏิบัติในธรรมนี้ ก็เป็นเครื่องขัดขวาง เป็นเครื่องกั้นการเจริญกุศล
มีท่านผู้ฟังท่านหนึ่งบอกว่า ท่านฟังรายการแนวทางเจริญวิปัสสนาและอ่านหนังสือหลายเล่ม หนังสือบางเล่มบอกว่าไม่จำเป็นต้องศึกษา ไม่จำเป็นต้องฟัง เพราะฟังพระธรรมก็เป็นความอยากอย่างหนึ่ง คือ เป็นโลภะ
นี่คือการไม่พิจารณาให้รู้ความต่างกันของฉันทเจตสิกกับโลภเจตสิก เพราะว่าฉันทเจตสิกเกิดกับกุศลได้ ความพอใจที่จะกระทำ ที่จะศึกษา ที่จะเข้าใจธรรม ไม่ใช่โลภะ ไม่ใช่ความติด ความข้อง แต่เป็นการแสวงหาหนทางที่จะดับความติด ความยึดมั่น ความติดข้องในความเห็นผิด หรือว่าในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะทั้งหลาย
เพราะฉะนั้น ท่านผู้นี้ไม่ฟังพระธรรม ปรากฏว่าด้วยความสงสัยคือวิจิกิจฉา เป็นนิวรณ์ ทำให้ท่านผู้นี้ปฏิบัติตามแบบอื่นจนกระทั่งคิดที่จะฆ่าตัวตาย โกรธแม้ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นความกดดันซึ่งพยายามที่จะข่ม ที่จะวาง ที่จะปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างโดยที่ปัญญาไม่เกิดเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อพยายามบีบบังคับ ความฟุ้งซ่านก็เกิดขึ้น ซึ่งก่อนนั้นไม่เคยเป็น แต่เมื่อเข้าใจไม่ถูกต้องในข้อปฏิบัติ เกิดความสงสัย ไม่แน่ใจ ทำให้หันไปสู่ การประพฤติปฏิบัติที่ผิดได้
เพราะฉะนั้น ถ้ามีความสงสัย ไม่แน่ใจทางที่ถูก หิริโอตตัปปะควรจะเกิด และพิจารณาในเหตุผลว่า สิ่งใดเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่ปัญญาจะต้องรู้ อะไรเป็น อริยสัจธรรม อะไรเป็นของจริง สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาจริงไหม เสียงที่กำลังปรากฏทางหูจริงไหม กลิ่น รส โผฏฐัพพะจริงไหม จิตที่กำลังเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้โผฏฐัพพะ คิดนึก จริงไหม เป็นสัจธรรม เป็นสิ่งที่รู้แจ้งได้จริง หรือไม่จริง แทนที่จะต้องตามคำพูด หรือการชักจูงของคนอื่น และเกิดความสงสัย ความไม่แน่ใจ ในหนทางข้อปฏิบัติที่จะเจริญซึ่งทำให้ปัญญารู้แจ้งอริยสัจธรรม