แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1598

ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย

วันอาทิตย์ที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๒๙


ขั้นต้นจริงๆ คือ นามธรรมมีหลายประเภทหลายชนิดในวันหนึ่งๆ จริงไหม ซึ่งควรที่จะได้พิจารณาว่า โดยขั้นของการฟัง วันหนึ่งมีนามธรรมหลายชนิด เห็น เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง ได้ยินเป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง สุขเป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง ทุกข์เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง จำได้เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง ดีใจเป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง เสียใจเป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง จริงไหม

นี่คือลักษณะของนามธรรมต่างๆ แต่ทุกอย่างเป็นเราทั้งหมด เพราะไม่ได้รู้ จริงๆ ว่า แต่ละอย่างนั้นเป็นนามธรรมแต่ละชนิด แต่ละลักษณะ เพราะฉะนั้น เมื่อสภาพธรรมมีต่างๆ กันตามเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้น สติระลึกลักษณะของสภาพธรรมชนิดใด ลักษณะของสภาพธรรมนั้นก็เป็นนามธรรมชนิดนั้นที่ปัญญาจะต้องพิจารณาจนรู้ว่าไม่ใช่เรา แต่ไม่ใช่ให้นึกถึงเรื่อง หรือนึกถึงชื่อของสภาพธรรมนั้นในขณะนั้น แต่ถ้าเกิดคิดนึกขึ้น ก็ไม่มีใครสามารถยับยั้งได้ ก็จะต้องรู้ว่าขณะนั้นเป็นสภาพคิด เห็นกับคิดนี่ต่างกัน

ผู้ฟัง การตอบปัญหาของท่านอาจารย์ในวันนี้มีประโยชน์มาก เนื่องจากมี ผู้สงสัยว่า จะต้องศึกษาพระอภิธรรมกันแค่ไหน เพียงใด จึงจะเจริญสติปัฏฐานได้ เพราะฉะนั้น สติระลึกรู้รูปธรรมนามธรรม และถ้าละได้ว่าไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลได้แล้ว นั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง โดยสรุปเป็นอย่างนี้

ผมก็อยากจะให้กำลังใจกับผู้ที่ท่องได้แล้ว ผมว่าไม่ต้องท้อแท้ ได้กำไรแล้ว เมื่อท่องได้แล้ว ก็ค่อยๆ ศึกษาลักษณะสภาพธรรมต่อไป ได้กำไรกว่าผมแล้ว ผมยังท่องไม่ได้เลย

สุ. เรื่องของธรรม ขอเรียนให้ทราบว่า เป็นเรื่องละทั้งหมด ถ้าใคร ยิ่งละได้มากเท่าไร ก็หมายความว่าเข้าใจในลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลมากเท่านั้น ถ้ายังมีความพอใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่ แม้แต่ความสามารถ ในการศึกษา ความสามารถในการทรงจำ ความสามารถในการเข้าใจ ก็เป็น อกุศลธรรมที่จะต้องละ

เพราะฉะนั้น เรื่องของอกุศลและกุศลไม่ใช่เรื่องที่จะรู้ได้ง่ายเลย โดยตำรา ไม่ยาก อกุศลจิตมี ๑๒ ดวง ๑๒ ประเภท และมหากุศลจิตหรือกามาวจรจิตมี ๘ ดวง แต่ลักษณะจริงๆ ของอกุศลธรรม อกุศลจิตแต่ละประเภท แต่ละขณะ ในวันหนึ่งๆ มีใครรู้ รู้แต่ชื่อ ทั้งๆ ที่อกุศลจิตมีมากตั้งแต่ตื่นจนถึงเดี๋ยวนี้ และกุศลก็มี แต่แม้กระนั้นก็รู้เพียงชื่อ ไม่ใช่รู้ลักษณะจริงๆ ของกุศลจิตและอกุศลจิต เพราะว่า สภาพธรรมมีปัจจัยเกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็วมาก

ที่จะรู้ลักษณะของกุศลจิตได้ ก็ในขณะที่เป็นไปในทานบ้าง ในศีลบ้าง ในความสงบของจิตบ้าง ในการเจริญสติปัฏฐานบ้าง

ชั่วครู่ที่ผ่านไป จิตอะไร ถ้าถามจะมีคำตอบเพียงว่า รู้แต่ว่ามีจิตเท่านั้นเอง และแม้แต่รู้ว่ามีจิต ก็ไม่ใช่ในขณะที่จิตนั้นกำลังเป็นไปด้วย

แสดงให้เห็นว่า จะต้องเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ ในการที่จะรู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรมจนกระทั่งละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้

ในขณะที่มีการบริจาคทานวัตถุ พอที่จะเห็นลักษณะของอโลภะได้ไหม แต่ต้องเป็นในขณะที่จิตผ่องใส สละวัตถุนั้นให้เป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่น ซึ่งต่างกับขณะที่ หวังสิ่งตอบแทน เพราะฉะนั้น พิจารณาดู การให้เป็นกุศล แต่ต้องละเอียดที่จะรู้ว่า ต่างกับขณะที่หวังสิ่งตอบแทน แม้จะหวังเพียงความสนิทสนมคุ้นเคย นั่นก็เป็น อกุศลแล้ว หรือหวังให้บุคลที่ได้รับเคารพนอบน้อม หรือให้กตัญญูกตเวที ขณะนั้น ก็เป็นอกุศลแล้ว

เพราะฉะนั้น ที่เป็นกุศลจริงๆ ถ้าสติระลึกลักษณะสภาพของจิตที่ผ่องใส ไม่ติดข้อง และสละโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ เลย ในขณะนั้นจึงจะเห็นลักษณะของอโลภเจตสิก แต่ทันที่หวัง แม้เพียงความสนิทสนมคุ้นเคย ขณะนั้นก็เป็น อกุศลจิตแล้ว เป็นโลภมูลจิตแล้ว

และวันหนึ่งๆ ลักษณะของอกุศลจิตและกุศลจิตจะอยู่แต่เพียงในตำรา ถ้า สติปัฏฐานไม่เกิด ไม่ระลึก ไม่รู้ความต่างกันซึ่งเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก เพราะฉะนั้น ในวันหนึ่งๆ ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานเป็นปกติย่อมรู้จักตนเองตามความเป็นจริงว่า กุศลจริงๆ เกิดในขณะไหน และหลังจากนั้นแล้วจะมีอกุศลจิตเกิดแทรกคั่นมากน้อย แค่ไหน

ในขณะที่วิรัติทุจริต ก็พอจะเห็นลักษณะของอโทสเจตสิก ซึ่งเป็นสภาพ ที่เมตตา ไม่ต้องการทำให้คนอื่นเดือดร้อนด้วยการกระทำของท่าน ไม่ว่าจะเป็น ทางกาย หรือทางวาจา ในขณะนั้นพอที่จะระลึกได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดอีก เพราะว่าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจเกิดสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้น เพียงชั่วขณะที่ตาเห็นสิ่งที่ไม่พอใจ ขณะนั้นความขุ่นใจแม้เพียงเล็กน้อยก็เกิดแล้ว นี่เป็นเรื่องที่จะต้องรู้ว่า อกุศลช่างเกิดง่ายและมีปัจจัยที่จะเกิดอย่างรวดเร็ว

ต้องเป็นผู้ที่เจริญสติปัฏฐานจริงๆ จึงจะค่อยๆ ละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เพราะรู้ในลักษณะที่เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม แต่ไม่ใช่ไปพยายามบังคับกิเลส เพราะว่ากิเลสและธรรมทั้งหลายไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร

. จากการศึกษาเรื่องจิต นอกจากทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวง ที่เกิดทางตา หู จมูก ลิ้น กายแล้ว นอกจากนั้นจิตก็เกิดทางมโนทวาร เกิดทางหทยวัตถุ

สุ. ขอประทานโทษ มโนทวารไม่ใช่หทยวัตถุ

. เมื่อพูดถึงทหยวัตถุ ก็นึกถึงหัวใจทุกทีว่า จิตจะต้องเกิดตรงนี้แหละ

สุ. แสดงว่าอย่างไร ทราบไหม

. แสดงว่า เรายังติดข้องอยู่ในหัวใจ

สุ. ยังยึดถือว่าเป็นร่างกายของเราตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า จนรู้ว่าหัวใจอยู่ตรงไหน ใช่ไหม

ถ. ตามที่ศึกษาจากอาจารย์ ผมเข้าใจว่า จิตเป็นธรรมชาติที่นึกคิด เป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์ ไม่มีตัวมีตน แต่ก็ยังนึกว่ามีตัวมีตนอยู่ในนี้ ซึ่งความจริงแล้วไม่มี เป็นสภาวธรรม เป็นสังขตธรรม เกิดขึ้นเพราะมีเหตุมีปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุปัจจัย จิตก็เกิดไม่ได้ ความเข้าใจของผมอย่างนี้ ตรงกับที่อาจารย์สอนหรือเปล่า สุ. เป็นความเข้าใจตรง แต่ควรจะถึงขั้นประจักษ์แจ้งด้วย เรื่องความเข้าใจทุกคนเข้าใจ จิตเห็นในขณะนี้เกิดทันทีที่รูปกระทบกับจักขุปสาท และทันทีที่ จักขุปสาทและรูปารมณ์ที่กระทบดับไป ก็ไม่มีการเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือ รู้สิ่งที่ปรากฏทางตาเลย นี่ขั้นความเข้าใจ แต่ต้องประจักษ์แจ้ง

ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค อรรถกถาอุทยัพพยญาณนิทเทส ข้อ ๑๐๓ – ๑๑๑ มีข้อความว่า

การรวมเป็นกองก็ดี การสะสมก็ดี ย่อมไม่มีแก่ขันธ์ที่ยังไม่เกิดก่อน แต่ขันธ์เหล่านี้เกิด

หมายความว่าไม่ใช่มีขันธ์สะสมรวมกันเป็นกองไว้ก่อนที่จะเกิด ไม่ใช่อย่างนั้น การรวมเป็นกองก็ดี การสะสมก็ดี ย่อมไม่มีแก่ขันธ์ที่ยังไม่เกิดก่อนแต่ขันธ์เหล่านี้เกิด คือ ไม่ใช่ไปสะสมเอาไว้ที่หนึ่งที่ใด

ชื่อว่าการมาโดยรวมเป็นกอง โดยความสะสม ย่อมไม่มีแม้แก่ขันธ์ที่เกิดขึ้น

ในขณะที่เกิด ก็ไม่ใช่รวมเป็นกองไว้แล้วเกิดขึ้น แต่ต้องมีเหตุปัจจัยที่ ขันธ์เหล่านั้นแต่ละขันธ์จะเกิด

ชื่อว่าการไปสู่ทิศน้อยใหญ่ ย่อมไม่มีแม้แก่ขันธ์ที่ดับ ชื่อว่าการตั้งลง โดยรวมเป็นกอง โดยสะสม โดยเก็บไว้ในที่แห่งหนึ่ง ย่อมไม่มีแม้แก่ขันธ์ที่ดับแล้ว เหมือนนักดีดพิณ เมื่อเขาดีดพิณอยู่ เสียงพิณก็เกิด มิใช่มีการสะสมไว้ก่อนเกิด เมื่อเกิดก็ไม่มีการสะสม การไปสู่ทิศน้อยใหญ่ของเสียงพิณที่ดับไปก็ไม่มี ดับแล้ว ไม่ว่าที่ไหนก็ไม่สะสมคงไว้ ที่แท้แล้วพิณก็ดี นักดีดพิณก็ดี อาศัยความพยายาม อันเกิดแต่ความพยายามของนักดีดพิณ ไม่มีแล้วยังมีได้ ครั้นมีแล้วยังเสื่อมได้ ฉันใด ธรรมมีรูปและไม่มีรูปแม้ทั้งหมดก็ฉันนั้น ไม่มีแล้วยังมีได้ ครั้นมีแล้วยังเสื่อมได้ ผู้อบรมเจริญปัญญาย่อมเห็นด้วยประการฉะนี้แล

ย่อมเห็น ไม่ใช่เพียงเข้าใจ และเป็นความจริงอยู่ทุกๆ ขณะนี้ แต่เมื่อปัญญายังไม่เกิด ก็ไม่มีสภาพธรรมอื่นใดที่สามารถประจักษ์แจ้งลักษณะจริงๆ ของ ปรมัตถธรรมซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

ตราบใดที่อวิชชามีปัจจัยเกิดขึ้น อวิชชาก็เป็นสภาพไม่รู้ ทำอย่างไรๆ จะให้อวิชชารู้ปรมัตถธรรม รู้ในสภาพที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนไม่ได้ เพราะฉะนั้น จึงต้องอบรมเจริญปัญญาถึงขั้นที่สามารถประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้เอง

ในขณะที่เข้าใจพระธรรม พอจะเห็นลักษณะของปัญญาเจตสิกหรืออโมหะ ได้ไหมว่า ขณะที่ไม่ได้ฟัง ไม่ได้พิจารณา เป็นความไม่รู้ แต่ขณะที่รู้และเข้าใจ เป็นขณะที่ต่างกับขณะที่ไม่รู้และไม่เข้าใจ

. เรื่องประจักษ์แจ้ง เป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง ไม่ทราบว่าชาตินี้จะ ประจักษ์แจ้งหรือเปล่า

สุ. ชาตินี้ คือ เดี๋ยวนี้ เข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏหรือเปล่า ตรงนี้เอง ไม่ต้องคิดไปไกล แต่ในขณะนี้เอง สติเกิด ระลึกลักษณะของสภาพธรรม และเข้าใจในสภาพที่ได้ยินได้ฟังมาโดยตลอด ไม่ใช่แต่ในชาตินี้ชาติเดียว คำว่า นามธรรมและรูปธรรม จะต้องได้ยินต่อไปอีก เพราะจะต้องถึงขั้นที่ไม่ยึดถือว่านามธรรมและรูปธรรมนั้นเป็นตัวตน

ผู้ฟัง เรื่องเข้าใจธรรม แม้แต่ขั้นเข้าใจก็เป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง และเรื่องประจักษ์ธรรมตามที่เข้าใจแล้วก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก ไม่ทราบว่ากี่ร้อยกี่พันเท่า จนกระทั่งสมัยนี้มองเห็นกันแล้วว่า ไม่มีใครสามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้จริงๆ ผมก็เคยบวช เมื่อบวชอยู่ก็ไม่ได้ศึกษาธรรมจริงๆ จังๆ เพื่อให้เข้าใจอรรถจะได้ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง ให้ประจักษ์แจ้ง ไม่ได้มีความคิดอย่างนี้เลย การศึกษา สมัยนี้ควรจะเปลี่ยนทัศนะใหม่ ไม่ใช่ไปศึกษาเอาชั้นเอาภูมิกัน ซึ่งเมื่อได้มาแล้ว ก็ไม่เห็นได้อะไร นอกจากลาภ ยศ สรรเสริญที่จะได้มาเท่านั้นเอง

เรื่องประจักษ์แจ้งนี้ ถ้าใครสามารถประจักษ์แจ้งได้ แต่ก็ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ว่า ใครประจักษ์แจ้งแล้ว ถ้าหากมีเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาให้เห็น ก็จะเป็นการดึงดูดศรัทธาของประชาชนในสมัยนี้เป็นอย่างมาก

สุ. เป็นไปได้หรือ เพราะคำกล่าวอ้างต่างๆ จะทำให้เกิดความเห็นผิดหรือเห็นถูก เพียงคำกล่าวอ้าง

ผู้ฟัง ก็อาจจะเป็นไปได้ เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ มีคนพยายามไปสร้างให้หลวงพ่อหลายองค์สำเร็จมรรคผล ซึ่งจะเป็นเหตุให้คนเข้าใจผิดได้ และเรื่องการประจักษ์แจ้งนี่ จะไปเร่งรัดว่า จะเอาให้ได้วันนี้ พรุ่งนี้ ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้

สุ. แม้แต่ฉันทะที่จะเจริญสติปัฏฐาน ก็ยังเร่งไม่ได้ เพราะไม่ใช่เรื่องการบังคับ ไม่ใช่เรื่องการชักชวน ไม่ใช่เรื่องการเร่งเร้าที่จะให้ใครเกิดศรัทธาที่จะเจริญ มรรคมีองค์ ๘ เพราะว่าทุกคนก็หนักๆ ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ได้เบาเลย หนักด้วยกิเลส

ปุถุ ความหนาแน่นด้วยกิเลส เพราะฉะนั้น จะชวนกันให้ละกิเลสเป็นเรื่องยาก แต่ชักชวนให้เห็นประโยชน์ของพระธรรม ให้ศึกษาและเข้าใจ เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นก็เป็นสังขารขันธ์ที่ปรุงแต่งให้สติระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ โดยไม่ต้องมีใครชักชวน เพราะว่าสภาพธรรมทั้งหลายต้องมีเหตุปัจจัยที่จะเกิด จึงเกิดขึ้นได้

ถ้ามีญาติพี่น้องที่กำลังมีชีวิตเพลิดเพลินในทางโลก และจะบอกให้เขาไปนิพพาน หรือบอกให้เขาดับกิเลส เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย แต่ชักชวนให้ฟังธรรม ให้เข้าใจก่อน และแล้วแต่ว่าใครจะมีปัจจัยเจริญหนทางข้อปฏิบัติที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม ก็ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ไม่ใช่ว่าต้องให้ถึงนิพพาน เพียงให้รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ มีฉันทะ มีความพอใจหรือยังที่จะเป็นผู้ที่รู้ ดีกว่าไม่รู้ ลักษณะของสภาพธรรมปรากฏแล้ว รู้ย่อมดีกว่าไม่รู้ เพียงเท่านี้ก็ยาก ถ้าผู้นั้นไม่ได้ฟังพระธรรม ก็ย่อมไม่เห็นว่าเป็นประโยชน์

, มีข้อสงสัยเกี่ยวกับอายตนะภายใน ภายนอก

สุ. อายตนะแปลว่าอะไร คืออะไรในขณะนี้

, คือ ที่เกิด บ่อเกิด

สุ. ขณะนี้อยู่ที่ไหน

, อยู่ที่ใจ

สุ. อย่างเดียวหรือ

, ทั้งภายใน ภายนอก มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธัมมารมณ์ สงสัยว่า จะจัดอายตนะทั้งภายในและภายนอก ให้เห็นเป็นนามรูปโดยลักษณะอย่างไร

สุ. นามธรรมมีจริง ใช่ไหม สภาพรู้ ธาตุรู้มีจริงขณะไหน ท่านกำลัง นอนหลับสนิท สามารถที่จะรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมได้ไหม

. นอนหลับสนิท ผมเข้าใจว่า ถีนมิทธะครอบงำอย่างที่สุดหรือเปล่า คือ ง่วงเหงาหาวนอนถึงที่สุดจนไม่รู้

สุ. เมื่อคืนนี้นอนหลับหรือเปล่า

. หลับ

สุ. ขณะที่กำลังนอนหลับเห็นอะไร ได้ยินอะไรบ้างหรือเปล่า

. จักขุไม่ได้ทำกิจ

สุ. ขณะนั้นไม่รู้อะไรเลย ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ทางที่จะรู้มี ๖ ทาง เป็นอายตนะ ๖ เพราะว่าเป็นที่ประชุม ที่ต่อกับอารมณ์ ทำให้เกิดสภาพรู้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

. หมายถึงเวลาที่จักขุกระทบรูปภายนอกพึงทราบด้วยใจใช่ไหมว่า ได้เห็นแล้ว

สุ. จักขุปสาทเป็นรูปธรรม จักขุปสาทไม่เห็น

. ไม่เห็น ส่วนนามธรรมขณะนั้นรู้ แต่ไม่เห็น ใช่ไหม

สุ. ขณะนี้กำลังเห็น ใช่ไหม เป็นนามธรรมใช่ไหมที่กำลังเห็น เป็นสภาพรู้สิ่งที่ปรากฏ นี่คือความหมายของนามธรรม แต่ถ้าไม่มีจักขุปสาทเห็นไม่ได้ ถ้า ไม่มีรูปารมณ์กระทบจักขุปสาทก็เห็นไม่ได้

. เวลานอนเกิดเป็นภาพปรากฏขึ้นมาทางใจ ทำไมรู้สีมืดขาวสว่างนั้นได้

สุ. นั่นคิดนึก

. และจะจัดอายตนะภายใน ภายนอกว่า เป็นนาม เป็นรูปได้อย่างไร

สุ. เวลานี้ตาอยู่ที่ไหน ที่กำลังเห็น เห็นอะไร

. เห็นรูป

สุ. เห็นรูปภายนอก ใช่ไหม และตาอยู่ที่ไหน

. ถ้าจะพูดว่าตาอยู่ที่ไหน ก็อยู่ไม่ได้ เพราะตาเป็นอนัตตา ไม่รู้อยู่ที่ไหนในโลก

สุ. ต้องมีที่อยู่ นามธรรมในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ต้องเกิดที่รูป จะเกิดลอยๆ ข้างนอกรูปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ตากระทบกับรูป ทำให้เกิดการเห็น

เปิด  242
ปรับปรุง  2 มิ.ย. 2565