แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1643

ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย

วันอาทิตย์ที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๓๐


. เนื่องจากจิตเกิดดับสลับกันไปมาอย่างรวดเร็ว ในขณะที่สวดมนต์และหลับตา คิดว่าสติเกิดขึ้นระลึกว่า โลภะแทรกเข้ามาเพื่อที่จะได้สวดมนต์ด้วยความมั่นคง ขณะนั้นอาจารย์ว่าเป็นโลภะหรือเปล่าที่อยากจะได้เจริญกุศลมากๆ

สุ. เป็นเรื่องของจิต กุศลจิตเป็นเรื่องที่ประกอบด้วยศรัทธา และโสภณสาธารณเจตสิกอื่นๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่า มีทั้งสติที่ระลึกได้ มีทั้งศรัทธา สภาพที่ผ่องใส และมีสภาพที่เป็นหิริ ความรังเกียจอกุศล และมีโอตตัปปะซึ่งเป็นสภาพที่เกรงกลัวอกุศล ถอยกลับจากอกุศล เพราะฉะนั้น ขณะนั้นจิตเกิดดับนับไม่ถ้วน ไม่มีใครสามารถที่จะกล้ากล่าวหรือยืนยันได้ว่า จิตของใครเป็นโลภะ หรือจิตของใครเป็นกุศล แต่โดยการเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน จะทำให้ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดขึ้น ในชีวิตประจำวันสามารถที่สติจะค่อยๆ ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้นได้ ด้วยตัวเองว่า ขณะนั้นเป็นกุศลจิตที่ถอยกลับจากอกุศล เพราะว่ามัวคิดเรื่องอื่น แทนที่จะน้อมระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ถ้าเป็นอย่างนั้น เป็นกุศลที่จะน้อมระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ แต่ถ้าไม่ใช่ ก็กลายเป็นความต้องการกุศล เป็นโลภะ ซึ่งเกิดดับสลับกันเร็วจริงๆ แต่ใครจะไปรู้ จิตของคนอื่นซึ่งก็ดับไปแล้ว ใช่ไหม

ผู้ฟัง ผมคิดว่า ถ้าหากทุกๆ ท่าน มีสติเกิดในขั้นต่างๆ ช่วยกรุณามาเรียนให้ท่านผู้ฟังหรือผู้ที่สนใจในธรรมทราบ จะเป็นประโยชน์กับท่านผู้ฟังมาก

สุ. ลักษณะของความเป็นตัวตน ท่านผู้ฟังจะเห็นได้ว่า แน่น เพียบ อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะคิดอะไร ไม่ว่าจะทำอะไรทั้งนั้น ตั้งแต่เช้ามาจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ ถ้าสติไม่เกิดที่เป็นสติปัฏฐานจะรู้บ้างไหมว่า เป็นโลภะเท่าไร

เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ ที่เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา ก็เป็นโลภะประเภทต่างๆ และ เป็นโทสะคั่นสลับบ้างเล็กน้อย และเป็นอกุศลประเภทต่างๆ ถ้าสติไม่เกิดขึ้น จะไม่มีวันรู้เลย เพราะชิน และเป็นอย่างนี้ทุกวัน ไหลเรื่อยตั้งแต่ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะฉะนั้น อาศัยสติที่ระลึก ชั่วขณะใดที่สติเกิด และระลึก ชั่วขณะนั้นเป็นกระแสที่กั้นลักษณะของอกุศลธรรมในวันหนึ่งๆ จริงๆ ที่จะเกิดระลึกขึ้นมาได้ ถ้าเป็นสติปัฏฐานก็ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางหนึ่งทางใด เพราะฉะนั้น ในขณะเมื่อกี้ที่ผ่านไป สภาพธรรมจริงๆ มากมาย ทางตาและก็คิดนึก และต้องการที่จะเป็นกุศล หรือต้องการที่จะระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ ด้วยความศรัทธายิ่งขึ้นไม่ใช่ปล่อยให้เป็นอกุศลตลอดไป ต่อไปเรื่อยๆ หรืออะไรอย่างนั้น

จะเห็นได้ว่า ช่วงขณะที่สติเกิด เป็นช่วงขณะที่เล็กน้อยและสั้นมาก และก่อน ที่จะได้ฟังประโยคนี้ก็ไม่ทราบว่า เป็นกุศลหรือเป็นอกุศลประการใด แต่ให้ทราบว่า เวลาที่ฟังธรรม ก็ยังเป็นโอกาสที่จะได้รับฟังเรื่องของสภาพธรรมและพิจารณาให้เข้าใจว่า ในวันหนึ่งๆ ที่เป็นกุศลจริงๆ ที่จะกั้นกระแสของอกุศลได้มากกว่ากุศลประเภทอื่นก็คือ สติปัฏฐาน ซึ่งระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้น

ถ้าเมื่อกี้หลับตา ขณะต่างๆ ผ่านไปหมดแล้ว ไม่ต้องกังวลเลย เพราะว่า จิตเกิดเพียงชั่วขณะเดียว สภาพธรรมปรากฏก็เพียงชั่วขณะเดียว เพราะฉะนั้น สติระลึกลักษณะของสิ่งที่ปรากฏในขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศล จนกว่าความรู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นอกุศลจะชัดขึ้น หรือรู้ในลักษณะที่เป็นกุศล ชัดขึ้น สามารถที่จะแยกออกได้ว่า ขณะไหนเป็นกุศล และขณะไหนเป็นอกุศล แต่ต้องเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานเท่านั้น จึงจะเห็นลักษณะของสติขั้นต่างๆ เพิ่มขึ้น

ผู้ฟัง เรื่องอัตตสัญญา ความสำคัญว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นเรา เป็นเขา เป็นเรื่องที่มีอยู่เป็นประจำทุกลมหายใจเข้าออก เมื่อปลายเดือนที่แล้วจนกระทั่งถึง ต้นเดือนนี้ ผมประสบกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา รู้สึกว่าในใจมีแต่ตัวตน มีเขา มีคนโน้นคนนี้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งความคิดอย่างนี้ไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย มีแต่จะนำมาซึ่งความทุกข์ โทมนัส โสกะ ปริเทวะ ความร่ำไรรำพัน ซึ่งไม่ตรงกับหลักของมหาสติปัฏฐาน ที่ท่านบอกว่า หนทางเดียวนี้เท่านั้นที่จะเป็นทางดับทุกข์ โทมนัส ความโศก ปริเทวะ ความร่ำไรรำพันได้ แต่เพราะเราเพียงจำ เพียงเข้าใจบ้าง แต่ไม่ประจักษ์ ทำให้เดือดร้อน ทุกข์ทับถมตลอดเวลาจนแทบจะตั้งตัวไม่ติด หรือไม่สามารถจะระลึกถึงธรรมได้เลย พูดได้ว่า ตลอดเวลาเป็นอกุศล

ผมมาได้สติจากเพื่อนฝูงบ้าง จากท่านอาจารย์บ้าง ได้ฟังเทปธรรมก็ฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ทำให้เกิดระลึกได้ว่า ที่เราระลึกนึกถึงคนนั้น คนนี้ สัตว์ สังขาร สิ่งนั้นสิ่งนี้ว่า เป็นเรา เป็นเขา เป็นตัวเป็นตนนั้น เป็นเรื่องที่เรานึกเอาทั้งนั้น ความจริงไม่ใช่ ขณะที่จิตนึกถึงก็มีสติระลึกได้บ้างว่า เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้น เป็นนามธรรมชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นให้ระลึกถึง ระลึกถึงได้ตอนนี้ สติเกิดขึ้นตอนนี้ เราไม่ไปสร้างถึงคนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ เป็นเรา เป็นเขา อย่างนั้น อย่างนี้ ก็ทำให้คลายความทุกข์ความโทมนัสลงได้บ้าง ผมประสบอย่างนี้ จะเป็นแนวทางที่เป็นไปได้แค่ไหนเพียงใดหรือเปล่า

สุ. นี่เป็นประโยชน์ของการรู้ว่า ไม่ใช่ตัวตน แม้แต่เพียงในขั้นของการฟัง คือ ฟังมาโดยตลอดว่า ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน แต่เห็นทีไรก็เผลอ หลงลืมสติ เพราะว่าสติไม่เกิด จึงไม่ได้ระลึกว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นแต่เพียง สภาพธรรมอย่างหนึ่ง เวลาได้ยินเสียงก็หลงลืมสติ ไม่ได้ระลึกรู้ว่า ขณะที่ได้ยินเสียง ก็เป็นชั่วขณะจิตเดียว คือ ย่อโลกที่กว้างใหญ่และเต็มไปด้วยสัตว์บุคคลตัวตนทั้งหลาย เหลือเป็นแต่เพียงจิตขณะหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นรู้สภาพธรรมเพียงลักษณะเดียว ไม่ว่าจะเป็นรูปหรือเป็นนามอะไร ก็เป็นเพียงสภาพธรรมที่มีอายุที่สั้นมาก และดับไปทั้งนั้น

นี่คือเรื่องของการฟัง ฟังบ่อยๆ ฟังไปเรื่อยๆ จนกว่าสติเกิดเมื่อไร ก็จะพิจารณาลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏว่า เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง ที่มีอายุที่สั้นมากจริงๆ จึงไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

แต่ถ้าไม่อาศัยการฟังพระธรรมเลยในเรื่องของอนัตตา ธรรมทั้งหลายไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ก็ยากที่จะระงับความโทมนัสหรือการยึดถือในสัตว์ ในบุคคล ในตัวตนได้

ผู้ฟัง เรื่องอัตตสัญญาเป็นเรื่องใหญ่มาก ที่ยังถอนหรือยังละความเห็นว่า เป็นตัวตนไม่ได้ ก็เพราะเราได้จำหมายว่าเป็นตัวตนมาหลายชาติแล้ว ถึงขนาดที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ถึงการที่จะละอัตตสัญญา แม้กระทั่งได้อบรมเจริญสติปัฏฐานจนเป็นพระโสดาบันแล้ว ละได้แต่ทิฏฐิ แต่ยังละความเสียใจไม่ได้ อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน พระอานนท์ยังต้องเหนี่ยวคันทวยร้องไห้โศกเศร้าขนาดหนัก ขนาดท่านเป็นพระโสดาบัน เจริญสติปัฏฐานจนละทิฏฐิและ ละกิเลสได้มากมายแล้ว สำหรับพวกเราที่เพียงฟังอาจารย์ และจำมา มีความเข้าใจเล็กๆ น้อยๆ จึงยังช่วยอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้น อัตตสัญญายังมีมาก

อัตตสัญญา คือ ความเป็นตัวตนเป็นตน พระโสดาบันละได้แล้ว แต่ยังละความเสียใจไม่ได้ ยังมีที่จะแทรกเข้ามาอีก เพราะฉะนั้น เพื่อนสหายธรรมที่ได้รับความทุกข์ ก็เป็นแต่เพียงนำเอาธรรมเข้ามาเทียบเคียงเท่านั้น แต่ไม่ใช่ถึงขนาดประจักษ์แจ้งว่า ไม่มีตัวไม่มีตนแล้ว ไม่ต้องไปเสียใจ เพราะขนาดพระโสดาบันท่าน ละความไม่มีตัวไม่มีตนได้แล้ว ท่านก็ยังเสียใจ

เรื่องอัตตสัญญา ผมอยากพูดต่อไปว่า เพราะว่าพวกเรายินยอมให้เขาหลอก ให้เห็นว่าเป็นตัวเป็นตน ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงบอกว่าไม่ได้เป็นตัวเป็นตน อย่างเมื่อ วานนี้ สหายธรรมคนหนึ่งบอกว่าดูภาพยนตร์ เห็นคนกำลังปีนเขา หวาดเสียวมาก คนดูก็เป็นทุกข์ไปด้วยกลัวเขาจะตก แต่หลังจากนั้นเขามาแฉเบื้องหลังการถ่ายทำให้ดู ปรากฏว่า เขาถ่ายคนที่เดินบนพื้นเรียบๆ ธรรมดาเท่านั้น แสดงว่าโดนเขาหลอกให้ดู ก็เหมือนกับพวกเรา เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาก็ยึดว่าเป็นตัวเป็นตน ยังยินดีที่จะให้เขาหลอกว่าเป็นตัวเป็นตนอยู่นั่นเอง และเราก็ยึดอยู่อย่างนั้น เพราะเราเต็มใจ เหมือน เราดูภาพยนตร์ เราโดนเขาหลอก และเราก็เต็มใจให้เขาหลอกอยู่ทุกวัน

สุ. แต่ไม่มีเราหรือตัวตน เป็นอวิชชา เป็นความไม่รู้ เป็นอกุศลทั้งหลาย จนกว่าจะอบรมเจริญปัญญาด้วยการฟังจริงๆ และพิจารณาโดยละเอียดรอบคอบให้เข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากที่จะเห็นสภาพที่เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ของสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่จากการที่ฟังและพิจารณาเนืองๆ บ่อยๆ ก็เป็น หนทางตรง หนทางที่จะทำให้สัมมาสติเกิด ระลึก และค่อยๆ ศึกษาลักษณะของ สภาพธรรมไปเรื่อยๆ

มีท่านผู้ฟังท่านหนึ่งบอกว่า ท่านฟังมา ๒๐ ปี แต่ท่านก็ยังไม่ได้อะไร ดิฉันก็อนุโมทนา เพราะรู้ว่าต้องเป็นความจริงอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าจะได้เป็นพระโสดาบันบุคคลภายใน ๒๐ ปีที่ฟัง แต่หมายความว่า จะต้องค่อยๆ เข้าใจขึ้น เข้าใจละเอียดขึ้น และรู้ว่าสภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เมื่อมีปัจจัยที่สติจะเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมเมื่อไร สติก็เกิด และปัญญาขั้นที่จะศึกษาพร้อมสติที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมนั้นก็ค่อยๆ เจริญขึ้น ซึ่งเป็นไปทีละเล็กทีละน้อยๆ จริงๆ แต่ผลของการเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน จะทำให้สติขั้นอื่นเกิดเพิ่มขึ้นด้วย

นี่เป็นสิ่งที่ควรจะเห็นคุณประโยชน์ของการฟังพระธรรม และสติแต่ละขั้น ก็จะเกื้อกูล เพราะแม้ว่าจะไม่เป็นปัจจัยให้สติปัฏฐานเกิดได้เนืองๆ บ่อยๆ แต่ก็ยังเป็นปัจจัยที่จะเกื้อกูลให้สติ การระลึกได้ ขั้นอื่นๆ เกิดขึ้น

แต่ละท่านคงจะสังเกตตัวเองได้ว่า กุศลเจริญขึ้นบ้างไหม ในประการใด ซึ่งแต่ก่อนนี้คงจะไม่เกิด แต่เมื่อได้ฟังพระธรรมมากขึ้น กุศลแต่ละทางก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น ทั้งทางกาย ทางวาจา ทางใจ เพราะฉะนั้น ควรที่จะเห็นคุณประโยชน์ ของสติที่ทำให้เกิดกุศลขั้นนั้นๆ ด้วย แม้ว่ายังไม่ใช่ขั้นสติปัฏฐาน แต่สติที่เป็นขั้น สติปัฏฐานก็จะเกิดสลับกับสติที่เป็นกุศลขั้นอื่นๆ ไปเรื่อยๆ ในชีวิตประจำวัน

. สิ่งที่ปรากฏทางตา ปรากฏก่อนที่เราจะนึกว่าเป็นสีอะไร ใช่ไหม

สุ. ก่อนที่จะนึกถึงรูปร่างสัณฐาน เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา ต้องเป็นสี ที่ปรากฏ

. หมายความว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นสี

สุ. ที่เราเข้าใจว่า สีแดง สีขาว สีเขียว สีเหลือง ปรากฏทางไหน

. ปรากฏทางตา

สุ. ปรากฏทางตา เพราะฉะนั้น ความจริง สีปรากฏทางตา สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นสี ถูกไหม ถ้าไม่ใส่ใจในสีต่างๆ เพราะรู้ว่าเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา นี่คือ ความเห็นถูก ต้องรู้ว่าเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่สนใจว่าจะเป็นสีอะไร ทั้งหมดก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา

ไม่ใช่ว่าไม่มีสี มีสี และสีนั้นปรากฏทางตา ไม่ปรากฏทางหู แต่ไม่ใส่ใจใน สีต่างๆ เพราะรู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ต้องพิจารณาถึงสภาพของสติ และปัญญาในขณะนั้นด้วยว่า เพราะรู้ว่าเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา

นี่เป็นความรู้ที่ต้องอบรมขึ้น จนกระทั่งมั่นใจว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะถ้าไม่ใช่เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็ต้องเป็นคนนั้น คนนี้ ต้องเป็นคุณนิภัทร ที่ยืนอยู่ที่นี่ แต่ถ้ารู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็จะรู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นสีอะไร ทั้งหมด ธาตุแท้ ลักษณะจริงๆ ของสิ่งนั้น คือ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น

. สิ่งที่ปรากฏทางตาต้องเป็นสีแน่ๆ แต่เราไม่ต้องจำแนกว่าเป็นสีอะไร

สุ. เพื่อที่จะไม่สนใจในสัณฐาน เพราะถ้าสนใจในสัณฐาน คือ สนใจใน สีต่างๆ ก็จะปรากฏเป็นสัณฐานของสิ่งหนึ่งสิ่งใดตามความทรงจำที่เป็นอัตตสัญญา

. ถ้าไปสนใจในสัณฐาน ก็ต้องปรากฏเป็นต้นไม้ ใบไม้ เป็นพระพุทธรูป เป็นตู้พระไตรปิฎก เป็นโต๊ะหมู่บูชา เป็นดอกไม้ เป็นอะไรไป

สุ. ถูกต้อง โดยไม่รู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ

. รู้สึกว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาที่ปรากฏ เป็นเรื่องเล็กน้อยเหลือเกิน

สุ. ที่จริงแล้วสั้นมาก เพราะว่าดับไปอย่างรวดเร็ว และภวังคจิตคั่น และมโนทวารวิถีก็จำในสีต่างๆ เป็นสัณฐาน เป็นรูปร่าง และมีความรู้สึกว่า เป็นอัตตสัญญา คือ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

. อัตตสัญญาจะปรากฏทันที โดยที่ข้ามไปเลย คือ แทนที่สติจะระลึกได้ขณะที่สิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏ แต่ไปเห็นเป็นพระพุทธรูป เป็นดอกไม้ เป็นตู้พระไตรปิฎก

สุ. เช่นเดียวกับทางหูที่ได้ยินเสียง แต่เข้าใจว่าได้ยินคำ แต่ความจริง คำ ต้องเป็นมโนทวารวิถีจิตที่นึกถึงบัญญัติ

. ซึ่งเกิดทีหลัง

สุ. เกิดทีหลังตั้งหลายวาระ เพราะว่าต้องมีภวังคจิตคั่นด้วย ทางหู ฉันใด ที่ติดกันทันทีระหว่างได้ยินเสียงก็เข้าใจว่าได้ยินคำ ทางตาก็ฉันนั้น ที่เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา แม้ว่าจะเป็นสีสันต่างๆ แต่ก็เข้าใจทันทีว่า เห็นคน เห็นวัตถุต่างๆ

การที่จะเอาอัตตสัญญาออกจากทางตา ทางหู ก็โดยนัยเดียวกัน ถ้าเข้าใจถึงความรวดเร็วว่า ทางหู โสตทวารวิถีจิต ชวนวิถีจิตไม่ได้รู้ความหมายของเสียงนั้นเลย ต่อเมื่อเสียงดับไปแล้ว ภวังคจิตเกิดคั่น มโนทวารวิถีจิตก็รับรู้ปรมัตถอารมณ์ คือ เสียงนั้นต่อวาระหนึ่ง และภวังคจิตก็เกิดคั่น และมโนทวารวิถีวาระต่อไปจึงนึกถึงความหมายของเสียง

ทางตาก็เหมือนกัน รวดเร็วอย่างนั้น รูปารมณ์ต้องดับก่อน เวลานี้ก็กำลังดับ แต่มโนทวารวิถีจิตซึ่งเกิดสืบต่อจำรูปร่างสัณฐานทันที เหมือนกับการนึกถึงความหมายของเสียงสูงต่ำ นึกถึงคำต่างๆ ทันทีที่ได้ยินทางหู ฉันใด ทางตา ทั้งๆ ที่รูปารมณ์ ดับแล้ว แต่ทางใจก็นึกถึงรูปร่างสัณฐาน จึงทำให้ปรากฏว่า เป็นคน เป็นสัตว์ต่างๆ

เปิด  245
ปรับปรุง  21 ต.ค. 2566