แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1663

สนทนาธรรมระหว่างไปนมัสการสังเวชนียสถานที่ประเทศอินเดีย

เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๐


สุ. คนยุคนี้ไม่ได้สนใจกับข้อความในพระไตรปิฎกคำหนึ่งที่ว่า มิจฉาสมาธิ ลืมไปเลย ขึ้นชื่อว่าสมาธิแล้ว ดูเหมือนเป็นสัมมาไปหมด แสดงว่าค้านกับคำสอน ของพระพุทธเจ้า

นิ. นึกว่าถูกต้องไปหมด แบบนี้อันตรายจริงๆ อย่างโบราณเขาทำคาถาอาคม สามารถทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเป็นอันตรายได้ นั่นเขาก็มีสมาธิเหมือนกัน แต่เป็นมิจฉาสมาธิ เพราะทำไปทำร้ายคนอื่น

ศุ. จะเป็นอย่างนี้ได้ไหม ผู้ที่สอนก็เข้าใจว่าเป็นสัมมาสมาธิ เพราะเขาคงไม่สอนมิจฉาสมาธิแน่นอน

นิ. เป็นความเข้าใจผิดของเขา เพราะว่าสัมมาสมาธิต้องเกิดกับมหากุศล ซึ่งประกอบด้วยปัญญา

สุ. ข้อสำคัญต้องเห็นโทษของกิเลส

ศุ. ถ้าพูดตรงนี้ชัดมาก

สุ. แต่ไม่เห็นโทษของกิเลส แต่อยากได้ความสงบ เพราะไม่ชอบโทสะ ซึ่งก็คือตัวต้องการสิ่งหนึ่ง และไม่ชอบอีกสิ่งหนึ่ง แต่ไม่ใช่ปัญญา

ก. ขอเล่าเรื่องไปปฏิบัติที่เพื่อนชวนไป เป็นสำนัก เป็นบ้าน มีอาจารย์ จากจังหวัดชุมพรมาสอน ให้ท่องตจปัญจกกัมมัฏฐาน คือ ท่องเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ให้ท่องไปเรื่อยๆ และจะมีอาการสั่น ซึ่งท่านบอกว่าปีติเกิดขึ้น ถ้าสั่นแสดงว่าได้ฌาน ๑ สั่นไประยะหนึ่งจะสงบนิ่ง ท่านบอกว่าถึงฌาน ๔ และ เวลาจะออกจากสมาธิให้นึกคำว่า ออกจากสมาธิ คล้ายๆ สั่งจิต ท่านบอกว่า เป็นการออกกำลังอย่างหนึ่ง เป็นการฝึกหัดจิต

สุ. คุณกาญจนาได้ฌานหรือเปล่า

ก. ท่านบอกว่าได้ฌาน ๑ มีอาการตัวสั่น ท่านบอกว่าเป็นอุพเพงคาปีติ ดิฉันสงสัยมากเลยค้นหาว่ามีปีติประเภทนี้หรือเปล่า ก็พบว่ามีอุพเพงคาปีติจริงๆ แต่คำอธิบายไม่เหมือนกับที่ท่านอธิบายว่า อุพเพงคาปีติ เป็นปีติอย่างโลดโผน ต้องมีการกระโดดโลดเต้น ก็เถียงกับท่านที่สอนอยู่เรื่อยว่า ที่อ่านมา หรือเห็นพระพุทธรูป หรือภาพวาดต่างๆ ก็เห็นสงบนิ่ง ไม่เห็นมีเต้นเลย ท่านบอกว่า เขาวาดเวลาที่อยู่ ในฌาน ๔ แล้ว จะสงบ เมื่อทำไปๆ คนในกลุ่มจะต้องระลึกชาติได้ รวมทั้งตัวอาจารย์ที่สอนด้วย ท่านบอกว่าท่านเป็นรัชกาลที่ ๕ และผู้หญิงที่มาปฏิบัติก็เคยเป็นมเหสี ลูก หลาน ผู้ชายก็เป็นข้าราชบริพาร และที่มาพบพระที่วัด (ในอินเดีย) ท่านก็บอกว่า ท่านเป็นพระสยามเทวาธิราช ซึ่งตรงกับพี่ชายของพระที่สอนที่ว่า เป็นพระสยามเทวาธิราชเหมือนกัน และที่อินเดียก็มีพระมาบอกว่า ท่านเป็นรัชกาล ที่ ๕ เหมือนกัน ก็ถามท่านว่า อันไหนเป็นของจริง ซึ่งตอนนั้นคงเป็นอกุศลวิบาก ไม่สามารถหยุดความคิดได้

. คุณกาญจนารู้สึกตัวไหมเวลาที่สั่น

. รู้สึก และที่สั่นเพราะว่าคนอื่นเขาสั่น ซึ่งมีจังหวะ เขาบอกว่า เป็นเทคนิคอย่างหนึ่งที่ทำให้จิตสงบ คือ ตีมือกับขา เวลานั่งต้องมีเบาะรอง ต้องมี ถุงมือ ถุงเท้า มีชุดสำหรับนั่งโดยเฉพาะ ต้องนุ่งกางเกงวอร์ม บางคนตีมือจนแตก เขาบอกว่า วิบากกรรมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนเคยเกิดเป็นไก่ ก็เอา หัวแม่มือมาชนกันจนเลือดไหล เขาบอกว่า ทำให้เราระลึกได้ว่าเคยเกิดเป็นอะไร

มีคนไปมาก และที่สำนักนั้นต้องมีการลงทะเบียนว่าเป็นลูกศิษย์หมายเลขเท่าไร ของดิฉันหมายเลข ๔๐๑๙

ศุ. ผู้สอนเป็นใคร

. อาจารย์ใหญ่จริงๆ เป็นพระ ลูกศิษย์ของท่านที่มาสอนที่บ้านบอกว่า ท่านเป็นพระอรหันต์ ซึ่งพระอรหันต์ในความหมายของท่านนั้น ใครพูดไม่ดี หรือถามปัญหา จะเป็นโทษไปหมด ท่านเล่าว่า น้องชายของอาจารย์ใหญ่เถียงว่าการปฏิบัติของอาจารย์ใหญ่นั้นไม่ถูกต้อง ไม่นานเท่าไรน้องชายท่านก็ตาย เพราะสบประมาทพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น ลูกศิษย์ทุกคนเกรงกลัวมาก เวลาเจอต้องนั่งพื้นกราบติดดิน กลัวความเป็นพระอรหันต์

ศุ. ท่านเป็นฆราวาส ใช่ไหม

. เป็นพระทั้งหมด มีคนศรัทธามากสามารถสร้างเจดีย์ราคาเป็นล้านๆ ได้

ผู้ฟัง คนโง่มาก

สุ. คุณกาญจนาไปนานไหม

. ๒ ปีกว่า ก็ซักถามตลอดเวลา แต่ก็สนุกดี มีการท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ พระท่านจะไปตามถ้ำ ตามเขา ตามป่า ที่ไม่มีคนอยู่ และลูกศิษย์ก็ตามไปปฏิบัติกัน บางทีก็ลาพักร้อนไปอยู่ในถ้ำ ๒ อาทิตย์ และบางทีก็มีคนเข้าทรงบอกว่า วันนี้จะมี เทพองค์ไหนมาเฝ้าบ้าง อาจารย์รองก็สำเร็จพระอนาคามี ตอนกลางคืนเขาบอกว่า มีเทพมาฟังธรรมเต็มถ้ำไปหมด แต่เราไม่เห็นหรอก มีคนที่เขานั่งเขาเห็น เมื่อนึก ย้อนดูแล้วก็รู้สึกว่า เสียเวลา และเสียเงินไปมากมาย

สุ. และก็ยังพูดอะไรไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นจริง

ก. เมื่อได้ฌานแล้ว จะไปพูดร้ายๆ กับใครไม่ได้ เพราะว่ามีวาจาศักดิ์สิทธิ์ ถ้าพูดว่า ระวังจะตกต้นไม้ คนนั้นก็จะตกจริงๆ ตอนออกมาจากสำนักก็มีโทรศัพท์ ไปตามว่า ถ้าไม่กลับมา เทพที่เคยอารักขาอยู่จะลงโทษ

ศุ. ที่สำนักปฏิบัติมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากไหม

. มีมาก และเมื่อทำสมาธิจนได้ฌานแล้วก็เจริญวิปัสสนา เขาบอกว่า จะละกิเลสได้ต้องรู้จักกิเลสก่อน สิ่งที่เราติด คือ ราคะ เราต้องการสิ่งดีๆ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ฉะนั้น ที่เราต้องเกิดใหม่เพราะเราติด อยากได้ สิ่งดีๆ เหล่านี้ ถ้ารู้จักแล้วจะสามารถละได้ง่ายๆ เราก็หาสิ่งดีๆ มาดู เช่น หนังดีๆ และให้คนที่ดูด้วยกันสังเกตว่า มีอารมณ์อะไรเกิดขึ้นระหว่างนั้น เป็นความสุข ความรู้สึกเป็นอย่างไร เขาบอกให้รู้จักเพื่อจะได้ละต่อไป นอกจากนั้นยังมีสัมผัสดีๆ ไปไหนต้องมีรถอย่างดี พวกลูกศิษย์ก็ซื้อซีตรองให้

สุ. เมืองไทยเรามีการปฏิบัติผิดมากมาย อย่างของคุณนิภัทรเรื่องการปฏิบัติเป็นอย่างไร

นิ. ผมไปหลายแห่ง เพราะอยากจะได้ตามที่เขาเล่าลือว่า อาจารย์ท่านบรรลุ ท่านสำเร็จ เราอยากสำเร็จบ้าง ก็ไป ท่านสอนอย่างไรก็ทำตาม เริ่มแรก ผมเป็นคนกลัวผีมาก ขนาดบวชเป็นพระก็ยังกลัว แรกๆ ก็นอนในห้อง และก็มานอนนอกห้อง หอฉันโล่งๆ ดึกๆ เห็นอะไรๆ หมด ก็กลัว แต่ก็พยายามฝึก หนักๆ เข้า ก็ไปอยู่ในป่าช้า ไปตอนกลางคืนเพื่อจะฝึกให้กล้า จนทำได้ แต่ไม่หายกลัวหรอก จนกระทั่งท่านบอกว่า ปฏิบัติจริงๆ ต้องเดินเข้าป่า เข้าเขา ก็ไป ตอนอยู่ที่ภูเขา ผมตกเขาเกือบตาย

ก็ไม่อยากจะเล่าเรื่องที่วิปริตมา คือ เข้าใจตัวเองว่าเป็นผู้สำเร็จเหมือนกัน เพราะว่าลูกศิษย์ที่อยู่ด้วย ซึ่งเขาสละครอบครัวมานุ่งขาวอยู่กับผม เขาบอกว่าอาจารย์ที่เคยไปด้วยก็เป็นอย่างนี้ สำเร็จแล้ว ผมก็ครึ้มใจอยู่หลายวันว่า เมื่ออยากสงบก็สามารถนั่งได้ตั้งแต่เช้ายันเที่ยง ตอนแรกๆ ก็เป็นเหน็บ หนักเขาเหน็บเป็น เรื่องเล็ก และนั่งกำหนดลมหายใจ

สุ. กำหนดลมหายใจที่ตรงไหน

นิ. ที่จมูกเวลาลมเข้าลมออก แต่ไม่รู้ว่าเป็นสมถะอย่างไร วิปัสสนาอย่างไร ที่คิดว่าผมได้ เพราะผมนั่งไปและหลับตา ผมเห็นแก้วใสๆ อยู่ในท้อง เหมือนหลอดนีออนเล็กๆ เวลาต้องการให้สงบก็นึกอย่างนี้ และจรดที่หลอดใสๆ นั้น ใจก็สงบนิ่ง สบาย เราต้องเห็นก่อนและจรด บางทีก็ไม่ตรง จะต้องมีจังหวะเหมือนกันที่จะถึง นิมิตที่เคยเห็น

สุ. และไม่เลื่อนที่หรือ

นิ. ก็เลื่อน แต่หากถูกจุดจริงๆ ใจก็นิ่ง

ผู้ฟัง นิมิตอะไร

นิ. คล้ายหลอดนีออนอยู่ในตัว แต่ตอนนั้นผมยังไม่ได้ไปวัดปากน้ำ

สุ. ข้างในนั้นมีซี่โครง มีเลือด มีอะไรบ้างไหม

นิ. ไม่มี แต่ผมนึกได้เรื่องซี่โครง ผมนึกเห็นภาพโดยติดตาว่า คนที่เดินมาให้เห็นเป็นซี่โครง นึกได้ ฉะนั้น เรื่องสวยงามจะระงับไป เวลาไปบิณฑบาตหรือ เดินไปไหน เราจะระลึกอย่างนี้บ่อยๆ เป็นประจำ เพราะไม่อยากไปติดในอารมณ์ที่สวยที่งาม

ผู้ฟัง ก็คนละอย่างกับลมหายใจ

นิ. ลมหายใจใช้เวลานั่ง

สุ. ทำหลายอย่าง

นิ. ใช่ ทำหลายอย่าง แต่สรุปแล้วก็เป็นเรื่องไม่รู้ทั้งนั้น ไม่เข้าใจทั้งนั้นเลย ทำไปตามที่อาจารย์แนะนำ และตามที่ตัวเองคิดว่าเป็นอย่างนั้น สรุปแล้วไม่ตรง เพราะว่าไม่ได้สนใจตำราแล้ว ไม่อ่านตำรา ทำอย่างนี้แล้วจะรู้เอง รู้จากการปฏิบัติอย่างนี้ยิ่งกว่าไปอ่านจากตำราอีก ก็ทำไปจนกระทั่งผมไปตกเขา เรื่องสุดท้ายก่อนที่ผมจะเลิกไม่เข้าป่านี่ ผมไปตกเขา สงสารโยมพ่อของผม ก่อนจะออกป่าก็ทะเลาะกัน ไม่ให้ไป ผมเป็นพระผมก็จะไป เมื่อผมป่วย โยมพ่อไปรับผม ผมดูหน้าแล้ว แกเสียใจจริงๆ

สาเหตุที่ตกเขา ก็คล้ายๆ กับประกาศตัวเอง รู้สึกว่าตอนนั้นจิตวิปริตแล้ว ไม่มีใครเชื่อว่าเราทำได้ เรากระโดดให้ดูก็ได้ ก็กระโดดลงไป เชื่อไหมว่าผมไม่เป็นไร คนไปดูที่ผมกระโดด สงสัยว่าทำไมคอไม่หักตาย เพราะเป็นซอกเขาที่หินมันแตกแยก ที่จังหวัดชัยภูมิ กระโดด ๒ ครั้ง ครั้งที่ ๒ สลบไปเลย ครั้งที่ ๑ กระโดดลงไปก็ลุกขึ้นได้ เลยกระโดดอีกทีในเวลาไล่เลี่ยกัน ในวันเดียวกัน แต่ไม่ได้กระโดดที่เก่า มีระดับต่ำ ลงมาอีก กระโดดคราวนี้ไม่รู้ตัวเลย ก็สูงขนาดบ้าน ๒ ชั้น ธรรมดาแล้วต้องคอหัก เพราะไม่ใช่ที่ราบ เป็นซอกเขา กระโดดครั้งที่ ๒ รู้สึกตัวขึ้นมาหิวน้ำ มีร่องน้ำไหล ผมก็คลานไปดื่มน้ำ จะมีคนเห็นหรือไม่เห็นก็ไม่รู้ ส่วนตาขาวที่อยู่กับผมไปไหนก็ไม่รู้ ตอนนั้นผมอายุ ๒๐ กว่า บวชพระได้ ๒ พรรษา ผมก็นอนอยู่ในร่องน้ำ ดื่มทั้งน้ำ ทั้งทราย ไม่มีใครสนใจเลย เพราะว่าอยู่ห่างบ้านตั้ง ๒ กม. ตอนสายผมเดินขึ้นมา บนเขาเอง เมื่อมีคนรู้เขาก็เข้ามาช่วย หาใบไม้ที่เป็นยามาย่าง แต่ผมก็ไม่เป็นไร มาเข้าโรงพยาบาลศิริราชทีหลัง หมอเขาก็มาตรวจและถามผมว่า ท่านจะให้ผมทำอะไร เราก็บอกว่าไม่รู้ หมอก็เลยให้ไปนวดด้วยไฟฟ้า จากนั้นก็ยังไม่เข็ด

ชาวบ้านเขาศรัทธาผมตั้งแต่ผมไปอยู่ป่าช้าแล้ว เขาลือว่าผมสามารถรู้ว่า ใครตายแล้วไปอยู่ที่ไหน กลางคืนมีบัญชีจดไม่ไหว ญาติพี่น้องใครตายอยากจะรู้ว่า ไปอยู่ที่ไหน ให้มาถามผม

เปิด  219
ปรับปรุง  2 มิ.ย. 2565