แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1671

ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย

วันอาทิตย์ที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๓๐


ข้อความต่อไปใน มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ คหปติวรรค กันทรกสูตร ข้อ ๑ มีว่า

ครั้งนั้น เมื่อนายเปสสหัตถาโรหบุตรหลีกไปไม่นาน พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย นายเปสสหัตถาโรหบุตรเป็นบัณฑิต ดูกร ภิกษุทั้งหลาย นายเปสสหัตถาโรหบุตรมีปัญญามาก ถ้านายเปสสหัตถาโรหบุตรพึงนั่งอยู่ครู่หนึ่ง ชั่วเวลาที่เราจำแนกบุคคล ๔ จำพวกนี้โดยพิสดารแก่เขา เขาจักเป็นผู้ประกอบด้วยประโยชน์ใหญ่ อนึ่งแม้ด้วยการฟังโดยสังเขปเพียงเท่านี้ นายเปสสหัตถาโรหบุตร ยังประกอบด้วยประโยชน์ใหญ่

นี่เป็นความต่างกันของประโยชน์ใหญ่ ๒ ท่าน ซึ่งข้อความในอรรถกถามีว่า

บทว่า บัณฑิต นั้น คือ ควรกล่าวว่าเป็นบัณฑิต เพราะทำกรรมใน สติปัฏฐาน

ใครก็ตามที่ชื่อว่าบัณฑิต ไม่ใช่โดยเหตุอื่น แต่เพราะเป็นผู้ที่อบรมเจริญ สติปัฏฐาน จึงควรกล่าวว่าเป็นบัณฑิต เพราะฉะนั้น นายเปสสหัตถาโรหบุตรผู้นี้ ที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่าเป็นบัณฑิต ย่อมแสดงว่าเขาต้องเป็นผู้ที่เจริญสติปัฏฐาน พิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรม

ข้อความต่อไปมีว่า

แม้บทว่า มีปัญญามาก คือ มหาปัญโญ ก็ควรกล่าวว่า เป็นผู้มีปัญญามาก เพราะประกอบด้วยปัญญาพิจารณาถือเอาสติปัฏฐาน

ไม่ใช่ถือเอาข้อปฏิบัติอื่น แต่ถือเอาสติปัฏฐาน คือ พิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรม และข้อความที่ว่า

ถ้านายเปสสหัตถาโรหบุตรพึงนั่งอยู่ต่อไปครู่หนึ่ง ชั่วเวลาที่เราจำแนกบุคคล ๔ จำพวกนี้โดยพิสดารแก่เขา เขาจะเป็นผู้ประกอบด้วยประโยชน์ใหญ่ คือ พึงบรรลุโสตาปัตติผล

น่าเสียดายที่พลาดโอกาสไปแล้ว เพราะว่าเขาได้กราบทูลลาไปก่อน

ส่วนข้อความที่ว่า แม้ด้วยการฟังโดยสังเขปเพียงเท่านี้ นายเปสสะยังประกอบด้วยประโยชน์ใหญ่นั้น

ถามว่า ด้วยประโยชน์ใหญ่เป็นไฉน

ตอบว่า ด้วยอานิสงส์ ๒ ประการ คือ ความเลื่อมใสในพระสงฆ์ ๑ และด้วยการเจริญสติปัฏฐาน ๑

นี่คือประโยชน์ใหญ่ แม้ว่ายังไม่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม

ข้อความในอรรถกถามีต่อไปว่า การที่นายเปสสะไม่บรรลุมรรคผลนั้น

ถามว่า ก็แม้เมื่อตั้งอยู่เฉพาะพระพักตร์พระพุทธเจ้าทั้งหลาย จะมีอันตรายแก่มรรคผลหรือ

ได้มีโอกาสได้เฝ้า ได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ และเป็นผู้ที่พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม เพราะฉะนั้น จะยังมีอันตรายต่อการบรรลุมรรคผลหรือ

ตอบว่า มี แต่มิได้มีเพราะอาศัยพระพุทธเจ้าทั้งหลาย โดยที่แท้ย่อมมีได้เพราะความเสื่อมของกิริยา คือ การกระทำ หรือเพราะปาปมิตร คือ มิตรชั่ว

นี่เป็นความรอบคอบที่ท่านอรรถกถา ซึ่งในพระไตรปิฎกก็ได้แสดงไว้ว่า ต้องเป็นผู้ที่รอบคอบและเห็นโทษเห็นภัยของการที่จะเป็นผู้ที่เห็นผิด ประพฤติผิด

คำอธิบายต่อไปมีว่า

ชื่อว่ามีความเสื่อมของกิริยา

อรรถกถาแสดงตัวอย่างว่า

เมื่อคราวที่ท่านพระสารีบุตรได้ไปแสดงธรรมกับธนัญชานิยพราหมณ์ ถ้า ท่านพระสารีบุตรรู้อัธยาศัยของธนัญชานิยพราหมณ์ และได้แสดงธรรมที่เกี่ยวกับการ รู้แจ้งอริยสัจจธรรม พราหมณ์นั้นก็จะได้เป็นพระโสดาบัน แต่เมื่อไม่ได้แสดงข้อปฏิบัติ ที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม พราหมณ์นั้นจึงไม่บรรลุ ดังนี้ ชื่อว่าเสื่อมเพราะกิริยา

เช่นเดียวกับนายเปสสะ คือ เสื่อมเพราะกราบทูลลาไปก่อนที่จะได้ฟังพระธรรมและเจริญสติปัฏฐาน ซึ่งจะมีปัจจัยที่จะให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม หลังจากที่ได้ฟังข้อความที่พระผู้มีพระภาคทรงจำแนกเรื่องบุคคล ๔ ต่อไปโดยละเอียด

ชื่อว่าเสื่อมเพราะปาปมิตร ในอรรถกถาแสดงตัวอย่างว่า

พระเจ้าอชาตศัตรูเชื่อคำของปาปมิตร คือ ท่านพระเทวทัต ได้ทำปิตุฆาต จึงไม่ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน

ไม่มีใครสามารถรู้การสะสมของแต่ละท่านในแต่ละภพ ในแต่ละชาติ เพราะว่าในวันหนึ่งๆ ย่อมแสดงให้เห็นถึงปัจจัยของธรรมที่เกิดว่า ต้องเป็นสภาพที่ละเอียดซับซ้อน ไม่มีใครรู้ว่าขณะไหนธรรมประเภทไหนที่เป็นกุศลหรืออกุศลจะเกิดขึ้น ในลักษณะอาการอย่างไร เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ตรง และพิจารณาใคร่ครวญเหตุผลในเรื่องของการอบรมเจริญปัญญา เมื่อเข้าใจแล้ว จะเห็นได้ว่า ต้องเป็นผู้ที่อดทนจริงๆ และไม่ใช่อดทนเพียงในชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น ซึ่งก็ควรที่จะได้พิจารณาถึงการอบรมเจริญปัญญาของท่านที่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมแล้ว เมื่อได้ฟังพระธรรมจากพระผู้มีพระภาค เพื่อเปรียบเทียบกับการอบรมเจริญปัญญาของท่านในขณะนี้ว่า ใกล้เคียงกัน หรือยังห่างกันมากเพียงไรในเรื่องของความอดทน ซึ่งใน ขุททกนิกาย สุกกาเถรีคาถา ข้อ ๔๓๕ มีข้อความว่า

พวกมนุษย์ในกรุงราชคฤห์เหล่านี้ทำอะไรกัน

นี่คือผู้มีปัญญา ซึ่งมองเห็นบรรดาผู้ที่ไม่ได้อบรมเจริญปัญญา เพราะฉะนั้น ท่านก็กล่าวว่า

พวกมนุษย์ในกรุงราชคฤห์เหล่านี้ทำอะไรกัน มัวดื่มน้ำผึ้ง ดีดนิ้วมืออยู่ ไม่เข้าไปหาพระสุกกาเถรี ผู้แสดงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ากันเลย เหมือนชนเหล่าอื่นผู้มีปัญญาย่อมดื่มธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น ซึ่งเป็นธรรมไม่นำกลับหลัง เป็นธรรมเครื่องทำบุคคลผู้ฟังให้ชุ่มชื่น มีโอชะ เหมือนคนเดินทางไกลดื่มน้ำฝนฉะนั้น

พระสุกกาเถรีมีธรรมอันบริสุทธิ์ ปราศจากราคะ มีจิตตั้งมั่น ชนะมาร พร้อมทั้งพาหนะ ทรงไว้ซึ่งร่างกายอันมีในที่สุด

จบ สุกกาเถรีคาถา

เป็นพระเถรีท่านหนึ่งในสมัยที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน ซึ่งข้อความใน อรรถกถา สุกกาเถรีคาถา มีว่า

แม้พระเถรีชื่อสุกกาองค์นี้ ก็ได้สร้างสมบุญบารมีไว้ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ

ยังไม่ได้บอกเลยว่า สมัยไหน กี่กัป กี่องค์

สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานในภพนั้นๆ

ถ้าท่านผู้ฟังจะพิจารณาว่า ท่านกำลังฟังธรรมเพื่อจะได้พิจารณาหาหนทาง ที่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ ก็เป็นการสั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพาน ในภพนี้ ซึ่งท่านที่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมแล้ว ท่านก็ได้กระทำอย่างนั้นในภพก่อนๆ ของท่าน

ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคพระนามว่าวิปัสสี ท่านเกิดในเรือนตระกูลใน พระนครพันธุมดี รู้ความแล้วไปวิหารกับอุบาสิกาทั้งหลาย ฟังธรรมในสำนักของ พระศาสดา ได้ศรัทธาบวชแล้วได้เป็นพหูสูต ทรงธรรม มีปฏิภาณ เธอประพฤติพรหมจรรย์ในที่นั้นหลายพันปี ตายอย่างปุถุชนนั่นเอง บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต

ก่อนที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม มีศรัทธาบวช เป็นพหูสูต ทรงธรรม มีปฏิภาณ ประพฤติพรหมจรรย์ในที่นั้นหลายพันปี ตายอย่างปุถุชนนั่นเอง บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต ถ้าจะเทียบกับการเจริญสติปัฏฐานของคนในสมัยนี้ที่อยากได้ผลเร็วๆ ในชาตินี้ ก็ขอให้คิดถึงพระสุกกาเถรี และบรรดาพระอริยสาวกทั้งหลายที่ท่าน ต้องอบรมเจริญปัญญามากทีเดียว

เธอรักษาศีลในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๓ พระองค์อย่างนี้ คือ กาลแห่งพระผู้มีพระภาคพระนามว่าวิปัสสี แม้แห่งพระผู้มีพระภาคพระนามว่าสิขี แม้แห่งพระผู้มีพระภาคพระนามว่าเวสภูก็เหมือนกัน ได้เป็นพหูสูต ทรงธรรม เธอบวชในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามว่ากกุสันธะ โกนาคมนะ และ กัสสปะ (คือ ในภัทรกัปนี้) ได้เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ เป็นธรรมกถึกเหมือนกัน

เธอสั่งสมบุญเป็นอันมากในภพนั้นๆ ด้วยประการฉะนี้ ท่องเที่ยวอยู่ใน สุคติภูมิทั้งหลายเท่านั้น ในพุทธุปปาทกาลนี้ เกิดในตระกูลคฤหบดีมหาศาล กรุงราชคฤห์ ได้นามว่า สุกกา เธอรู้ความแล้ว ได้ศรัทธาเป็นอุบาสิกาในคราว พระศาสดาเสด็จเข้าพระราชนิเวศน์ ต่อมาได้ฟังธรรมในสำนักของ ท่านพระธัมมทินนาเถรี เกิดความสังเวช บวชในสำนักของท่านพระธัมมทินนาเถรีนั้นเอง เจริญวิปัสสนา ไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย

ท่านทั้งหลายที่เป็นผู้ฟังอยากจะเป็นชาตินี้ ใช่ไหม ชาติที่ได้บรรลุพระอรหัต ในเวลาไม่นาน แต่ก็ต้องตามความเป็นจริง คือ ต้องอบรมเจริญปัญญาจริงๆ ที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ มิฉะนั้นไม่มีทางที่จะได้บรรลุเลย คิดดู รอไหวไหม ถ้าไม่ไหว ก็ไม่ได้บรรลุ ไม่ใช่ว่ารอไม่ไหวแล้วจะได้บรรลุ แต่ไหวหรือ ไม่ไหวก็ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า

ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลกพระนามว่าวิปัสสี มีพระเนตรงาม ทรงเห็นแจ้งซึ่งธรรมทั้งปวง เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ครั้งนั้น ข้าพเจ้าเกิดในตระกูลหนึ่งในพระนครพันธุมดี ได้ฟังธรรมของพระมุนี แล้วออกบวชเป็นภิกษุณีเป็นพหูสูต ทรงธรรม มีปฏิภาณ กล่าวธรรมกถาไพเราะ ปฏิบัติตามพระพุทธศาสนา ครั้งนั้น ข้าพเจ้าแสดงธรรมกถาเพื่อประโยชน์แก่ชุมชนทุกเมื่อ ข้าพเจ้าเคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต เป็นเทพธิดามียศ

ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ พระพิชิตมารพระนามว่าสิขี มีพระรัศมีดังไฟ งามสง่าอยู่ในโลกด้วยยศ ประเสริฐกว่าเหล่าบัณฑิต เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว แม้ในครั้งนั้น ข้าพเจ้าบวชแล้ว เป็นผู้ฉลาดในพระพุทธศาสนา ยังพระพุทธพจน์ให้กระจ่าง แล้วเคลื่อนจากอัตภาพแม้นั้นไปสู่สวรรค์ชั้นไตรทิพย์

ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลก พระนามว่าเวสสภู ผู้มีธรรมดังว่ายานใหญ่ เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว แม้ในครั้งนั้นข้าพเจ้าก็เป็นเหมือน อย่างก่อนนั้นแล บวชแล้วเป็นผู้ทรงธรรม ยังพระพุทธศาสนาให้กระจ่างแล้ว ไปเมืองสวรรค์อันน่ารื่นรมย์ ได้เสวยความสุขมาก

ทั้งๆ ที่ท่าน เป็นพหูสูต ทรงธรรม กล่าวธรรมกถาไพเราะ ปฏิบัติตามพระพุทธศาสนา แสดงธรรมกถาเพื่อประโยชน์แก่ชุมชนทุกเมื่อ ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เมื่อเหตุยังไม่สมควรแก่ผล

ข้อความต่อไปมีว่า

ในภัทรกัปนี้ พระพิชิตมารผู้อุดมพระนามว่ากกุสันธะ ผู้เป็นสรณะของนรชนเสด็จอุบัติขึ้นแล้ว แม้ในครั้งนั้นข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนอย่างก่อนนั้นแล บวชแล้ว ยังพระพุทธศาสนาให้กระจ่างจนตลอดชีวิต เคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้ไปสู่สวรรค์ชั้นไตรทศ เหมือนอย่างเป็นที่อยู่ของตน

ในภัทรกัปนี้แล พระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลกพระนามว่าโกนาคมนะ ผู้ประเสริฐกว่าพวกบัณฑิต สูงสุดกว่าสรรพสัตว์เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว แม้ในครั้งนั้น ข้าพเจ้าบวชในศาสนาของพระองค์ผู้คงที่ เป็นพหูสูต ทรงธรรม ยังพระพุทธศาสนาให้กระจ่าง ในภัทรกัปนี้

เป็นพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง ก็ยังเป็นเหมือนที่เคยเป็น

ข้อความต่อไปมีว่า

ในภัทรกัปนี้เหมือนกัน พระมุนีผู้สูงสุดพระนามว่ากัสสปะ ผู้เป็นสรณะแห่งสัตว์โลก ไม่มีข้าศึก ถึงที่สุดแห่งมรณะ เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ข้าพเจ้าบวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นปราชญ์ของนรชนแม้พระองค์นั้น ศึกษาพระสัทธรรม แล้วชำนาญในปริปุจฉา ข้าแต่พระมหามุนี ข้าพเจ้ามีศีลงาม มีความละอาย ฉลาดในไตรสิกขา แสดงธรรมกถามากจนตลอดชีวิต ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น และ ด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่ ข้าพเจ้าละร่างกายมนุษย์แล้วได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

ก็ยังไม่บรรลุ

ในภพหลังครั้งนี้ ข้าพเจ้าเกิดในตระกูลเศรษฐีที่มั่งคั่ง สั่งสมรัตนะไว้มาก ในกรุงราชคฤห์อันอุดม เมื่อพระผู้เป็นนายกของโลกอันภิกษุขีณาสพพันหนึ่งเป็นบริวาร สรรเสริญแล้ว เสด็จเข้ากรุงราชคฤห์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงฝึกอินทรีย์แล้ว พ้นขาดจากสรรพกิเลส มีพระฉวีเปล่งปลั่งดังแท่งทองสิงคี พร้อมด้วยพระขีณาสพซึ่งเคยเป็นชฏิล ผู้ฝึกอินทรีย์แล้ว พ้นขาดจากสรรพกิเลส เสด็จเข้ากรุงราชคฤห์

ข้าพเจ้าได้เห็นพระพุทธานุภาพนั้น และได้ฟังพระธรรมเป็นที่สั่งสมคุณแล้ว ยังจิตให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า บูชาพระองค์ผู้มีพลธรรมมาก

กาลต่อมา ข้าพเจ้าออกจากเรือนบวชเป็นภิกษุณีในสำนักของ ท่านพระธัมมทินนาเถรี ข้าพเจ้าเผากิเลสทั้งหลายในเมื่อกำลังปลงผมอยู่ บวชแล้ว ไม่นาน ศึกษาศาสนธรรมได้ทั่ว แต่นั้นได้แสดงธรรมในสมาคมมหาชน เมื่อข้าพเจ้าแสดงธรรมอยู่ ธรรมาภิสมัยได้มีแก่ประชุมชนหลายพัน

ธรรมาภิสมัย คือ การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม

มียักษ์ตนหนึ่งได้ทราบธรรมนั้นแล้วเกิดอัศจรรย์ใจ เลื่อมใสข้าพเจ้า ไปยัง กรุงราชคฤห์ พวกมนุษย์ในกรุงราชคฤห์เหล่านี้ทำอะไรกัน มัวดื่มน้ำผึ้ง ดีดนิ้วมืออยู่ ไม่เข้าไปหาพระสุกกาเถรีผู้แสดงอมตบทกันเลย เหมือนชนเหล่าอื่นผู้มีปัญญา ย่อมดื่มอมตบทนั้น ซึ่งเป็นธรรมไม่นำกลับหลัง เป็นธรรมทำผู้ฟังให้ชุ่มชื่น มีโอชะ เหมือนคนเดินทางไกลดื่มน้ำฝนฉะนั้น

ข้าแต่พระมหามุนี ข้าพระองค์เป็นผู้มีความชำนาญในฤทธิ์ มีความชำนาญ ในทิพโสตธาตุ มีความชำนาญในเจโตปริยญาณ รู้ปุพเพนิวาสญาณและทิพยจักษุ อันหมดจดวิเศษ มีอาสวะทั้งปวงหมดสิ้นไปแล้ว บัดนี้ภพใหม่มิได้มี

ข้าแต่พระมหาวีระ ข้าพระองค์มีญาณในอรรถ ธรรมะ นิรุตติ และปฏิภาณ เกิดขึ้นแล้วในสำนักของพระองค์ ข้าพเจ้าเผากิเลสแล้ว ถอนภพชาติทั้งหลาย ได้หมดแล้ว ตัดเครื่องผูกพันเหมือนช้างพังตัดเชือก เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ การมาเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐของข้าพเจ้าเป็นการมาดีแล้วหนอ ข้าพเจ้าบรรลุวิชชา ๓ แล้ว ได้ปฏิบัติคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ อภิญญา ๖ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามคำสอน ของพระพุทธเจ้าแล้ว

ครั้นบรรลุพระอรหันแล้วได้เป็นพระมหาธรรมกถึก มีภิกษุณีประมาณ ๕๐๐ องค์เป็นบริวาร วันหนึ่งพระเถรีนั้นเที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ฉันเสร็จแล้ว เข้าไปยังสำนักภิกษุณี แสดงธรรมแก่บริษัทใหญ่ที่นั่งประชุมกันอยู่ เหมือนคั้นรวงผึ้งให้คนดื่มรสน้ำผึ้ง เหมือนรดด้วยน้ำอมฤต บริษัทเงี่ยโสตฟังธรรมกถาของพระเถรีนั้น มีใจไม่ฟุ้งซ่าน ฟังอยู่โดยเคารพ ขณะนั้นเทวดาผู้สิงอยู่บนต้นไม้ท้ายที่จงกรมของ พระเถรี เลื่อมใสในคำเทศนา จึงเข้าไปยังกรุงราชคฤห์ เที่ยวประกาศคุณของ พระเถรีนั้น จากถนนนี้ไปตามถนนนั้น จากสี่แยกนี้ไปสี่แยกนั้น ได้กล่าวคาถา ๒ คาถาเหล่านี้ว่า

พวกมนุษย์ในกรุงราชคฤห์เหล่านี้ทำอะไรกัน มัวดื่มน้ำผึ้ง ดีดนิ้วมืออยู่ ไม่เข้าไปหาสุกกาเถรีผู้แสดงธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ากันเลย เหมือนชนเหล่าอื่น ผู้มีปัญญาย่อมดื่มคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น ซึ่งเป็นธรรมไม่นำกลับหลัง เป็นธรรมทำผู้ฟังให้ชุ่มชื่น มีโอชะ เหมือนคนเดินทางไกลดื่มน้ำฝนฉะนั้น

ถ้าขณะที่กำลังฟังพระธรรมแล้วชุ่มชื่น เหมือนคนเดินทางไกลดื่มน้ำฝนไหม สำหรับความรู้สึกของท่านผู้ฟัง

มีท่านผู้ฟังเขียนข้อความถามมา

กราบขอความกรุณา ขอทราบวิธีการดับทุกข์ที่เกิดจากโลภะ โทสะ โมหะ อย่างง่าย ต้องใช้เวลาบรรยายจริงๆ เท่าไร และขอทราบบ้างในวันนี้ กราบขอบพระคุณ ด้วยเคารพอย่างสูง

ถ้าฟังพระธรรม จะเห็นได้ว่า ขณะใดที่มีความเข้าใจพระธรรมขึ้น ขณะนั้นคลายโมหะ คือ ความไม่รู้เรื่องของสภาพธรรมทั้งหมด

ถ้าฟังเรื่องของการเจริญสติปัฏฐานจนเข้าใจ และเห็นประโยชน์ ก็มีปัจจัย ที่จะให้สติระลึกลักษณะของสภาพธรรมทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งย่อมจะเป็นวิธีการดับทุกข์ ที่เกิดจากโลภะ โทสะ โมหะได้ เพราะว่าทุกข์ใดที่ปัญญาดับเป็นสมุจเฉท ทุกข์นั้น จะไม่เกิดอีกเลย แต่ถ้าไม่ใช่การอบรมเจริญปัญญาที่จะดับเป็นสมุจเฉท ดับได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว ทุกข์นั้นๆ ก็ต้องเกิดอีก

เพราะฉะนั้น คงไม่มุ่งหวังเพียงจะดับทุกข์ชั่วคราว และทุกข์ก็ต้องเกิดอีกๆ แต่ต้องเป็นผู้ที่อบรมเจริญปัญญาด้วยการฟังพระธรรม จนกระทั่งเพิ่มความเข้าใจขึ้นในข้อปฏิบัติที่จะทำให้ดับกิเลสได้ และค่อยๆ อบรมเจริญไปเรื่อยๆ

เปิด  232
ปรับปรุง  2 มิ.ย. 2565