แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1675
ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย
วันอาทิตย์ที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๓๐
สำหรับนามรูปปริจเฉทญาณซึ่งเป็นวิปัสสนาญาณที่ ๑ เป็นความสมบูรณ์ของปัญญาที่เกิดจากการระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม มีความรู้จริงๆ มั่นคงว่าลักษณะนี้เป็นนามธรรม เป็นสภาพรู้ เป็นเพียงธาตุรู้ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ขณะที่สติปัฏฐานเกิดระลึกลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม และ ค่อยๆ ศึกษา ค่อยๆ พิจารณา ค่อยๆ สังเกต ค่อยๆ อบรมไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้หวัง และโดยไม่ได้คอยว่า ขณะนี้จะเป็นวิปัสสนาญาณหรือยัง จะเป็นการรู้ชัดนามธรรม จะเป็นการรู้ชัดรูปธรรมหรือยัง ถ้าถึงความสมบูรณ์ของปัญญาเมื่อไร นามรูปปริจเฉทญาณซึ่งได้แก่มหากุศลญาณสัมปยุตต์ ก็เกิดขึ้นทางมโนทวาร ประจักษ์แจ้งลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมโดยสภาพที่แยกขาดจากกัน ขณะนั้นละสักกายทิฏฐิได้ เป็นตทังคปหาน เพราะว่าขณะนั้นนามธรรมและรูปธรรมไม่ได้ปรากฏโดยสภาพที่ ยังเป็นเรา ยังเป็นตัวตน ยังเป็นก้อน ยังเป็นแท่ง แต่นามธรรมและรูปธรรมปรากฏโดยสภาพที่ไม่มีโลก ไม่มีเรา ไม่มีตัวตน มีแต่ลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ทีละอย่าง ที่ปรากฏทางมโนทวาร เพราะฉะนั้น จึงละสักกายทิฏฐิที่เคยยึดถือ สภาพธรรมที่ประชุมรวมกันเพราะไม่เคยประจักษ์แจ้งเลยว่า สภาพธรรมที่เคยประชุมรวมกันนั้น แท้ที่จริงแล้วสามารถปรากฏเพียงทีละอย่าง โดยไม่มีอย่างอื่นเลยทั้งสิ้น
ไม่มีแม้แต่ที่จะให้เหลือความทรงจำว่า ยังมีตัวตนทั้งร่างกาย ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า เพราะว่าในขณะนั้นไม่ปรากฏ มีแต่ว่า ขณะนั้นสภาพนามธรรมใดเกิด ปัญญารู้ชัดทางมโนทวาร ลักษณะของรูปธรรมใดเกิดขึ้นปรากฏ มโนทวารก็รู้ชัด ในลักษณะที่เป็นรูปธรรมนั้น ไม่มีสภาพธรรมอื่นปะปนเลย ด้วยเหตุนี้จึงสามารถ ละสักกายทิฏฐิได้ เป็นตทังคปหาน
ในขณะนี้เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ยังปรากฏรวมกันทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ สลับกันอย่างเร็วทำให้ปรากฏเป็นสภาพธรรมที่รวมกัน เป็นกลุ่มเป็นก้อน จึงไม่ใช่วิปัสสนาญาณ
เพราะฉะนั้น ก่อนที่วิปัสสนาญาณจะเกิด ยังมีอัตตสัญญา แต่เวลาที่ สภาพธรรมปรากฏโดยความเป็นอนัตตาแล้ว ขณะนั้นอนัตตสัญญาจึงเริ่มเจริญขึ้นได้ แต่หลังจากที่นามรูปปริจเฉทญาณดับแล้ว โลกก็รวมกันเหมือนเดิม ปรากฏการเกิดดับสืบต่อสลับกันอย่างเดิม เพราะว่าชั่วขณะที่เป็นวิปัสสนาญาณเท่านั้นที่เป็นตทังคปหาน เพราะฉะนั้น ต้องระลึกถึงอนัตตสัญญาที่เคยประจักษ์แจ้งในนามรูปปริจเฉทญาณนั้น โดยน้อมพิจารณาลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมอื่นๆ ที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยต่อไปอีก เพราะถ้าไม่ระลึกถึงอนัตตสัญญาที่เคยประจักษ์แจ้งแล้วในนามรูปปริจเฉทญาณ อัตตสัญญาที่เคยสะสมพอกพูนมาเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ก็ไม่หมดสิ้นไปได้ เพียงชั่วขณะที่นามรูปปริจเฉทญาณเกิด จึงต้องอบรมเจริญปัญญาต่อไป จนกว่าจะถึงวิปัสสนาญาณที่ ๒ คือ ปัจจยปริคคหญาณ
ท่านผู้ฟังที่ถามว่า ถ้ารู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมแล้วอย่างไรต่อไป เพียงนิดหน่อย ยังไม่ใช่นามรูปปริจเฉทญาณ ต้องจนกว่าจะถึงนามรูปปริจเฉทญาณก่อน และเมื่อถึงนามรูปปริจเฉทญาณแล้วก็ไม่ใช่ทำอย่างอื่น สติปัฏฐานยังเหมือนเดิม คือ เป็นสภาพที่ระลึกได้ พิจารณาลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏ ทีละอย่าง แต่ยังมีอนัตตสัญญา คือ ความจำได้ในสภาพที่ไม่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน ซึ่งก่อนวิปัสสนาญาณจะเกิด ยังไม่มีอนัตตสัญญานี้ เมื่อได้ประจักษ์แจ้งอนัตตสัญญาจากนามรูปปริจเฉทญาณแล้ว ก็พิจารณาลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม โดยน้อมระลึกถึงอนัตตสัญญาที่เคยประจักษ์แจ้ง
สำหรับปัจจยปริคคหญาณ เป็นสภาพธรรมที่ละทิฏฐิ คือ ความเห็นว่าไม่มีเหตุ และปราศจากเหตุอันควรแก่การเกิดขึ้นของสภาพธรรมนั้นๆ ปัญญาก็เพิ่มขึ้นอีก จากการที่พิจารณาลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม
ปัญญาที่จะถึงความสมบูรณ์ของปัจจยปริคคหญาณ ต้องเพิ่มขึ้นจากที่เพียง รู้ว่าลักษณะนี้เป็นนามธรรม หรือว่าลักษณะนั้นเป็นรูปธรรม เพราะว่าในขณะที่สติระลึกลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมนั้นเอง ย่อมสามารถรู้ถึงปัจจัยที่นามธรรมนั้นเกิดขึ้น เช่น ก่อนที่จะเป็นนามรูปปริจเฉทญาณ ต้องพิจารณาลักษณะที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม เมื่อเป็นนามรูปปริจเฉทญาณแล้ว ก็ประจักษ์ในลักษณะที่เป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ โดยสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน
หลังจากนั้นสติระลึกลักษณะของนามธรรมที่เกิด ซึ่งในขณะที่เกิดก็ย่อมรู้ถึงปัจจัยของนามนั้นด้วย เช่น ในขณะที่กำลังพิจารณาลักษณะของสภาพรู้ ขณะที่กำลังได้ยินก็จะรู้ว่าลักษณะของธาตุรู้เสียง เกิดขึ้นเพราะเสียง ถ้าไม่มีเสียง ขณะนั้น จิตได้ยินไม่มี พิจารณาได้แม้ในขั้นของการฟัง ซึ่งยังไม่ใช่ปัจจยปริคคหญาณ ก็ยังสามารถพิจารณาเข้าใจได้ว่า ขณะใดที่เสียงไม่เกิด ไม่มีเสียงเกิด จิตได้ยิน เกิดไม่ได้
เวลาที่จิตได้ยินเกิดและสติระลึกลักษณะที่กำลังได้ยินเสียง เป็นสภาพที่รู้ ในขณะที่เสียงกำลังปรากฏ ในขณะนั้นจะรู้ว่า เพราะเสียงเป็นปัจจัยจิตประเภทนี้ จึงเกิด เพื่อจะแยกลักษณะของจิตแต่ละประเภทออกจากกันให้ละเอียดยิ่งขึ้นอีกว่า เกิดขึ้นเพราะปัจจัยที่ต่างกัน
ในขณะที่รู้สึกปวดหรือเมื่อย ซึ่งขณะนั้นสติปัฏฐานจะระลึกลักษณะ ของนามธรรมบ้าง ระลึกลักษณะของรูปธรรมบ้าง เวลาที่ทุกขเวทนาเกิด ไม่ใช่ว่าขณะนั้นสติปัฏฐานจะไม่ระลึกลักษณะของรูปเลย เพราะว่าทุกขเวทนาย่อมเกิดที่รูป เพราะฉะนั้น เวลาที่พิจารณาลักษณะของรูปและมีทุกขเวทนาเกิดขึ้น ขณะนั้นปัญญาก็รู้ว่าทุกขเวทนานี้เกิดที่รูป นี่เป็นการระลึกรู้ลักษณะของปัจจัยของนามธรรมที่เกิด ในขณะนั้น เป็นความรู้ที่ละเอียดขึ้นซึ่งทำให้เห็นว่า สภาพธรรมทั้งหมดต้องมี เหตุปัจจัยจึงเกิด
สำหรับปัจจยปริคคหญาณนั้น ละทิฏฐิ คือ ความเห็นว่าไม่มีเหตุและปราศจากเหตุอันควรแก่การเกิดขึ้นของสภาพธรรมนั้นๆ
แม้ปัจจยปริคคหญาณก็เป็นการประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ทีละอย่างทางมโนทวาร เพราะว่าวิปัสสนาญาณทุกญาณต้องเป็นขณะหนึ่ง ช่วงหนึ่งซึ่งประจักษ์แจ้งสภาพธรรมที่ไม่มีโลก ไม่มีตัวตน ที่เคยรวมกันเหมือนขณะที่ไม่ใช่ วิปัสสนาญาณ จึงเป็นการแทงตลอดลักษณะของสภาพธรรมทีละอย่าง
ถ. ขณะที่แทงตลอดสภาพธรรมทีละอย่างเป็นวิปัสสนาญาณ หมายความว่า สภาพที่รูปธรรมและนามธรรมแยกขาดออกจากกัน
สุ. ทีละอย่าง
ถ. ขณะที่สภาพของรูปธรรมปรากฏ จะต้องรู้ลักษณะของนามธรรมที่กำลังรู้รูปธรรมด้วยในขณะนั้นหรือว่าหลังจากนั้น สภาพธรรมที่ปรากฏขึ้นอีก อาจจะเป็นรูปธรรมดับไปแล้ว หลังจากนั้นพิจารณาลักษณะของนามธรรม ซึ่งรูปธรรมดับไปหลายขณะมากมาย และก็พิจารณาลักษณะของนามธรรม ในขณะนั้นเป็นวิปัสสนาญาณหรือเปล่า
สุ. ถ้าเป็นวิปัสสนาญาณ ไม่ใช่ขณะที่ต้องพิจารณาเลย เป็นความสมบูรณ์ของปัญญาซึ่งมีปัจจัยเกิดทางมโนทวาร และจะปรากฏต่างกับขณะที่ทางมโนทวาร และทางปัญจทวารกำลังปรากฏรวมกันโดยสภาพของการเป็นกลุ่มเป็นก้อน แต่เมื่อสภาพธรรมที่เป็นวิปัสสนาญาณเกิดทางมโนทวาร จะไม่มีการรวมกันเลยสักอย่างเดียว เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่ปรากฏ
เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นมีธาตุรู้และมีสิ่งที่ปรากฏให้รู้เท่านั้น ไม่มีการที่จะต้องพิจารณาอะไร เพราะว่าธาตุรู้ในขณะนั้นเป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์ เป็นตัวปัญญา ที่กำลังประจักษ์ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ
ถ. ในขณะนั้นแทงตลอดแล้ว ใช่ไหม
สุ. กำลังประจักษ์ ไม่ต้องพิจารณา เพราะว่าเป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์ เป็นตัวปัญญาที่ประกอบพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะ ซึ่งเป็นธาตุชนิดหนึ่งที่ไม่ใช่การรวมกันของสักกายะที่จะต้องพิจารณาอย่างในขณะนี้
ในขณะนี้ ถ้าจะพิจารณาลักษณะของได้ยิน อาจจะมีสิ่งอื่นปรากฏสลับ แต่เวลาที่เป็นวิปัสสนาญาณ จะไม่มีสิ่งที่ปรากฏสืบต่อกันจนกระทั่งเป็นสิ่งที่รวมกัน เป็นอัตตา นี่คือการปรากฏของมโนทวาร
ถ. การปรากฏของมโนทวาร หมายถึงปัญญาในมโนทวารกำลังรู้สภาพของรูปธรรมนามธรรม ส่วนวิปัสสนาญาณที่ต้องเกิดในมโนทวาร หมายถึงขณะที่ปัญญาเกิดในมโนทวารตอนนั้น ในขณะนั้นสภาพของรูปธรรมนามธรรมต้องเกิดในมโนทวารด้วยหรือเปล่า
สุ. ปรากฏทางมโนทวาร เพราะว่านามธรรมย่อมรู้ได้ทางมโนทวารเท่านั้น รู้ทางอื่นไม่ได้เลย นามธรรมทุกประเภทจะรู้ได้ จะปรากฏได้แก่มโนทวารวิถีจิตเท่านั้น และสำหรับรูป เมื่อรับรู้รูปทางแต่ละทวาร เช่น ทางจักขุทวาร เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ดับแล้ว มโนทวารวิถีจิตรับรู้ต่อ เมื่อเสียงปรากฏแก่โสตทวารวิถีจิต ดับหมดแล้ว ภวังคจิตคั่นแล้ว มโนทวารรับรู้เสียงต่อ เพราะฉะนั้น เมื่อมโนทวารปรากฏ ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมแต่ละลักษณะที่ขาดตอนจริงๆ ที่ไม่ปะปนกันเลย จึงปรากฏได้
ถ. อย่างทางตา เราพิจารณา เราก็รู้ว่าทางตาแตกต่างจากทางหูแน่นอนขณะที่ปรากฏ ทางกายก็ย่อมแตกต่างจากทางลิ้น หรือทางจมูก และทางใจที่เป็นสภาพคิดนึก หรือสภาพที่เป็นโทสะก็ดี เป็นสภาพที่ปรากฏทางใจ เห็นความแตกต่าง เนื่องจากสภาพของสติระลึกบ่อยๆ จนสามารถแยกขาดว่า ขณะไหนเป็นทวารไหน เป็นปัญญาขั้นหนึ่งที่สามารถรู้ได้ว่า ทางตาก็ดี ทางหูก็ดี ไม่ใช่ทางเดียวกัน จนกระทั่งปัญญาเห็นความแตกต่าง จนเป็นสภาพของนามธรรมและรูปธรรมที่ปรากฏให้รู้ได้ว่า นี่เป็นสภาพนามธรรมและรูปธรรมทางหนึ่งทางใด เช่น ทางหู ก็เป็นสภาพของนามธรรมที่กำลังรู้เสียง ซึ่งไม่ใช่เรารู้เสียง ในขณะนั้นก็ไม่แตกต่างกับขณะที่ปัญญารู้ว่าเสียงกำลังปรากฏซึ่งไม่ใช่เรา ขณะนั้นก็ไม่มีรูปธรรมปรากฏ สติก็ระลึก สภาพเสียงที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ขณะนั้นเป็นมโนทวารหรือเปล่า ถ้าปัญญารู้ว่ารูปธรรมไม่ใช่เรา
สุ. เวลานี้มีมโนทวารวิถีมาก คั่นอยู่ระหว่างแต่ละปัญจทวารวิถี นี่เป็นความจริง ใช่ไหม แต่ลักษณะของมโนทวารที่กำลังรู้สีปรากฏหรือเปล่า ขณะที่กำลังได้ยินเสียง โสตทวารวิถีจิตดับหมด ภวังคจิตคั่น มโนทวารวิถีจิตรู้เสียงต่อ และขณะนี้ที่มโนทวารวิถีกำลังรู้เสียง ปรากฏหรือยังว่าเป็นมโนทวารวิถี เวลานี้ มีแต่จักขุทวารวิถีกับโสตทวารวิถี ใช่ไหม ที่กำลังปรากฏจริงๆ ทั้งๆ ที่ทุกคนรู้ว่า มีมโนทวารวิถีคั่นมาก แต่ก็กำลังเห็นอยู่ตลอดเวลา มโนทวารวิถีอยู่ที่ไหน ถูกไหม มโนทวารวิถีในขณะนี้รู้สิ่งที่ปรากฏทางตา และรู้เสียงที่ปรากฏทางหู และยังรู้เรื่อง รู้ความหมาย มีภวังค์คั่นด้วย นี่คือสภาพธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งถ้าสติปัฏฐาน ไม่เกิด สภาพธรรมตามความเป็นจริงไม่ปรากฏเลย เพราะฉะนั้น ดูเสมือน เพียงเข้าใจว่ามีมโนทวารวิถีคั่น แต่มโนทวารวิถีไม่ได้ปรากฏเลย เพราะว่า ไม่ใช่วิปัสสนาญาณ
วิปัสสนาญาณ คือ การปรากฏลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง เมื่อตามความเป็นจริงแล้ว ต้องปรากฏทางมโนทวารมากกว่าทางปัญจทวาร แต่ละทวาร เพราะว่าอายุของรูป ๑๗ ขณะ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือเสียง ๑๗ ขณะจิตนี่เร็วมาก ขณะที่รู้สึกเหมือนกับว่าเห็นด้วยและได้ยินด้วย
ความจริงทางตาที่เห็นดับ และมีภวังค์คั่นก่อนที่จะได้ยินเสียง ก่อนที่จะ รู้ความหมาย เพราะฉะนั้น เวลาได้ยินเสียง และคิดว่ารู้ความหมาย และคิดว่า เห็นด้วย และมีมโนทวารวิถีคั่น และมีภวังค์คั่น ตามความเป็นจริงคืออย่างนั้น แต่มโนทวารวิถีก็ไม่ได้ปรากฏเลย
คำว่า มโนทวารวิถี เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าหมายความว่า รู้อารมณ์ทางใจ โดยไม่อาศัยทางตา ทางหู เพียงแต่รับอารมณ์นั้นสืบต่อจากทางตา ทางหู เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วมโนทวารวิถีต้องปรากฏมากกว่าทางปัญจทวารวิถีแต่ละวาระแต่ละทวารด้วย แต่ทำไมไม่ปรากฏ ถ้าสภาพธรรมปรากฏจริงๆ อะไรจะปรากฏ ก็ต้องมโนทวารปรากฏ
อย่างที่เคยเรียนถามว่า วันหนึ่งๆ ทุกคนรู้สึกเหมือนกับว่าอยู่ในโลกที่สว่าง แต่ตามความเป็นจริงแล้ว ควรอยู่ในโลกที่มืดมากกว่าสว่างหรือเปล่า เพราะว่าขณะที่กำลังได้ยิน ขณะที่รู้เสียง เสียงกำลังปรากฏ ขณะนั้นสว่าง หรือมืด ขณะที่กำลังกระทบแข็งที่กำลังปรากฏ กำลังรู้แข็ง สว่างหรือมืด
ถ. มืด
สุ. ขณะที่กำลังรู้กลิ่น กำลังได้กลิ่น สว่างหรือมืด
ถ. มืด
สุ. ก็มืดไปหมด เหลือทวารเดียว คือ จักขุทวารวิถีเท่านั้นที่สว่าง แต่ทำไมปรากฏเหมือนสว่างตลอด มืดหายไปไหนหมด
ถ. เพราะว่าปัญญาขณะนั้นไม่ประจักษ์ในสภาพธรรมลักษณะเดียว โดยไม่ปน
สุ. เพราะฉะนั้น ทางมโนทวารถูกทางปัญจทวารปิดกั้นไว้ เพราะว่า การเกิดดับสลับกันอย่างเร็ว ถ้าสภาพธรรมปรากฏตามความเป็นจริง จะไม่สงสัย ในลักษณะของมโนทวาร เพราะสภาพที่เป็นนามธรรมปรากฏได้เฉพาะกับ มโนทวารวิถีจิตเท่านั้น จะปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายไม่ได้เลย
การรู้ลักษณะของนามธรรม ในขณะนี้ที่ว่าเป็นนามธรรม เป็นนามธาตุ เป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้ ไม่มีรูปใดๆ ปนเลย จะรู้ลักษณะของธาตุรู้ได้ทาง มโนทวารเท่านั้น และในขณะนั้นที่รู้ก็เป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์ ซึ่งเป็นปัญญา ที่ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะที่กำลังประจักษ์ลักษณะสภาพธรรมโดยไม่ใช่ ขั้นพิจารณา แต่เป็นขั้นที่ประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง ทีละอย่าง ตามความเป็นจริง
ถ. ในปัญจทวารก็มีสภาพรู้ทางตา แต่เพราะเหตุใดปัญญาจึงรู้สภาพรู้ ทางตาในปัญจทวารไม่ได้
สุ. มหากุศลญาณสัมปยุตต์ โดยการศึกษาเกิดได้กี่ทวาร
ถ. เกิดได้ทั้ง ๖ ทวาร
สุ. เกิดได้ทั้ง ๖ ทวาร แน่นอน ใช่ไหม เวลาที่รูปปรากฏ และ มหากุศลญาณสัมปยุตต์กำลังรู้ในลักษณะรูปที่ปรากฏนั้น เพราะความที่เป็น มหากุศลญาณสัมปยุตต์ที่รู้ในรูป ไม่ใช่โมหมูลจิต ไม่ใช่โลภมูลจิต ไม่ใช่โทสมูลจิต แต่เป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์ที่กำลังมีรูปเป็นอารมณ์ทางปัญจทวาร จึงรู้รูปนั้นชัด ไม่เหมือนอย่างในขณะที่เป็นโลภะ โทสะ โมหะ
เมื่อรู้ชัดอย่างนั้น เวลาที่ผ่านไปถึงมโนทวารวิถีซึ่งเป็นวิปัสสนาญาณ จึงเป็นความรู้ชัดในลักษณะของรูปที่ปรากฏโดยสภาพที่เป็นรูป ถ้าทางปัญจทวาร มหากุศลญาณสัมปยุตต์ไม่เกิด การรู้ชัดในรูปนั้นก็มีไม่ได้ แต่วิปัสสนาญาณเป็น ช่วงระยะความสมบูรณ์ของปัญญาซึ่งสังขารขันธ์ปรุงแต่งพร้อมที่จะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม สภาพธรรมจึงปรากฏตามความเป็นจริง