แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1678

ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย

วันอาทิตย์ที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๓๐


. ถ้าเรารู้ว่าเป็นบัญญัติ ชื่อว่ารู้ตามความเป็นจริงไหม

สุ. รู้อะไร

. รู้ว่าเป็นบัญญัติ

สุ. รู้อะไรที่เป็นบัญญัติ

. เรื่องที่คิด ชื่อเสียงเรียงนาม

สุ. จริงไหม

. ก็จริง

สุ. อะไรจริง

. บัญญัติ เรารู้ว่าเป็นบัญญัติ ชื่อว่ารู้ตามความเป็นจริงไหม

สุ. บัญญัติมีลักษณะอย่างไรที่เป็นจริง

. ก็กำลังถามอาจารย์ว่า จริงไหม

สุ. บัญญัติไม่ใช่สิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น ไม่มีลักษณะที่จะปรากฏ

. เรียนถามว่า ชื่อว่ารู้ตามความเป็นจริงไหม

สุ. สัจจธรรม อริยสัจจธรรม ต้องรู้ลักษณะของทุกขสัจจ์ คือ สภาพปรมัตถธรรมที่เกิดดับจึงจะเป็นสัจจธรรม

. ต้องรู้แค่ปรมัตถ์ สิ่งที่มีอยู่จริงๆ เท่านั้น จึงจะชื่อว่ารู้ตามความเป็นจริง

สุ. ทุกอย่างที่มีจริง ที่มีลักษณะเกิดขึ้นและดับไป

. ก็คือรูปนาม แต่ถ้ารู้บัญญัติว่าเป็นบัญญัติ ไม่ชื่อว่ารู้ตามความเป็นจริง

สุ. ขณะที่มีบัญญัติเป็นอารมณ์ ก็รู้ว่าขณะนั้นเป็นจิตที่กำลังมีบัญญัติ เป็นอารมณ์ โต๊ะเก้าอี้รู้อะไรไม่ได้ โต๊ะเก้าอี้มีบัญญัติเป็นอารมณ์ไม่ได้ เพราะว่า โต๊ะเก้าอี้ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่รู้อารมณ์ใดๆ เลย ขณะใดที่กำลังมีบัญญัติเป็นอารมณ์ ขณะนั้นเป็นจิตประเภทหนึ่ง ซึ่งกำลังคิดเรื่องต่างๆ

. เรารู้ว่าเป็นปรมัตถ์ เพราะเป็นจิตคิด

สุ. ต้องรู้ว่าขณะที่คิดนั้นไม่ใช่เรา เป็นจิตประเภทหนึ่ง

. นามรูปปริจเฉทญาณ จิตต้องเป็นฌานไหม

สุ. ไม่เป็น เป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์ เป็นฌานจิตไม่ได้

. คำว่า ใช้สติ กับคำว่า กำหนดรู้ ความหมายเดียวกันหรือเปล่า

สุ. ใช้สติไม่ได้

. ถูก ใช้สติไม่ได้ แต่คำว่า กำหนดรู้ อะไรเข้าไปกำหนดรู้

สุ. ระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ได้ฟังเรื่องของนามธรรม และหลงลืมสติ แต่เวลาที่ระลึกได้ว่าขณะนี้เป็นสภาพรู้ที่กำลังเห็น ขณะนั้นเป็น สติปัฏฐาน

. สติระลึกรู้ กับคำว่า กำหนดรู้ เป็นความหมายเดียวกันหรือเปล่า

สุ. ดิฉันไม่ทราบความหมายของกำหนดรู้ว่า หมายความอย่างไร

. เช่น กำหนดรู้ผม โดยสี โดยสัณฐาน โดยโอกาส โดยปริจเฉทอย่างนี้ว่า ผมมีสีดำ มีสัณฐานยาวกลม โดยทิศก็ตั้งอยู่บนหนังศีรษะ โอกาสก็ตั้งอยู่บน หนังศีรษะ ปริจเฉทก็เจาะเข้าไปในหัวอย่างนี้ คำว่า กำหนดรู้ รู้ว่าเป็นเช่นนี้

สุ. นี่คำว่า กำหนดรู้ ใช่ไหม ถ้าจะหมายความว่าพิจารณาโดยรอบได้ไหม

. แต่ผมติดอยู่ที่คำว่า สติระลึกรู้ในผม เป็นอย่างไร

สุ. สติระลึกรู้ที่เป็นสติปัฏฐาน หมายความว่าเคยฟังเรื่องของนามธรรมและรูปธรรม เคยฟังเรื่องสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา ธรรมทั้งหลายไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เคยได้ยินได้ฟังอย่างนี้ ใช่ไหม

. ไม่ใช่ คือ ผมจะทำความเข้าใจว่า ถ้าเราจะกำหนดรู้ผมในกายนี้ โดยอุคคหโกศลตามที่วิสุทธิมรรคบอก จะกำหนดเป็นอารมณ์แห่งกัมมัฏฐาน โดยสี สัณฐาน ทิศ โอกาส ปริจเฉท สติระลึกรู้ กับกำหนดรู้ อาจารย์บอกว่า คนละอย่างกัน ใช่ไหม

สุ. การกระทำทุกอย่างต้องมีจุดประสงค์ ถ้าจะพิจารณาอย่างนั้น จุดประสงค์เพื่ออะไร

. เพื่อแยกอัตตสัญญา ไม่ให้เห็นว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นแต่เพียง สีดำ เป็นเส้น ...

สุ. ถ้าพิจารณาอย่างนั้นก็ยังเป็นผม เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็นผม จะเป็นอนัตตาไม่ได้ รวมกันแล้วเป็นผม

. เขาบอกทำนองว่า ให้กำหนดรู้เป็นอารมณ์นิมิต เป็นอารมณ์ ด้วยสามารถของมันตามนี้ เพื่อจะเป็นอุบายให้สงบจิต ให้เห็นเป็นของน่าเกลียด

สุ. ใครจะบอกอย่างไรก็ตาม ผู้ฟัง ผู้อ่าน ต้องพิจารณาจนกระทั่งเข้าใจ ในอรรถ และเข้าใจในจุดประสงค์ของผู้ที่เขียน ผู้ที่อธิบาย และจุดประสงค์ของตัวเองด้วย นี่เป็นสิ่งที่สำคัญ แม้แต่ในการฟังพระธรรม จุดประสงค์เพื่ออะไร เพื่อให้เข้าใจตัวเองตามความเป็นจริง เพราะถ้าไม่อาศัยพระปัญญาของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครสามารถรู้จักโลกหรือรู้จักตัวเองตามความเป็นจริงได้

เพราะฉะนั้น การฟังเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทำให้เข้าใจในขณะที่เห็น ในขณะที่ได้ยิน ในขณะที่ได้กลิ่น ในขณะที่ลิ้มรส ในขณะที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ในขณะที่คิดนึกเพิ่มขึ้นว่าไม่ใช่ตัวตนอย่างไร นี่คือจุดประสงค์ ใช่ไหม

ขณะนี้ไม่ได้ไปพูดเรื่องผม ไม่ได้พูดถึงเรื่องสัณฐานของผม แต่กำลังพูด เรื่องเห็น เรื่องได้ยิน เอาขณะนี้ก่อน เพราะฉะนั้น จุดประสงค์ของการฟังในขณะนี้เพื่อเข้าใจ เพื่อที่จะรู้ว่าไม่ใช่เราที่กำลังเห็น นี่เป็นจุดประสงค์ที่ฟัง เพราะว่าการฟัง ต้องมีจุดประสงค์ด้วย การอ่านการพิจารณาธรรมก็ต้องมีจุดประสงค์ ถ้าเข้าใจจุดประสงค์นี้แล้ว จะได้กล่าวถึงจุดประสงค์ของการที่จะไปพิจารณาผมโดยสัณฐาน โดยโอกาส โดยสี โดยกลิ่น โดยความเป็นปฏิกูลต่างๆ ว่าเพื่ออะไร ทำไมจึง พิจารณาผม

. เพื่อให้ละ ให้หน่ายในกาย เพื่อให้หลุดพ้นไป

สุ. เพื่อให้ละความยินดีพอใจในผม แต่ไม่ใช่เพื่อดับกิเลสเป็นสมุจเฉท เกิดจากการไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น สมถภาวนาละโลภะ แต่ว่าวิปัสสนาภาวนาละโมหะ

. อย่างที่มีผู้ถามว่า เห็นสีทางตา อุปาทายรูปแสดงสีได้หรือเปล่า

สุ. ลักษณะจริงๆ คือ สภาพธรรมที่ปรากฏทางตา

. อย่างลักษณะไมโครโฟนเป็นของแข็ง สัญญาก็หมายรู้ว่าเป็นขาว เหลือง แดง ส้ม แต่ว่าไม่มีสัตว์บุคคล

สุ. โดยมากเวลาพูดถึงปรมัตถธรรมแล้ว จะกลายเป็นอีกโลกหนึ่งซึ่งไม่รู้ ผิดไปจากความจริง คล้ายๆ กับว่าต้องมาสอบถามคิดกันใหม่ว่า สิ่งที่เคยเป็นปกติ ในชีวิตประจำวันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือเปล่า แต่ถ้าคิดอย่างนี้ว่า ทุกสี ขณะนี้กำลังปรากฏ ใช่ไหม

. ถ้าสียังไม่กระทบเราตราบใด ก็ยังไม่เข้าใจสิ่งนั้นว่าเป็นสีนั้น ใช่ไหม

สุ. ขณะที่เห็น

. สมมติยังไม่เห็น คือ ผมยังไม่ได้เหลียวไปดูข้างหลัง ผมยังไม่ทราบสี แต่ที่คิด ผมบอกว่าไม่ใช่ผมคิด คือ สัญญาจะจำหมายรู้ได้ว่า เป็นสีเหลือง ขาว แดง แต่สัญญาไม่ใช่เป็นตัวเรา

สุ. เพราะเห็นจึงจำได้ ใช่ไหม เพราะฉะนั้น สีนั้นต้องปรากฏทางตาแน่นอน

. อีกนัยหนึ่งที่ว่า ตั้งแต่เล็กๆ เราเป็นทารก เรายังไม่รู้จักโลกนี้โดยความเป็นสีเหลือง ส้ม แต่ทำไมโตเป็นผู้ใหญ่จึงรู้ สัญญาตั้งอยู่ที่ไหน ตั้งอยู่ที่ตาหรือ

สุ. ตอนเป็นเด็ก จำได้หรือ

. จำไม่ได้

สุ. จำไม่ได้ ก็เป็นเรื่องจำไม่ได้ แม้ว่าจะเห็นก็จำไม่ได้ การเห็น จักขุวิญญาณต้องเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา อย่าลืม เอาความคิดเรื่องสีอะไรต่ออะไร ออกให้หมด จะเป็นสีอะไรก็ตามแต่ สีนั้นปรากฏทางตา ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นสีอะไรก็ตาม ลักษณะแท้จริง คือ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา อย่างนี้ ก็จะไม่สงสัยเรื่องสี ใช่ไหม

. ไม่สงสัย สีมีอยู่แล้ว เป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้ว ขันธ์ก็มีอยู่แล้ว แต่ที่จะหลุดพ้นจากความเป็นของเรา เป็นเราเห็น สำคัญ

สุ. ถูกต้อง โดยเริ่มรู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นสีอะไร ก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาขณะที่เห็น

. ปรากฏโดยผ่านไปวันคืน หรือว่าปรากฏโดยขณะหนึ่ง

สุ. ขณะนี้ พิสูจน์ธรรมขณะนี้เห็นอะไร

. สมมติเราเห็นผมสีดำที่ปรากฏอยู่บนหัวใคร และอีก ๑๐ ปีมาเห็นอีก กลายเป็นสีขาว

สุ. ทำไมต้องเป็นอีกตั้ง ๑๐ ปี

. อยากให้รู้ว่า เห็นความไม่เที่ยง

สุ. ทุกสีที่ปรากฏทางตา ปรากฏและดับ เพราะว่าจะมีสีลอยๆ โดยไม่มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมไม่ได้ เมื่อธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมดับ สีก็ต้องดับด้วย แต่ทำไมไม่ปรากฏว่าสีดับเลยสักครั้ง ต้องไปคอยจนกระทั่งถึง ๑๐ ปี ไม่ใช่อย่างนั้น จะต้องระลึกรู้ว่า ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตา ลักษณะแท้ๆ คืออย่างไร ถ้าไม่รู้จักลักษณะแท้ๆ ก็ไม่ประจักษ์การเกิดและดับของสิ่งนั้น

. เราจะระลึกรู้ในสิ่งที่ไม่รู้ตัวมันเองได้อย่างไร

สุ. เช่นอะไร

. เช่น ผม มันไม่รู้ตัวเองเลยว่าเป็นผม แต่เราจะระลึกถึงผมโดยความเป็นเส้นเท่านั้น จะระลึกรู้ได้อย่างไร

สุ. ขณะที่กำลังยืนอยู่นี้ จะระลึกอะไร

. จะระลึกรู้การทรงกายอยู่บนพื้น ทรงกายอยู่ด้วยธาตุ ลมยันไว้ ดิน ยึดไว้ น้ำเกาะกุมอยู่

สุ. และลักษณะของสภาพธรรมที่กล่าวถึงนั้น ปรากฏหรือเปล่า

. ปรากฏอยู่

สุ. ปรากฏเป็นลักษณะของอะไร

. ปรากฏโดยความเป็นธาตุ

สุ. ลักษณะของธาตุไหน

. ธาตุที่ยึดไว้ทำให้ผมยืนอยู่ได้ ลมผลักเอาไว้ ทำให้กายของผมยืนตรงได้ คนตายยืนไม่ได้

สุ. และที่ศีรษะมีลมไหม

. มี ลมตีขึ้น

สุ. ตกลงกำลังรู้ลักษณะของธาตุลมตรงไหน ในเมื่อทั่วทั้งตัวจะต้องมี ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เพราะฉะนั้น ในขณะนี้กำลังระลึกรู้ลักษณะของ ธาตุลมตรงไหน

. ก็ระลึกตรงนี้ ขณะนี้

สุ. ระลึกได้เฉพาะส่วนที่ปรากฏ ใช่ไหม ถ้าส่วนใดไม่ปรากฏ ส่วนนั้นระลึกไม่ได้ ถูกไหม ขณะนี้มีฟันหรือเปล่า

. มี

สุ. จำไว้ หรือว่าลักษณะของธาตุนั้นปรากฏ

. ลักษณะ ผมรู้สึกอบอุ่น

สุ. ขณะนั้นเป็นธาตุอะไร

. เตโชธาตุ

สุ. ไม่ใช่ฟัน ใช่ไหม

. ไม่ใช่ฟัน อาจารย์ถามถึงฟันหรือ

สุ. ขณะนี้ถามว่า มีฟันไหม ฟันในปากมีไหม

. มี

สุ. เมื่อไร

. เมื่อตั้งอยู่ที่คาง กายยังไม่แตกกระจาย

สุ. มีลักษณะอย่างไร

. มีลักษณะคล้ายๆ เมล็ดทับทิม

สุ. นี่คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ตามที่ได้จำได้ใช่ไหมว่า ถ้าจะพิจารณาผมมีลักษณะอย่างไร อยู่ตรงไหน โอกาสส่วนไหนของร่างกาย ขนมีลักษณะอย่างไร อยู่ตรงส่วนไหนของร่างกาย เล็บมีลักษณะอย่างไร อยู่ตรงส่วนไหนของร่างกาย ฟันมีลักษณะอย่างไร อยู่ตรงส่วนไหนของร่างกาย แต่ขณะนี้กำลังยืนอย่างนี้ มีฟันไหม เดี๋ยวนี้

. ถ้ามีฟัน ก็ลงสมมติ

สุ. เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่กำลังจะระลึก ขณะนี้กำลังอยู่ที่นี่และจะระลึกลักษณะของสภาพธรรม จะระลึกลักษณะของสภาพธรรมอะไร

. ระลึกเท่าที่ระลึกได้

สุ. นั่นซิ ระลึกอะไร

. ก็ระลึกถึงชีวิตประจำวัน

สุ เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ระลึกถึงลักษณะของสภาพธรรมอะไร

. กำลังเห็น

สุ. กำลังเห็น ถูกต้อง ขณะนี้เห็นมีจริง ที่ถามว่า สติระลึกรู้คืออย่างไร เพราะว่าได้ยินได้ฟังเรื่องเห็น และก็เคยเห็นมาตั้งแต่เกิด และจะเห็นต่อไปด้วย แต่ไม่รู้ความจริงของเห็น เมื่อได้ฟังพระธรรมก็เกิดระลึกได้ว่า ทรงแสดงเรื่องของการเห็นว่าเป็นสิ่งที่มีจริง แต่ไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงสภาพรู้ อาการรู้ ซึ่งเปรียบเทียบได้กับ คนตายว่า คนตายไม่เห็น เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังเห็นนี้ ต้องเป็นลักษณะรู้หรือ ธาตุรู้ชนิดหนึ่ง

. คำว่า กำลังเห็น ไม่ใช่ตัวตนของเรา หรือเป็นแต่ว่า เห็น ก็ไม่ใช่ผู้เห็น

สุ. ลักษณะที่เห็น เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเห็นและดับไปเลย สิ่งใดที่ เกิดแล้ว ดับแล้ว เป็นของใคร

. ไม่ใช่ตัวตน

สุ. ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของเรา ลักษณะนั้นมีจริง แต่ยึดถือว่า เราเห็น มานานแสนนาน ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว ด้วยเหตุนี้กว่าจะรู้ว่าเห็นไม่ใช่เรา เป็นของจริง เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งทำกิจเห็น ได้ยินไม่ได้ จักขุวิญญาณได้ยินไม่ได้เลย จักขุวิญญาณเกิดขณะใดก็ต้องเห็นขณะนั้น ต้องได้ยินได้ฟังบ่อยๆ จะเป็นปัจจัยให้สติเกิดระลึกได้ ตามที่ถามว่าระลึกได้หมายความว่าอย่างไร ก็คือ ระลึกได้ตรงตามที่ได้ศึกษา หรือตามที่ได้ยินได้ฟังว่า สภาพธรรมไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล

เพราะฉะนั้น จุดประสงค์ในการฟัง คือ เพื่อที่จะรู้ความจริง แต่ถ้าไปพูดถึงเรื่องผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ก็ต้องรู้ว่าจุดประสงค์คืออะไร และการระลึกอย่างนั้น จะรู้ลักษณะของจริงๆ ได้ไหม สามารถที่จะดับกิเลสได้ไหม ในเมื่อขณะนี้มีสิ่งที่เป็นของจริงที่เป็นอนัตตา ซึ่งอวิชชาไม่สามารถจะรู้ได้ เพราะฉะนั้น จึงต้องเจริญปัญญา

. ผมทราบว่า ยังไม่ถึงขั้นที่จะดับกิเลสได้ แต่ประกอบไว้เนืองๆ ก็เป็นปัจจัย ไม่ใช่หรือ

สุ. ก็ทำไมไม่ประกอบไว้เนืองๆ ที่จะหัดสังเกตลักษณะของเห็น ลักษณะของได้ยิน การสะสมนี่ดี เป็นประโยชน์เป็นปัจจัย แต่ต้องสะสมสิ่งที่ถูกด้วย ที่จะ ทำให้สามารถรู้ความจริง และดับกิเลสได้

. เมื่อเร็วๆ นี้ ผมได้ตัดต้นมะพร้าวที่บ้าน คนที่ตัดถูกมดกัดมากมาย ขณะนั้นผมวิตกคิดไปว่า จะเป็นคนทำให้มดตายหรือเปล่า ขณะนั้นเราก็พยายามเจริญกุศลในเรื่องอื่น เช่น หาอาหารมาให้ หาเสื้อผ้ามาให้คนตัด เขาลงมาจากต้นไม้ขอหนังสือพิมพ์เก่าๆ เอามาเผามด ผมหยุดกึกเลย ลักษณะอย่างนี้ ถ้าเราไม่เอาหนังสือพิมพ์ไปให้ เขาคงคิดว่าผมเพี้ยนไปแล้ว ไม่เห็นใจคนตัดต้นไม้เลย แต่ถ้าเอาไปให้ ก็รู้แน่ๆ ว่าเขาเอาไปเผามด แต่ในที่สุดก็ต้องหยิบหนังสือพิมพ์ไปให้เขา และผมก็เข้าบ้านไปเลย ไม่ได้ดูอะไร อกุศลจิตก็เกิดอยู่บ่อยๆ เนืองๆ ลักษณะอย่างนี้ อาจารย์คิดว่า ควรจะพิจารณาหรือดำเนินการอย่างไรดี

สุ. ทุกคนมีชีวิตประจำวันที่ต่างกัน ตามเหตุตามปัจจัยที่ได้สะสมมา ถ้าจะพิจารณาแต่ละชีวิต เอาเรื่องของแต่ละคนมาเขียนให้อ่าน จะเห็นได้ว่า ไม่ซ้ำกันเลย และมองดูเพื่อนบ้านหรือรอบข้าง แม้แต่ผู้ที่อยู่ใกล้ชิด หรือผู้ที่อยู่ไกล จะเห็นได้ว่า แต่ละขณะจิตเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทั้งสิ้น โดยสภาพของปุถุชนที่ยังไม่รู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ย่อมต่างกับผู้ที่รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง และผู้ที่กำลังอบรมเจริญปัญญา ก็ต้องอบรมเจริญปัญญาไปตามวิถีชีวิตของแต่ละคน ซึ่งไม่มีอะไรที่จะประเสริฐเท่ากับสติปัฏฐานที่เกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จนกระทั่งสามารถประจักษ์แจ้งลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงนามธรรมและรูปธรรมก่อนอย่างอื่น

. ถ้าไปเจอในลักษณะอย่างนี้ อาจารย์คิดว่าควรจะพิจารณาดำเนินการอย่างไรต่อไป

สุ. ถึงแม้จะมีใครให้คำแนะนำอย่างไร แต่ละชีวิตที่จะเกิดขึ้นในขณะไหน ก็ต้องเป็นไปตามการสะสมของจิตขณะนั้น เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่ฟังพระธรรมและ ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมเท่าที่สามารถจะกระทำได้ พร้อมทั้งเป็นผู้ที่มีปกติ เจริญสติปัฏฐาน คือ ไม่ทิ้งการเป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน

เปิด  236
ปรับปรุง  21 ต.ค. 2566