แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1699

ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย

วันอาทิตย์ที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๓๐


. อนัตตสัญญากับอัตตสัญญา พึงรู้ด้วยการเจริญปัญญาหรือรู้ด้วย การคิดนึกเอา

สุ. พึงรู้ด้วยการเจริญปัญญา คิดนึกเอาไม่สามารถดับกิเลสได้

. คิดนึกนี่หมายถึงว่า เราฟังเขาพูดว่าไม่ใช่ตัวตน เราก็คิดว่า เป็นอัตตสัญญาบ้าง เป็นอนัตตสัญญาบ้าง

สุ. แต่เวลาเห็นนี่เป็นเรา ใช่ไหม

. ใช่

สุ. ก็ไม่ใช่อนัตตสัญญา

ทุกท่านอยากจะประจักษ์แจ้งการเกิดขึ้นและดับไปของนามธรรมและรูปธรรม ในขณะนี้ที่เป็นอุทยัพพยญาณแน่นอน เพราะว่าเป็นสัจจธรรม

มีใครบ้างไหมที่ได้ฟังพระธรรม ได้รู้เรื่องของปรมัตถธรรม สังขารธรรม และ ไม่อยากจะรู้ ไม่อยากจะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไป หรือฟังมาว่าเกิดดับ แต่ยัง ไม่กล้าประจักษ์ หรือยังกลัวอยู่ว่า ถ้าประจักษ์แล้วจะเป็นอย่างไร นั่นคือลักษณะของความไม่รู้ ตรงกันข้ามกับความรู้ เพราะว่าปัญญาเป็นสภาพธรรมที่เป็นโสภณธรรม เป็นธรรมฝ่ายดี ไม่เป็นธรรมที่จะทำให้เกิดอกุศลหรือโทษภัยใดๆ ทั้งสิ้น แต่ถ้าเป็นอกุศล ตรงกันข้าม

ขณะที่ประจักษ์อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา การเกิดขึ้นและดับไปของ สังขารธรรม ใน ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ญาณกถา ข้อ ๑๘๒ มีข้อความว่า

ธรรมมีความปราโมทย์เป็นเบื้องต้น ๙ ประการ

ความยินดีในโลก คือ ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ซึ่งทุกคนไม่สงสัยเลย เวลาที่ได้รูปดีๆ เสียงดีๆ รสดีๆ กลิ่นดีๆ มีความปีติ มีความดีใจ มีความชอบใจ มีความพอใจอย่างมาก นั่นไม่น่าสงสัย แต่ปีติหรือปราโมทย์ที่เกิดเพราะการประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม จะมากกว่าการที่ได้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะซึ่งเพียงเล็กน้อยก็ชื่นชมดีใจเสียมากมาย ทั้งๆ ที่รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนั้นก็ไม่ยั่งยืน ไม่มีใครเลยที่ได้รูปใดแล้วรูปนั้นจะไม่เปลี่ยน เสียงใดแล้ว เสียงนั้นจะไม่เปลี่ยน รสใดแล้วรสนั้นจะไม่เปลี่ยน โผฏฐัพพะใดแล้วโผฏฐัพพะนั้นจะไม่เปลี่ยน หรือกลิ่นใดแล้วกลิ่นนั้นจะไม่เปลี่ยน จะไม่หมดไป เพราะฉะนั้น ความยินดีในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะซึ่งเป็นอกุศล จะเทียบกับ ความปราโมทย์ที่เกิดจากการประจักษ์ลักษณะที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ซึ่งเกิดดับไม่ได้ ใน ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ญาณกถา ข้อ ๑๘๒ จึงมีข้อความว่า

ธรรมมีความปราโมทย์เป็นเบื้องต้น ๙ ประการ

ขณะที่เห็นความไม่เที่ยงปราโมทย์ย่อมเกิด ตรงกันข้ามกับขณะที่ปราศจากปัญญาก็กลัว ไม่กล้าที่จะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับในขณะนี้

เมื่อมนสิการโดยความไม่เที่ยง ย่อมเกิดปราโมทย์

เพียงแค่นี้ คิดดู จะเป็นไปได้ไหมในชีวิตประจำวัน ก่อนที่จะประจักษ์แจ้งลักษณะของไตรลักษณ์ซึ่งเป็นอุทยัพพยญาณจริงๆ เอาเพียงแค่ในชีวิตประจำวัน เพียงแค่ เมื่อมนสิการถึงความไม่เที่ยง ย่อมเกิดปราโมทย์

เคยดีใจบ้างไหม ถ้าอะไรซึ่งเป็นของที่รักแตกไป เสียหายไป หรือว่าเสียใจ ไม่อยากให้สิ่งนั้นแตกเสียหายไป นี่เป็นลักษณะที่ต่างกันของอกุศลและกุศล ของอวิชชาและปัญญา

ถ้าเป็นอกุศล สิ่งที่ชอบมากๆ แตกหักเสียไป เสียดายเหลือเกิน แต่เมื่อปัญญาเกิดในขณะที่สิ่งที่ชอบมากๆ แตกก็ดีใจ เห็นความไม่เที่ยง เป็นไปได้ไหม ในชีวิตประจำวัน

แต่สามารถจะเป็นไปได้อย่างนั้นจริงๆ จากความที่เคยเสียดายกลับเปลี่ยนเป็นดีใจที่ได้ประจักษ์ความไม่เที่ยง แม้ยังไม่ใช่อุทยัพพยญาณ เพียงแค่สิ่งนั้นซึ่งเคยมี ก็ไม่มี ปราศไป หรือแตกหักไป เสียไป ขณะนั้นถ้าเป็นปัญญาก็ปราโมทย์ได้ เมื่อมนสิการความไม่เที่ยง

ก่อนที่จะถึงอุทยัพพยญาณ อบรมไปก่อน เล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน ไปเรื่อยๆ เพราะแต่ละขณะจะเป็นการหยั่งลึกลงไปเพื่อดับอกุศลซึ่งฝังรากลึกมาก

เมื่อมนสิการโดยความไม่เที่ยง ย่อมเกิดความปราโมทย์ เมื่อถึงความปราโมทย์ ย่อมเกิดปีติ

แสดงให้เห็นแล้วว่า ปราโมทย์เป็นอย่างอ่อน และปีติมีกำลังกว่าปราโมทย์

เมื่อใจมีปีติ กายย่อมสงบ

กายนี่รวมทั้งเจตสิกซึ่งเกิดกับจิต ก็เป็นสภาพที่สงบ ขณะที่พิจารณาเรื่องความไม่เที่ยงแล้วสงบแน่นอน จึงจะเกิดความปราโมทย์และปีติได้

ผู้มีกายสงบ ย่อมได้เสวยสุข ผู้มีความสุข จิตย่อมตั้งมั่น เมื่อจิตตั้งมั่น ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง เมื่อรู้เห็นตามความเป็นจริง ย่อมเบื่อหน่าย เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จิตย่อมหลุดพ้น

ถ้าจะพิจารณาโดยสภาพที่เป็นทุกข์ หรือโดยสภาพที่เป็นอนัตตา ก็โดยนัยเดียวกัน คือ สำหรับผู้ที่เจริญสติปัฏฐานแล้ว มนสิการลักษณะของรูป ของเวทนา ของสัญญา ของสังขาร ของวิญญาณ ของชรา ของมรณะ โดยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แล้วเกิดปราโมทย์

นี่คือ ธรรมมีความปราโมทย์เป็นเบื้องต้น ถ้ายังไม่ปราโมทย์จะถึง การประจักษ์แจ้งอุทยัพพยญาณได้ไหม ถ้าสิ่งใดไม่เที่ยงและเสียใจ เสียดาย แต่ถ้าผู้ใดเริ่มมนสิการความไม่เที่ยงแล้วเกิดปราโมทย์ ซึ่งแต่ก่อนอาจจะไม่มีเลย แต่ย่อมจะมีได้เรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อย เพราะว่าสภาพธรรมต้องมีทั้งกุศลและอกุศลในวันหนึ่ง จะให้มีแต่ปราโมทย์เรื่อย ก็เป็นไปไม่ได้

. ผมก็ได้มนสิการตามที่ท่านอาจารย์ว่าแล้ว ซึ่งเกิดกับผมด้วยเหมือนกัน อย่างของหาย ผมไปเช่าบ้านอยู่ ขโมยก็มาลักเอาพัดลมไป ตอนนั้นผมก็เสียดาย แต่มาคิดด้วยปัญญาอย่างท่านอาจารย์บอกก็รู้สึกว่า เอาไปก็ดีจะได้ซื้อใหม่ หรือ เมื่อเราเคยขโมยเขามา เขาก็มาเอาไป ถ้าหากเราเสียไปและเรามนสิการได้ จะเกิดปีติหรือปราโมทย์ หลักธรรมนี้ผมจะนำไปเล่าให้ทหารฟังบ้างว่า ถ้าหากเธอโดน สะเก็ดระเบิดแขนขาดแล้ว ให้พิจารณาด้วยปัญญา หรืออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง ขาดไปแล้ว ให้พิจารณาด้วยปัญญา และจงทำความปราโมทย์ให้เกิดขึ้นในจิต อย่างนี้คงจะไม่ผิดใช่ไหม

สุ. แล้วแต่ขั้นของผู้ที่รับฟัง ถ้าผู้รับฟังไม่สามารถที่จะปราโมทย์ได้ ก็คงจะไม่มีอัตตาไปทำให้เขาปราโมทย์ เพราะแม้แต่ความปราโมทย์ก็เป็นอนัตตาด้วย และการอบรมเจริญสติปัฏฐานที่ละเอียดขึ้น จะทำให้เข้าใจกัมมัสสกตาญาณ คือ เข้าใจเรื่องของกรรมชัดเจนขึ้น ถ้าของไม่หายจะรู้จักกรรมของตัวเองไหมว่า แท้ที่จริงแล้วถ้าไม่มีกรรมที่จะทำให้ต้องสูญเสีย การสูญเสียก็มีไม่ได้ หรือไม่ว่าจะ มีใครทำร้าย ก็ไม่ควรจะโกรธเคืองบุคคลนั้นด้วย เพราะถ้ากรรมของตนเองไม่มี ความปวดเจ็บร่างกายนั้นก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น แม้บุคคลอื่นจะทำหรือไม่ทำ เมื่อเวลาที่กรรมจะให้ผลทำให้เกิดความปวดเจ็บขึ้น อุบัติเหตุต่างๆ บนท้องถนนก็ดี ในน้ำ บนบก ในอากาศ ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกขณะ แม้แต่โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้น เพราะกรรม ก็เกิดได้ ทำไมต้องไปโกรธบุคคลอื่น ฉันใด เวลาที่ทรัพย์สินข้าวของสมบัติเสียหาย ถ้าคนอื่นไม่มาเอาไป น้ำท่วม ไฟไหม้ก็ได้ ทุกอย่าง

ถ้าจะพิจารณาให้ละเอียดถึงสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ย่อมรู้จักกรรมดีขึ้นว่า ขณะใดเป็นผลของกรรม และถ้าจิต เศร้าหมอง หวั่นไหว ขณะนั้นก็เป็นอกุศล และถ้าเป็นทุจริต ก็เป็นอกุศลกรรมที่จะ ทำให้เกิดผล คือ อกุศลวิบาก

การอบรมเจริญปัญญา เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ พร้อมทั้งการระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมด้วย ไม่ใช่ว่าเป็นเรา หรือไม่ใช่ว่าจะบอกให้คนอื่นปราโมทย์ แต่สภาพธรรมเป็นอย่างนี้ คือ ถ้าขณะใดปัญญาไม่เกิด ขณะนั้นก็ปราโมทย์ไม่ได้ และขณะใดที่ปัญญาเกิด ขณะนั้นก็ปราโมทย์เอง ไม่ต้องไปบังคับให้ปราโมทย์

เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ ก็พิจารณาสภาพธรรมตามความเป็นจริงของธรรม นั้นๆ เพื่อจะได้ตรวจสอบดูว่า เป็นผู้ที่มีความมั่นคงด้วยการเข้าใจธรรม และด้วยการเจริญสติปัฏฐาน ด้วยการรู้เรื่องของกรรม ด้วยการรู้เรื่องความเป็นอนัตตาของ สภาพธรรมมากน้อยแค่ไหน

และสำหรับบุคคลอื่นที่จะอนุเคราะห์ คือ อนุเคราะห์ให้เขาเกิดปัญญาก่อน ถ้าไม่ให้เขาเกิดปัญญาจะไปให้เขาปราโมทย์ก็เป็นไปไม่ได้ และปัญญาที่จะทำให้ถึงกับปราโมทย์ได้เมื่อสูญเสียสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ต้องเป็นผู้ที่มั่นคงพอสมควร ซึ่งทำให้รู้ว่า อดีตได้สะสมปัญญามามากพอที่จะสามารถปราโมทย์ได้ และถ้าปัญญาสมบูรณ์ถึงขั้นที่สามารถจะประจักษ์การสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างเหลือแต่เพียงลักษณะของรูปธรรมหรือนามธรรมเพียงลักษณะเดียว ซึ่งชีวิตนี่ดำรงอยู่ได้เพียงขณะจิตเดียวเท่านั้น ถ้ารู้อย่างนี้ในขณะนั้น ประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปที่เป็นไตรลักษณ์ ขณะนั้น จะเกิดปราโมทย์ ไม่ใช่ว้าเหว่ หรือว่าไม่ใช่ตกใจกลัว

. การมีทำให้เกิดทุกข์ ถ้าหากเรามีมืออย่างนี้ ก็ทุกข์ที่มือได้ เช่น เมื่อยมือ หรือคันมือ หรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้าหากเกิดอุบัติเหตุ เช่น โดนกับระเบิด ขาหรือมือหลุดไป จะบอกให้เขาพิจารณาง่ายๆ ว่า ขาดไปเสียก็ดี จะได้ไม่มีทุกข์ที่มือ การไม่มีก็ไม่ทุกข์ เพราะมีจึงทุกข์ อย่างนี้ได้ไหม

สุ. เขาพร้อมที่จะไม่มีหรือยัง หรือยินดีในความไม่มีตัวตนหรือเปล่า

ถ. ต้องให้เขาเกิดปัญญาก่อน

สุ. แน่นอน และปัญญาไม่ใช่จะเกิดวันเดียวเดี๋ยวเดียวที่ไปบอกเขา ถ้าเขาไม่เคยฟังพระธรรมเลย และไปบอกเขาว่า ไม่มีมือก็ดี ไม่มีใครเห็นด้วยแน่

อยากให้ทุกท่านพิจารณาว่า เรื่องของการสูญเสีย ไม่มีใครประสงค์ให้เกิดขึ้นแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรืออวัยวะร่างกาย แต่เมื่อมีการสูญเสียเกิดขึ้น ซึ่งการสูญเสียนั้นก็ต้องเป็นผลของกรรม เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จิตควรที่จะเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล

เรื่องของการสูญเสีย ทั้งๆ ที่ไม่มีใครอยากจะสูญเสียเลย แต่ก็ต้องเกิดเพราะว่าเป็นโลกธรรม ไม่มีใครเลยที่มีแต่ได้โดยที่ไม่เสีย เพียงแต่ว่าจะได้มากหรือว่าจะสูญเสียมาก แต่ขณะใดก็ตามที่มีการสูญเสียอย่างหนึ่งอย่างใดเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นลาภ หรือยศ หรือสรรเสริญ หรือสุข ก็ควรที่จะได้พิจารณาว่า ควรที่จะเป็นกุศล หรือควรที่จะเป็นอกุศล

ถ้าปัญญารู้เรื่องกรรม จะทำให้คลายความเศร้าโศกเสียใจลงได้ แต่ถ้าไม่รู้ว่า ทำไมหน้าตา มือ เท้า แขน ขา อวัยวะ ร่างกายต่างๆ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร จะไม่รู้ว่า เพราะอะไรจึงสูญเสีย

การเข้าใจเรื่องกรรม ไม่ใช่เพียงแต่คิดว่าการเกิดเป็นผลของกรรมเท่านั้น แต่ชีวิตในแต่ละวัน ในแต่ละขณะ ถ้าพิจารณาจริงๆ แล้ว ปัญญาย่อมสามารถที่จะเจริญและเข้าใจเพิ่มขึ้น ชัดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นขณะที่เห็น ขณะที่ได้ยิน ขณะที่ได้กลิ่น ขณะที่ลิ้มรส ขณะที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสก็รู้ว่า ขณะนั้นๆ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย เช่นเดียวกับการที่จะมีร่างกายเกิดขึ้น ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การที่จะมีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย ใครหลีกเลี่ยงได้ เพราะฉะนั้น เมื่อมีแล้วก็สูญไปได้เหมือนกัน หรือเสียไปได้เหมือนกัน เพราะว่ากรรมทำให้มีขึ้นได้ฉันใด กรรมก็ทำให้สูญเสีย อาจเป็นตา หรือหู จมูก ลิ้น กาย อวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใดก็ได้ หรือแม้แต่ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ถ้ารู้จริงๆ ว่าเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย เมื่อกุศลกรรมไม่ให้ผล อีกต่อไป และเป็นโอกาสของอกุศลกรรมเมื่อไร ก็เป็นเหตุให้เสื่อมลาภ เสื่อมยศ เสื่อมสรรเสริญ และเกิดความทุกข์ได้

เพราะฉะนั้น น่าที่จะพิจารณาให้ละเอียดจริงๆ เพื่อจะได้พิสูจน์พระธรรมที่ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า เป็นอนัตตา

ถ้าไม่ได้พิจารณาโดยละเอียด ทุกคนยังมีความยึดมั่นว่า เป็นตัวตน เป็นเรา เพราะฉะนั้น ก็พยายามทุกอย่างด้วยความเป็นตัวตนเพื่อจะให้ได้สิ่งที่ต้องการ และเวลาที่สูญเสียไป ด้วยความเป็นตัวตนก็ทำให้ไม่รู้เหตุที่ทำให้สูญเสีย ปัญญาจึงต้องเจริญอย่างมาก จนกว่าเวลาที่ประสบกับความสูญเสียหรือความไม่เที่ยงเมื่อไร ก็จะสามารถเกิดปีติ ดีใจที่ได้ประจักษ์ความสูญเสียซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง

ถ้าค่อยๆ พิจารณาไป ทีละเล็กทีละน้อย ความเสียใจน้อยลง และมีปัญญาสามารถที่จะรู้ชัดขึ้น จะเห็นได้จริงๆ ว่า การที่สามารถปีติโสมนัสเมื่อประจักษ์ลักษณะความไม่เที่ยงของสภาพธรรมนั้นได้ ต้องมาจากการอบรมเจริญปัญญาจากชาติหนึ่งไปสู่อีกชาติหนึ่ง ซึ่งขอให้พิจารณาในชีวิตประจำวันจริงๆ เริ่มจากความจริงที่ว่า อยากได้อะไรบ้าง ดูเหมือนว่าไม่มากสำหรับบางท่าน เพียงแต่ว่าดูเหมือน เพราะว่ายังไม่ละเอียด แต่ถ้าละเอียด ตั้งแต่ตื่นมาก็ต้องการให้เนื้อตัวสะอาด ต้องมีอุปกรณ์เครื่องที่จะทำให้สะอาด ใช่ไหม ต้องอยากได้สิ่งที่จะทำให้ร่างกายสะอาด และต้องเป็นสิ่งที่พอใจ ถ้าเป็นสบู่ ก็มีหลายชนิด นอกจากเรื่องของร่างกาย เนื้อตัวสะอาด ยังเป็นเรื่องผม เรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ที่จะใส่ เรื่องเสียงที่จะได้ยิน เรื่องกลิ่นที่จะได้ เรื่องรสอาหารที่จะได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นในชีวิต แต่ก็ยังไม่พอ เพราะยังต้องการสิ่งอื่นเพื่อความเพลิดเพลินอีก

ถ้าพิจารณาจริงๆ ในชีวิต ในอดีตนานมาแล้วจนกระทั่งถึงปัจจุบัน และต่อไปข้างหน้า จะเห็นได้ว่า ความจริงคืออย่างนี้ โดยที่ว่าทุกวันอยากได้ ไม่ใช่อยากเสีย

มีใครอยากเสียอะไรบ้างไหมในวันหนึ่งๆ คิดดู อยากเสียโลภะไปบ้างไหม โลภะมีมากเหลือเกิน ขอให้พิจารณาว่า อยากให้โลภะหมดไปบ้างไหม

นี่คือการที่ปัญญาจะเกิดในชีวิตประจำวัน แม้เพียงขั้นคิด ขั้นพิจารณา เพื่อเป็นหนทางที่จะทำให้อกุศลทั้งหลายที่สะสมมามากละคลาย ลดน้อยลงไปได้บ้าง แม้เพียงขั้นคิดว่า อยากให้โลภะที่มีอยู่มากจางไป ลดน้อยไป ละคลายไปบ้างไหม หรืออยากจะเก็บไว้อีกมากๆ เหมือนทุกๆ วันซึ่งไม่เคยคิด เพราะบางคนอาจจะ ไม่คิดเลยเรื่องที่จะให้โลภะค่อยๆ ละคลายไป เพราะฉะนั้น ถ้าเริ่มคิดในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นการสะสม เป็นปัจจัยเพื่อให้ถึงการอบรมเจริญปัญญาจนรู้แจ้งสภาพธรรมได้ ก็ต้องอาศัยการพิจารณา การเจริญกุศลเป็นปกติในชีวิตประจำวัน แม้เพียงความคิดเล็กๆ น้อยๆ ที่จะเกิดขึ้นในวันหนึ่งๆ ซึ่งอาจจะยังไม่เคยคิด แต่ก็เริ่มที่จะคิดได้

หรือบางท่านที่มีโทสะมากๆ ขณะที่กำลังมีโทสะ ท่านอาจจะไม่ชอบ แต่ บางกาล บางขณะ คิดว่าต้องโกรธ พิสูจน์ได้โดยการบอกคนที่กำลังโกรธว่า ขณะนี้กำลังทำร้ายตัวเอง ความโกรธเป็นพิษ เป็นโทษอย่างนั้นอย่างนี้ คนที่กำลังโกรธ ก็ไม่หยุดโกรธ ยังโกรธต่อไปอีก ทั้งๆ ที่ได้รับคำเตือนว่าอย่างนี้ โดยพระพุทธพจน์ที่ว่า ความโกรธเป็นโทษ เป็นภัย เป็นอกุศล กำลังเป็นสิ่งที่ทำร้ายตัวเอง ไม่ใช่คนอื่น ทำร้ายเลย

มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นสำหรับผู้ที่กำลังโกรธ โดยเหตุที่เขาคิดว่าสมควร ที่จะโกรธ เวลาที่กล่าวว่า ความโกรธกำลังทำร้าย เขาก็หยุดโกรธไม่ได้ และขณะนั้น ก็ไม่ได้ฟังด้วย ยังหาเหตุแสดงความสมควรที่จะต้องโกรธ เล่าเรื่องที่จะต้องโกรธให้ฟังต่อไป แสดงให้เห็นว่า แม้จะได้ฟังพระธรรมและก็รู้จักอกุศลว่าเป็นอกุศล แต่ปัญญายังไม่ถึงขั้นที่จะละคลายกิเลส ก็ไม่สามารถละคลายหรือดับกิเลสได้

เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม และเข้าใจพระธรรมแล้ว ก็ยังต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย โดยที่บังคับบัญชาไม่ได้ แต่จะพิจารณาเห็นสภาพความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม ได้มากขึ้นว่า แม้เห็นว่ากิเลสอกุศลธรรมเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่เมื่อมีเหตุปัจจัยเกิดขึ้น ก็ไม่มีใครสามารถยับยั้งได้

เปิด  242
ปรับปรุง  2 มิ.ย. 2565